“  ยังไงก็ ขอบคุณมาก “

 

หลังจากยิ้มอย่างเยือกเย็นในใจครู่หนึ่ง เยี่ยจงก็เอ่ยต่อหวังชิง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางก็ถือว่าได้นำข่าวสารมาแจ้งแก่ตนเองได้ทราบ เวลาในตอนนี้เหลือไม่มากแล้ว

 

“ เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก เรื่องพวกนี้ถ้าข้าไม่บอกต่อเจ้า ช้าเร็วเจ้าก็ทราบอยู่ดี “ หวังชิงส่ายหัว “ ยังมีอีกเรื่อง ที่ข้ามาหาเจ้าวันนี้ก็เพราะเรื่องนี้ “

 

ระหว่างการสนทนา หวังชิงได้นำแหวนจักรวาล(แหวนเก็บสมบัติ)วงหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อของนางมอบให้เยี่ยจง

 

เยี่ยจงมองนางสลับกับแหวนจักรวาลไปมา พร้อมเอ่ยขึ้นว่า “ นี้หมายความว่าอย่างไร “

 

หวังชิงหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวต่อ “ ในนี้มีหินวิญญาณระดับล่างอยู่ห้าร้อยชิ้น เป็นทั้งหมดที่ข้าจะสามารถหามาได้ในตอนนี้ เมื่อก่อนเจ้าอาจไม่เห็นคุณค่าของมัน แต่ว่าสิ่งนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่ได้อย่างสุขสบายหลังจากนี้ ….. ที่ข้าให้สิ่งเหล่านี้แก่เจ้า ไม่ใช่เพื่อตัวเจ้าเอง เพียงแต่ข้าหวังว่าเจ้าจากออกห่างจากน้องชายข้า หวังโม่ “

 

เอ่ยถึงตรงนี้ นางถอนหายใจเล็กน้อยพร้อมกล่าวต่อ “ แท้จริงแล้วเรื่องราวในตระกูลของเจ้า ตัวข้าเองก็ไม่มีสิทธิยุ่งเกี่ยว แต่ว่าข้าก็จะขอบอกต่อเจ้าไว้ก่อน ถึงเจ้าไม่สามารถฝึกวิชาได้ เจ้าจงจากไป ใช้เงินเหล่านี้ไปเสพสุขจะไม่ดีกว่าหรือ ข้าขอแนะนำเจ้า ไม่ว่ายังไงก็ตาม ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามีความสัมพันธ์อันใดกับหวังโม่ “

 

เงียบงันอยู่ซักครู่ เยี่ยจงยังคงเงียบงันต่อไปและมิได้ปฏิเสธอันใด ทั้งยังยื่นมือไปรับแหวนจักรวาลอีกด้วย เยี่ยจงคิดว่าไม่ว่าจะทำรอะไรก็ตาม อย่างน้อยในตัวเขาก็ต้องมีสิ่งของมีค่าติดตัวพอเป็นทุนอยู่บ้าง ดังนั้นเยี่ยจงจึงมิได้ปฏิเสธหวังชิง

 

ต่อมาเยี่ยจงยังมิได้อธิบายอะไรออกไป เพียงแต่มองไปทางหวังชิง พร้อมกล่าวว่า “ เจ้าวางใจเถอะ หวังโม่เป็นเพื่อนของข้า ข้าก็ไม่ต้องการที่จะให้เขาพลอยโดนร่างแหไปด้วย ข้าสัญญาว่าจะเว้นระยะห่างกับหวังโม่เอง “

 

“ ขอให้เจ้าจำคำพูดวันนี้ของเจ้าไว้ให้ดี “ หวังชิงมองเยี่ยจงด้วยสายตาที่แปลกประหลาด เยี่ยจงในวันนี้ดูไม่เหมือนเยี่ยจงที่ผ่านมา ถึงแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตามที แต่การกระทำและคำพูดคำจานั้นไม่เหมือนก่อน หากว่านางไม่คุ้นเคยกับเยี่ยจงมาก่อนละก็ นางคงจะคิดว่าทักคนผิดไป

 

หวังชิงก็มิได้กล่าวอันใดต่อ เพียงส่ายหัวเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป

