“ ยังไง นายน้อยเยี่ย คิดเสร็จหรือยัง ถ้าหากต้องการลงจากเวทีประลองละก็ เจ้าก็รีบลงมา แต่ถ้าหากไม่ยินยอม เจ้าก็ควรรีบถอนตัวซะ “ อาจารย์ม่อ เห็นว่าสีหน้าของเยี่ยจงนั้นไม่สู้ดี แต่ก็ไม่ทราบว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่ว่าเรื่องที่เกี่ยวกับนักเรียนคนนี้นั้น อย่างน้อยนางก็ดีแก่ใจ จนใจต้องเอ๋ยปากออกมา

 

เยี่ยจง ได้หยุดการไตร่ตรอง เงยหน้ามองไปที่อาจารย์ม่อ ภายในใจกำลังถอนหายใจเล็กน้อย

 

ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องน่ายินดีหรือไม่ ตนเองก็ไม่ทราบมาในรัฐซีฮ้วงแห่งราชวงศ์โจวได้อย่างไร ถ้าหากมองตามรูปการแล้วละก็ อีกทั้งยังไม่รู้เลยว่าตนเองนั้นจะโดนเล่นงานเมื่อใด ยังเมื่อ ตนมาถึงจุดนี้แล้วนั้น ไม่รู้ว่าอาจารย์ตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง

 

เมื่อชาติที่แล้วก่อน การที่ได้ติดตามอาจารย์คงเป็นพรหมลิขิต อีกทั้งท่านก็ยังใจดีรับรับตนเองเป็นลูกศิษย์ ทั้งยังชุบเลี้ยงและสอนสั่งในหลายๆสิ่ง จนตนเองนั้นเปล่งประกายแข็งแกร่งขึ้น

 

เยี่ยจงทั้งรักและนับถืออาจารย์ตลอดมา และไม่มีการคิดเกินเลยแม้สักนิดเดียว แต่จากประสบการณ์กลับชาติมาเกิดใหม่หลังจากนี้ ถึงแม้ว่ารอบนี้จะเลวร้ายลงอีก แต่เขาก็ไม่ทราบว่าอาจารย์ของตนเป็นอย่างไร เมื่อก่อนเขาคิดว่าอาจารย์ที่ทำดีต่อตนเอง เพียงเพราะแค่ตัวเขานั้นเป็นลูกศิษย์ แต่ทว่าตอนนี้เขายังคงได้รู้คำตอบเกี่ยวกับคำถามพวกนี้แล้ว มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นคือต้องแข็งแกร่งให้จงได้

 

พอคิดถึงตรงนี้ เยี่ยจงเกิดอาการมึนงงเล็กน้อย

ตนเองสามารถกลับชาติมาเกิดได้ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์เล่า อาจารย์ใช่กลับชาติมาเกิดเช่นเดียวกันหรือไม่ ถ้าหากเป็นแบบนี้ละก็ ตนเองต้องเปลี่ยนแปลงตนเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เมื่อก่อนได้แต่คอยให้อาจารย์คอยปกป้องตนเองอยู่ตลอด แต่ทว่าในตอนนี้พระเจ้าได้ให้โอกาสตนได้กลับชาติมาเกิด อย่างนั้นก็มีแต่ทำให้เปลี่ยนแปลงตนเอง ในครั้งนี้ เขาจะเป็นคนปกป้องอาจารย์เอง

 

ในชีวิตครั้งนี้ เขาจะไม่ให้ฟ้าลิขิตชะตากรรมของเขาแล้ว ใครที่กล้ามาขวางทางเดินเขา เขาจะเหยียบคนที่ขวางทางอยู่ใต้เท้าเอง ในชาตินี้เขาจะต้องฝืนชะตาลิขิตเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต ชีวิตตนจะต้องเป็นตนเองเท่านั้น มิใช่ให้โชคชะตามาคอยลิขิต

 

… … … …

 

กลับมายังโรงบู้ในขณะนี้ อาจารย์ม่อพบว่าเยี่ยจงนั้นไม่ตอบและไม่กระทำการใดๆ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจต่อไป ในสายตาของอาจารย์ม่อนั้น คนเยี่ยงเยี่ยจงที่ชีวิตมีแต่ความสะดวกสบายของคุณชาติตระกูลใหญ่นั้น คงไม่มีทางที่จะมีความเจริญก้าวหน้าในวันข้างหน้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเยี่ยจงยังเป็นคนพิการที่ยังเป็นโรคกำลังภายในทั้งหกเส้นไม่ไหลเวียน อีกด้วย

 

หวังโม่ได้แต่มองไปยังเยี่ยจง ที่อยู่ในความเงียบงันในตอนนี้ ได้เพียงแค่ถอนหายใจเล็กน้อย แต่ก็มิได้เอ่ยอะไรออกมา เขาไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอเพียงแค้เยี่ยจงสามารถอดทนต่อสิ่งรอบข้างในตอนนี้ได้ละก็ เช่นนั้นหลังจากนี้คงเป็นไปด้วยดี