 

หลังจากที่หวังชิงเดินหายลับไปแล้ว เยี่ยจงสำรวจมองรอบข้างทุกบริเวณ จากนั้นจึงเดินเข้าไปที่พักของตนเองอย่างรวดเร็ว

 

ที่พักของเยี่ยจงนั้นอยู่ในตัวเมืองเจียงโจว ที่พักแม้จะไม่ได้ใหญ่โต แต่ก็ดูมียังดูสวยงาม ทัศนียภาพงดงาม สิ่งที่สำคัญคือรอบบริเวณนี้มีคนอาศัยอยู่ไม่มากนัก

 

หลังจากกลับถึงบริเวณที่พัก เยี่ยจงสำรวจรอบบริเวณโดยรอบอีกครั้ง ว่ามีคนติดตามเขามาหรือไม่ จากนั้นจึงค่อยเข้าไปที่ห้องพัก จากนั้นจึงเดินไปนั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียง

 

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง     เยี่ยจงนำแหวนจักรวาลที่ได้จากหวังชิงออกมาอย่างระมัดระวัง นำหินวิญญาณชิ้นหนึ่งออกมาวางบนฝ่ามือ จากนั้นจึงค่อยๆจ้องมองไปที่มัน

 

หินวิญญาณเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนต้องมีไว้ฝึกฝน หินวิญญาณนั้นเป็นสิ่งมีพลังแห่งฟ้าดิน อยู่ภายใน เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการฝึกยุทธ์ขั้นก่อเกิด

 

การฝึกยุทธ์นั้น ขั้นก่อเกิดนั้นมีทั้งหมดด้วยกันเก้าขั้น แต่ในระหว่างการฝึกยุทธ์ขั้นแรกนั้น ผู้ฝึกมีสิ่งที่ควรเตรียมพร้อมอยู่ นั้นคือการขับสิ่งที่ไม่จำเป็นทั้งหมดออกจากร่างกายก่อน เพื่อเป็นการปูพื้นฐานของตัวผู้ฝึกยุทธ์จนถึงขั้นก่อนก่อลมปราณชั้นฟ้าในวันข้างหน้า

 

แต่ถ้าพูดถึงคนโดยส่วนมากนั้น การฝึกยุทธ์ขั้นแรกของทั้งเก้าขั้นนั้นอาจจะง่ายดาย แต่สำหรับร่างกายของเยี่ยจงในตอนนี้แล้วเป็นสิ่งนี้ยากที่ก้าวข้ามมันไปได้

 

โรคกำลังภายในทั้งหกเส้นไม่ไหลเวียน เป็นความไม่เที่ยงแท้ธรรมชาติ ร่างกายจะอ่อนแอ จุดรวมกำลังภายในอุดตัน แต่ถ้าฝึกฝนจนแข็งแกร่งละก็ จะแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปอยู่มาก แต่ที่ยากนั้นคือการฝึกฝนขั้นก่อเกิดของวิชาคือการผลัดเปลี่ยนผิวหนัง หากว่าฝึกฝนผิดวิธีละก็อาจจะทำให้กำลังภายในแตกซ่านจนพิกลพิการก็เป็นได้

 

แน่นอนว่า ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้ไข เยี่ยจงนั้นได้ค่อยๆมองไปที่หินวิญญาณบนมือของเขานั้นจนปรากฏแสงสะท้อนบนใบหน้าจนมีสีประหลาดออกมา

 

โรคเส้นกำลังภายในทั้งหกไม่ไหลเวียน ในรัฐเชียนซานเซียนนั้นเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคกระตุ้นหกชีพจร

 

มีช่วงเวลาหนึ่งที่เขาอยู่ในรัฐเชียนซานเซียน เยี่ยจงได้ออกค้นหาสมบัติตามแผนที่โบราณ เขาบังเอิญได้รู้ถึงความลับเกี่ยวกับโรคนี้ ด้านในได้เขียนไว้เกี่ยวกับการวิชาเคล็ดวิชา วิชานี้คิดค้นมาสำหรับผู้ที่เป็นโรคกระตุ้นหกชีพจร หรือก็คือวิชาที่ไว้รักษาโรคเส้นกำลังภายในทั้งหกไม่ไหลเวียน

 

วิชากระบี่หกสุสาน

 

นี้คือชื่อวิชาที่เยี่ยจงได้ค้นพบในเวลานั้น ในเวลานั้นเยี่ยจงได้ฝึกฝนวิชานี้สามวันสามคืน แต่ทว่าก็ไม่สามารถฝึกฝนวิชานี้ได้ นั้นก็เพราะวิชานี้สร้างมาเพื่อผู้ที่เป็นโรคเส้นลมปราณทั้งหกไม่ไหลเวียนโดยเฉพาะ

 

จนแล้วจนรอดก็ยังไม่สามารถฝึกฝนหกกระบี่สุสานนี้ได้ นั้นก็เพราะเพลงกระบี่นี้ต้องการร่างกายที่เหมาะสมแก่การฝึกฝนวิชานี้นั้นเอง ดังนั้นจึงมิได้ฝึกฝนต่อ ต่อมาตัวเขานั้นสืบข่าวเกี่ยวกับวิชากระบี่หกสุสานนี้มีร้ายกาจมาก เพลงกระบี่แปลกพิสดาร ดังนั้นเขาจึงได้ท่องเคล็ดวิชานี้ไว้ คิดไว้ว่าต้องมีซักวันที่ตนเองพร้อมที่จะฝึกวิชานี้ได้ พร้อมกับล้วงความลับวิชาของควบคุมเส้นลมปราณทั้งหกนี้

 

แต่ไม่ทราบเพราะบังเอิญหรืออย่างไร แต่ตอนนี้วิชากระบี่หกสุสานพร้อมที่จะฝึกฝนแล้ว

 

เกี่ยวกับการฝึกวิชาลมปราณโบราณนี้ เยี่ยจงค่อนข้างที่จะไม่ทราบผลที่จะตามมา วิชาลมปราณโบราณชนิดนี้ไม่เหมือนกับวิชารักษาโรคโดยทั่วไปตามโรงหมอ ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนอย่างยากลำบาก เพียงแต่วิชานี้ต้องการทรัพยากรที่มากมายในการฝึกฝน  โดยส่วนมากทรัพยากรในการฝึกฝนสามแรกของขั้นลมปราณก่อเกิดนั้นจะสามารถพบได้โดยทั่วไป ตัวอย่างเช่นหินวิญญาณในมือของเยี่ยจงในขณะนี้ แต่ทว่าทรัพยากรหลังการฝึกขั้นที่หกนั้นเป็นต้องการสิ่งที่แตกต่างออกไป ในเวลานี้ยังคงไม่รู้แต่ว่าตอนนี้เยี่ยจงยังคงไม่สนใจมันก่อน

 

“วิชาลมปราณโบราณ ตอนนี้จะได้ลองซักที ว่าจะมีอะไรดีซักแค่ไหนกัน “

 

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยจงยิ้มออกมา วางหินวิญญาณทั้งห้าร้อยก้อนทั้งหมดลงบนเตียง

 

ในการฝึกยุทธ์นั้นจำเป็นต้องรับพลังฟ้าดินอย่างมาก เหมือนดังวิชากระบี่หกสุสานที่ดูดพลังฟ้าดินจากเจ้าหินวิญญาณเหล่านี้

 

การฝึกฝนดูดพลังฟ้าดินนั้นแบ่งได้เป็นขั้นตอนได้แก่ ร่างกาย วิญญาณ เทพสามภพ ทุกระดับนั้นแบ่งการใช้ทรัพยากรในการฝึกแต่งต่างกัน อีกทั้งเยี่ยจงยังไม่รู้ว่าการฝึกขั้นเทพสามภพนั้นต้องใช้สิ่งใดในการฝึก แต่คงเป็นสิ่งที่หายาก เกรงว่าจะหาไม่ได้ในรัฐนี้ จริงๆแล้วก็ยากที่ตามหาสิ่งที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงได้เลย

 