 

ทางด้านฝั่งตรงข้ามนั้น สายตาของซูขุยนั้นมองไปยังเยี่ยจงด้วยความลึกล้ำ เหมือนดังต้องการจะเอาชีวิตฝ่ายตรงข้าม นางเองยังไม่รู้ว่าเหตุใดเยี่ยจงยังคงมีชีวิตอยู่ ถึงแม้ว่าตัวนางนั้นจะต้องการเอาชีวิตของเขา แต่ก็ยังมีหนทางอื่นอีกมากมาย

 

หลังจากละสายตาจากเจ้าขยะแล้ว ซูขุยสายตาเปลี่ยนเป็นครุ่นคิดอย่างมีเลศนัย คนในตระกูลของนางนั้น ไม่ได้มองนางอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ ถึงตัวนางจะเทียบไม่ได้กับ ซูเหวินชิง แต่ทว่านางก็ยังถือว่าเป็นคนของตระกูลซู ให้นางแต่งให้กับคนพิการ นางก็คงไม่ยินยอมแต่โดยดี

 

แต่ถ้าหากให้เจ้าพิการคนนี้มาบอกถอนหมั่นละก็ นางก็คงต้องอับอายขายหน้าไปด้วย ดังนั้น เยี่ยจงมีแค่ทางเดินแค่สายเดียว นั้นก็คือต้องตายสถานเดียว

 

แต่ทว่าเยี่ยจงนั้นเป็นคนของคนในตระกูลเยี่ยหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ ถึงแม้ว่าเยี่ยจงนั้นจะเป็นความอัปยศของตระกูล ซูขุยก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ฆ่าเขาได้ตามใจชอบ เมื่อซักครู่ที่จ้องมองไป ดูจากสถานการณ์แล้วคงจะเอาชีวิตของเยี่ยจงไม่ได้ในเวลานี้ ดังนั้นซูขุยก็ได้แต่คิดหาวิธีอื่นมาจัดการ ขอแค่เยี่ยจงนั้นตายไปเอง ก็ไม่มีใครสามารถโทษตัวนางได้

 

ซูขุยยิ้มที่มุมปากด้วยความเยียบเย็น บนใบหน้าที่ใหญ่ของนาง รอยยิ้มที่คลุมเครือปรากฏบนใบหน้า

 

… … … …

 

ความเงียบปกคลุมบนตัวของเยี่ยจง เขาเริ่มขมวดขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ทราบว่าเริ่มจากตอนไหน เขาได้รับรู้ถึงรังสีการฆ่าฟัน ซึ่งเพ่งมายังตัวของเขา แต่ทว่าก็มิได้ชัดเจนมากนัก แต่จากประสบการณ์เมื่อชาติที่แล้วนั้นได้บ่งบอกว่า การรับรู้ของเขาไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน

 

การที่ตัวเขานั้นรับรู้ได้ถึงรังสีการฆ่าฟัน แท้จริงแล้วมีคนที่กำลังต้องการเอาชีวิตของเขาอยู่งั้นหรือ คนๆนั้นคือใคร เพราะตนเองนั้นเป็นเพียงแค่ความอัปยศของตระกูลเยี่ย หรือเพราะต้องการที่จะตัดความสัมพันธ์กับตระกูลซู หรือไม่ก็คงเป็นบุคคลที่ซ่อนตัวอยู่หลังผ้าม่าน

 

การรับรู้นั้นได้ของเขานั้นมาจากซูขุย ในตอนแรกนั้นเยี่ยจงยังไม่แน่ใจว่ารังสีฆ่าฟันนี้จะเป็นของนาง แต่ว่าเยี่ยจงในตอนนี้นั้น มิใช่เยี่ยจงก่อนหน้านี้แล้ว เขายิ้มอย่างเยือกเย็น แต่ทว่าก็ไม่ได้ทำอะไร

 

ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แต่ถ้าหากว่าต้องการเอาชีวิตข้าละก็ ได้เห็นดีกันแน่

 

เวลาค่อยๆผ่านพ้นไป หลังจากวิชาคาบเรียนของอาจารย์ม่อนั้นได้สิ้นสุดลง เยี่ยจงนั้นได้รีบจากไป ในคาบเรียนของอาจารย์ม่อนั้นถ้าหากเทียบกับประสบการณ์จากชาติที่แล้วของเขาแล้วละก็ มันคงจะไร้ความหมายถ้าหากจะศึกษาจากอาจารย์ม่อต่อไป แต่ว่าเยียจงนั้นก็เข้าใจ การกระทำบางอย่างไม่สามารถทำจนเกินเลยจนเกินไป อย่างน้อยก็ยังต้องทำตัวตามปกติต่อไป

 