เยี่ยจงยังคงนั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียง ทั้งสองมือยังคงฝึกฝนซ้ำไปซ้ำมาตามสัญลักษณ์มือที่แตกต่างกันไป สัญลักษณ์มือค่อยๆเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพบมีบางสิ่งบางกำลังขยับไปมา หินวิญญาณเหล่านี้ได้คายพลังฟ้าดินลอยออกมาเป็นเกลียวเข้าสู่ทั่วร่างของเยี่ยจง

 

“ ชิ้ง —- —– “

 

มีเสียงแปลกประหลาดบางอย่างดังขึ้น จนกระทั่งเยี่ยจงรู้สึกถึงมันได้ นั้นคือร่างกายกล้ามเนื้อและผิวหนังของตนนั้นเกิดอาการปวด สิ่งเหล่านี้ในความเป็นจริงแล้ว มันมิใช่ดูดพลังเข้าสู่เส้นลมปราณหรอกหรือ แต่ทว่าเยี่ยจงยังคงทำสัญลักษณ์มือต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งพลังฟ้าดินไหลเข้าสู่ร่างกายอีกครั้ง

 

อาการเจ็บปวดลุกลามไปทั่วร่างกายของเยี่ยจง ต่อให้ของเยี่ยจงอดทนได้มากแค่ไหนก็ตาม แต่ร่างกายเนื้อหนังทั่วร่างนั้นยังคงเจ็บปวดราวกับมีภูเขาสูงถึงห้าชั้นฟ้ามากดทับ นี้คือสิ่งที่เรียกว่า การดูดซับกำลังภายในจากฟ้าดิน อีกเพียงแค่นิดเดียวเยี่ยจงก็เกือบจะทนต่อความเจ็บปวดไว้ไม่ไหว

 

“ การดูดซับกำลังภายในของวิชาลมปราณโบราณนี้ก็ไม่เลวเลย “ ร่างกายของเยี่ยจงในตอนนี้นั้นแข็งราวกับหิน จากนั้นก็พ่นเลือดสดๆสีดำคำโตออกมา แต่เขาก็ยังกัดฟันฝึกต่อไป มือของเขายังคงเปลี่ยนสัญลักษณ์ของวิชาไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น

 

“ เปรี้ยง เปรี้ยง — — “

 

ฝ่ามือของเยี่ยจงนั้นได้เปลี่ยนสัญลักษณ์ของวิชาอย่างรวดเร็ว หินเหล่านั้นก็เริ่มลอยขึ้นพร้อมกับแตกออก ในขณะเดียวกันนั้นเอง พลังวิญญาณเหล่านี้ออกมาจากก้อนหินนั้นได้ลอยเป็นเกลียวออกมา และรวมตัวกลับเข้าไปในตัวของเยี่ยจงอีกครั้ง จนในที่สุดเยี่ยจงก็ได้สัมผัสถึงหมอกบางๆปกคลุมอยู่ตรงกลางห้อง จนทำให้เขาตาพร่ามัว

 

ถ้าจะให้เยี่ยจงอธิบายออกมาละก็ หมอกเหล่านี้ก็เปรียบเสมือนยาพิษชนิดหนึ่ง แต่ก็เป็นดั่งยาที่ให้ผลเกินคาดเดา ทุกๆการดูดซับพลังเพียงพอที่จะทำให้เขาเจ็บปวดจนแทบสลบ แต่ในขณะเดียวกัน ทุกๆการดูดซับพลังเข้าสู่ร่างกายนั้นได้ทำการเปลี่ยนแปลงร่างกายของเขาให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ราวกับว่าพลังวิญญาณเหล่านี้ได้ช่วยผลัดเปลี่ยนกระดูกและเส้นเอ็นให้ก็มิปาน

 

“ ปัง — — “

 

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ร่างกายเนื้อหนังของเยี่ยจงนั้นได้ มีการเปลี่ยนแปลง มีเสียงบางอย่างเหมือนกำลังแตก ผิวหนังบนร่างกายกำลังหลุดลอกราวกับเปลือกไข่กำลังแตก การฝึกยุทธ์ในครั้งนี้ ให้ผลที่น่าตกใจ เพราะว่ามันบ่งบอกถึง เยี่ยจงสามารถฝึกฝนจนถึงลมปรานขั้นแรกของขั้นก่อเกิดได้สำเร็จแล้ว

 

การเปลี่ยนแปลงนั้นยังไม่ถึงที่สิ้นสุด ในขณะที่ผิวหนังของเยี่ยจงกำลังลอกอยู่นั้น ได้มีแรงลมของกำลังภายวนอยู่รอบตัวเยี่ยจง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความเร็วในการดูดซับพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้น ราวกับว่าเยี่ยจงนั้นกำลังดูดน้ำในมหาสมุทร ราวกับสามารถดูดซับทุกสิ่งเข้าเป็นพลังก็มิปาน

 

เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา หมอกโดยรอบที่ทำให้เขาตาพร่ามัวนั้นก็ได้ถูกร่างกายของเยี่ยจงดูดซับเข้าไปจนไม่เหลือ จากนั้นเยี่ยจงก็ได้ค่อยๆลืมตาขึ้นมา ในดวงตานั้นเปล่งประกายกล้าแกร่ง

 

“ นี้สินะวิชาลมปราณโบราณ ลมปราณก่อเกิดขั้นที่หนึ่งในเก้าขั้น “

ในสายตาของเยี่ยจงในตอนนี้นั้น มองแค่ครั้งเดียวก็รู้แล้วว่าหากเทียบกับก่อนหน้านี้ละก็ ร่างกายก่อนหน้าคงเปรียบดังมดแมลงเลยทีเดียว แต่เอาจริงๆมันก็เหมือนกับการรู้แจ้งของวิชายุทธ์ที่ตนเองฝึกอยู่

 

วิชากระบี่หกสุสาน นั้นเป็นลมปราณโบราณทั้งหมดหกขั้น ต้องทราบว่าผู้ฝึกยุทธ์โดยส่วนมากนั้นต่อให้จะสามารถดูดซับพลังฟ้าดินเข้าสู่ระดับก่อเกิดในขั้นแรกนั้น อย่างน้อยจะต้องใช้เวลาปีครึ่งในการฝึกฝน แต่ทว่าเยี่ยจงนั้นได้ใช้เวลาเพียงค่ำคืนเดียวก็สามารถฝึกถึงขั้นนี้ได้อย่างง่ายดาย ความรวดเร็วนี้ช่างเป็นสิ่งที่น่าพิศวง แค่มองในข้อนี้ละก็ ก็ควรทราบว่าวิชานี้นั้นเป็นวิชาที่น่ากลัวเพียงใด โดยปกติแล้วการดูดซับพลังฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายนั้นจะเพียงแค่เพิ่มพูนกำลังภายในและพัฒนาความแข็งแกร่งของร่างกาย หากมองในทางกลับกันละก็ วิชาลมปราณโบราณเหล่านี้ทุกการดูดซับนั้นยังสามารถพัฒนาทุกอณูของผิวหนัง กล้ามเนื้อ กระดูกในทุกๆการดูดซับได้อีกด้วย แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่พิศวงแต่ก็ยังเป็นสิ่งที่ดี เยี่ยจงมองว่าวิชาเพลงกระบี่หกสุสานนั้นไม่เพียงแค่ได้รับพลังในการเสริมร่างกายเท่าเพียงเท่านั้น เพลงกระบี่ชุดนี้ยังสามารถต่อกรกับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตนเองได้อีกด้วย และเยี่ยจงยังคงสงสัยอีกว่าวิชาลมปราณโบราณนั้น เกรงว่ายังมีความลับอีกมากมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้วิชานี้ที่ตนเองยังไม่รู้ แต่ว่าถึงเวลานั้นสิ่งเหล่านี้เขาก็คงจะทราบได้เมื่อได้ฝึกฝนต่อไปเรื่อยๆ

 

ZyvX ต่างตรงที่เสริมกล้ามเนื้อด้วย และความเร็วในการฝึกฝนครับ

“ วิชากระบี่หกสุสานนั้นช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน แต่ว่ามันต้องการทรัพยากรในการฝึกที่มากมายนัก “

 

เยี่ยจงนั้นถอนหายใจออกมา ใบหน้าของตนที่ไร้ความรู้สึกที่มองไปบนเตียงที่ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยหินวิญญาณห้าร้อยชิ้นได้อันตรธานหายไป หินวิญญาณเหล่านี้ถึงจะเพียงเป็นหินวิญญาณระดับต่ำเท่านั้น แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาฝึกฝนก้าวสู่ลมปราณขั้นก่อเกิดขั้นที่หนึ่งได้ ไม่ทราบหากต้องการที่จะฝึกฝนจนถึงระดับสูงสุดต้องใช้หินวิญญาณมากน้อยเพียงใด

 

“ หินวิญญาณ หินวิญญาณจำนวนมหาศาล “

 

จะทำยังไงเพื่อที่จะได้รับหินวิญญาณมหาศาลในเวลาสั้นๆ เพื่อที่จะฝึกฝนวิชาต่อจากนี้ไปจนถึงลมปราณก่อเกิดขั้นที่เก้า เขาต้องพบเจอความยุ่งยากต่างๆมากแค่ไหนกัน รวมทั้งปัญหาจากบ้านตระกูลเยี่ย และบ้านตระกูลซู……..

 

“ คงได้แต่สร้างยันต์แล้วละมั่ง “

 

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยจงตัดสินใจที่จะสร้างยันต์ การสร้างยันต์นั้น เป็นวิชาแขนงหนึ่งของผู้ฝึกยุทธ์

 

ผู้ที่จะสามารถสร้างยันต์ได้นั้น จำเป็นต้องมีพรสวรรค์ ต้องผ่านการฝึกที่ยากลำบาก จึงจะสามารถใช้พลังของฟ้ามาวาดยันต์ กระทั่งวิญญาณฆ่าฟัน  การชักนำพลังของลำธารและหุบเขามาใช้ และต้องสร้างยันต์ในเวลาที่เหมาะสมอีกด้วย

 

เมื่อสมัยก่อนนั้นเยี่ยจงเป็นหนึ่งในผู้สร้างยันต์ที่มีพรสวรรค์มาก่อน อีกทั้งถ้าพูดถึงผู้สร้างยันต์แล้วละก็ ตนนั้นถือว่าเป็นผู้ที่สร้างยันต์ที่มีความบริสุทธิ์เป็นอย่างมากอีกด้วย

 

นั้นก็เพราะว่าอาจารย์เป็นผู้สอนหาแนวทางในการหาเงินให้ นอกจากจะสอนวิทยายุทธอีกทั้ง ว่ากันตามจริงการสร้างยันต์นั้นเยี่ยจงถือว่าเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในวิชาแขวงนี้ก็ยังได้ ในตอนที่เยี่ยจงนั้นทราบว่าเขาเองมีพรสวรรค์และเหมาะสมในการสร้างยันต์นั้น ได้ทำให้ผู้ที่เป็นอาจารย์ของเขานั้นตกใจมาก เยี่ยจงไม่เพียงเหมาะสมเป็นผู้สร้างยันต์เท่านั้น ยังถึงกับเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์จนถึงขีดสุดอีกด้วย เพียงแต่ว่าเวลานั้นเยี่ยจงมุ่งเน้นที่จะฝึกวิชายุทธ์มากกว่าที่จะสร้างยันต์แค่นั้น จึงทำให้เขาทอดทิ้งวิชาสร้างยันต์ มุ่งเน้นฝึกยุทธ์แทน

 

แม้ว่าจะไม่ได้ใช้เวลาในการศึกษาสร้างยันต์มากนัก แต่ทว่าเยี่ยจงนั้นก็เป็นผู้ฟ้าประทานให้เป็นผู้สร้างยันต์ เพียงแต่ว่าในเวลานี้กำลังภายในของเขานั้นยังด้อยอยู่มาก จึงไม่สามารถที่จะสร้างยันต์ระดับสูงได้ แต่การสร้างยันต์ระดับต่ำนั้นก็ยังมีความสามารถ อาทิเช่น ยันต์รักษาบาดแผล ยันต์ปกป้องร่าง และยันต์เพิ่มสมาธิ จำพวกนี้เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่ใช่ปัญหา

 

ยันต์วิญญาณนั้นมีราคาที่ค่อนข้างสูง ในความทรงจำของเยี่ยจงนั้น ในรัฐแห่งราชวงศ์โจวนั้นมีผู้สร้างยันต์เพียงไม่กี่คนที่เอง ถ้าหากว่าเขาสร้างยันต์ระดับต่ำมาวางขายแล้วละก็ ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาซื้อหินวิญญาณมาฝึกฝนจนถึงวิชาลมปราณโบราณจนถึงขั้นที่สามนั้นก็ไม่ยากแล้ว

 

เยี่ยจงนั้นตัดสินใจที่จะไปตลาดค้าขายส่วนกลางของเมืองเจียงโจวเพื่อที่จะซื้อวัตถุดิบวิญญาณจำพวก หนังสัตว์อสูร และเลือดสัตว์อสูรเพื่อที่จะนำมาใช้สร้างยันต์ ถ้าหากมีผู้ยุทธ์ชั้นลมปราณฟ้ามาตรวจสอบแล้วละก็เยี่ยจงคงไม่ตัดสินใจใช้วิธีที่โง่แบบนี้อย่างแน่นอน นั้นก็เพราะว่าตัวเขายังมีกำลังภายในไม่พอเพียง จึงจำเป็นต้องใช้ของพวกนี้

 

ในการที่จะสร้างยันต์วิญญาณออกมานั้น หากกำลังภายในไม่เพียงพอแล้วละก็ การจะสร้างยันต์ออกมานั้นก็มีสำเร็จอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เยี่ยจงในตอนนี้ได้หินวิญญาณที่มีอยู่ติดตัวในเวลานี้นำไปแลกกับวัสถุดิบมา หลังจากที่สร้างยันต์แล้วนั้น เขาได้รับยันต์ปกป้องร่างหนึ่งแผ่น ยันต์เพิ่มสมาธิหนึ่งแผ่น และยันต์รักษาบาดแผลอีกหนึ่งแผ่น ส่วนที่เหลือนั้นได้ถูกทำลายไปในระหว่างการสร้างยันต์ผิดพลาดไป แต่ได้เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเยี่ยจงนั้นถือเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์เท่านั้นถึงจะสร้างได้ ถ้าหากเป็นผู้อื่นละก็ ถ้านำมาเปรียบเทียบในเรื่องไม่ได้ใช้กำลังภายในในการสร้างแล้วละก็การที่จะสร้างได้นั้น คงมีแต่ในความฝันเท่านั้น

 

เขามองยันต์ทั้งสามแผ่นบนมืออยู่ หลังจากช่วงเวลาที่ยุ่งเหยิงแล้วนั้น เยี่ยจงตัดสินใจที่จะเก็บยันต์ปกป้องร่าง ยันต์รักษาบาดแผลเก็บไว้กับตัว ถึงแม้ว่ายันต์เหล่านี้ยังอยู่ในระดับต่ำก็จริง แต่ทว่าราคาของยันต์อยู่ในระดับที่สูงมาก

 

เยี่ยจงนั้นรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว ว่าหากในเวลาคับขันตกอยู่ในอันตรายแล้วละก็ เจ้ายันต์สองแผ่นนี้จะมีส่วนช่วยในการปกป้องตัวเขาเองอีก หากว่าเขาใช้ยันต์ทั้งสองแผ่นนี้ วิชายุทธของเขาจะสามารถพุ่งสูงขึ้นไปในอีกระดับหนึ่ง บวกกับจากประสบการณ์และทักษะที่มีอยู่แล้วของเขา การที่จะต่อกรกับผู้ที่มีระดับสูงกว่าเขาหนึ่งหรือสองขั้นนั้นยังถือว่าสามารถเอาตัวรอดได้อยู่

 

เขาได้มองไปยันต์เสริมสมาธิ จากนั้นเยี่ยจงถอนหายใจคำหนึ่ง หลังจากนี้คงต้องดูกันว่า ยันต์ใบนี้จะสามารถมีผู้ที่มีความรู้ รู้จักคุณสมบัติของมันซื้อไปหรือไม่ หรือไม่อย่างนั้นแล้วละก็การฝึกยุทธของเยี่ยจงนั้นคงจะมีทรัพยากรไม่เพียงพอต่อการฝึกซะแล้ว