ใช่แล้ว เวลา ในตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเยี่ยจงนั้นคือเขาต้องการเวลาในการแก้ไขปัญหาโรคกำลังภายในทั้งหกเส้นไม่ไหลเวียน ที่เป็นโรคที่ยากจะพบในคนทั่วไปและยากที่จะรักษา แต่ทว่ายั้ยจงนั้นเป็นยอดฝีมือในรัฐซานเชียนเซียน เขาทราบว่าจะสามารถรักษาโรคและแข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้อย่างไร สิ่งนี้คือสิ่งที่เยี่ยจงพบพานโดยบังเอิญเมื่อชาติที่แล้ว

 

หลังออกจากโรงบู้แล้ว เยี่ยจงได้วางแผน “วันพรุ่งนี้” จนเป็นนิสัยอยู่แล้วของเขา เขาได้เดินเข้าตรอกเล็กๆอย่างรวดเร็ว มุ่งเข้าสู่สวนแห่งหนึ่ง เยี่ยจงนั้นได้สูญเสียสถานะคนของตระกูลเยี่ยไปแล้ว แต่อย่างน้อยเขาก็ยังคงมีที่ซุกหัวนอน

 

“เยี่ยจง”

 

ในขณะที่เยี่ยจงกำลังรีบเร่งเดินอยู่นั้น ในช่วงนั้นเอง มีเสียงๆหนึ่งดังออกมาเรียกหาเยี่ยจงจนต้องหยุดลง และขมวดคิ้วหันหลังกลับไป

 

ภายในตรอกเงียบๆนั้น ปรากฏหญิงสาวสวมกระโปรงสีเขียวอยู่ อายุประมาณสิบห้าสิบหกปี อยู่ในระหว่างสายตาของเยี่ยจง

 

นางไม่ใช่คนที่สวยมาก แต่ก็ถือว่าน่ามองอยู่ดี ให้ความรู้สึกคุ้นเคยแก่เยี่ยจง เยี่ยจงขมวดคิ้วจ้องไปที่นาง                เขาคิดว่านางคงรู้จักกับหนุ่มน้อยเยี่ยจงอยู่แล้ว

 

“เยี่ยจง ได้ข่าวว่าวันนี้เจ้าได้หมดสติที่โรงฝึกหรอ “ หญิงสาวกระโปรงเขียว ค่อยๆเอ่ยปากถามพร้อมมองไปยังเยี่ยจง

 

เยี่ยจงพึ่งจะนึกออกว่านางคือใคร นางมีนามว่า หวังชิง ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องห่างๆของหวังโม่ เป็นบุคคลที่มีอำนาจในตระกูลอยู่หลายส่วน คงเป็นเพราะความสัมพันธ์กับหวังโม่

หนุ่มน้อยเยี่ยจงและนางจึงได้พบกันหลายครา นางนั้นเป็นคนที่ไม่ได้เลวร้ายอะไร อีกทั้งยังดีต่อหนุ่มน้อยเยี่ยจงไม่น้อย

 

หลังจากครุ่นคิดเสร็จ เยี่ยจงก็พูดออกมาพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า “ ใช่แล้ว เจ้ามีปัญหาอะไรหรือ”

 

“ คนอื่นเขาบอกว่าเจ้านั้นได้ข่าวคราวการเปลี่ยนคู่หมั่น เปลี่ยนเป็นยัยอัปลักษณ์นางหนึ่ง ดังนั้นจึงทำให้เจ้าโกรธจนสิ้นสติไป ใช่หรือไม่ “ หวังชิงเอ่ยปากถาม “ ได้ยินว่า เจ้ายังต้องการถอนหมั่นหมายกับตระกูลซูอีกด้วยใช่ไหม “

 

เยี่ยจงยังคงเงียบงัน และขมวดคิ้วเล็กน้อยอยู่แบบนั้น แต่เขาก็ไม่ได้อธิบายอะไรมากมาย

 

“ เจ้าตัดสินใจเช่นนี้จริงๆหรือ “ หวังชิงขมวดคิ้วถามต่อ “นางก็เป็นคนของตระกูลใหญ่เหมือนกับเจ้า เจ้าก็คงรู้ดีว่าการขอถอนหมั่นจากตระกูลใหญ่นั้นมันมีรสชาติเป็นอย่างไร เจ้าในตอนนี้นั้นไม่ได้อยู่ในสถานะของลูกหลานตระกูลเยี่ยแล้ว ถ้าหากยังจะถอนหมั่นอีกละก็ ไม่ต้องพูดถึงตระกูลเยี่ยหรอก แม้แต่ตระกูลซูก็ไม่เอาเจ้าไว้แน่ ถ้าหากเจ้ามีความมั่นใจที่จะไปขอถอนหมั่นถึงบ้านตระกูลซูละก็ เจ้ามั่นใจหรือว่าจะกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย “

 

เยี่ยจงส่ายหัวไม่สนใจนาง และหันหลังเดินจากไป ในตอนนี้ตนเองยังไม่คิดว่าตนเองเป็นคนของตระกูลเยี่ยอยู่แล้ว ไม่ได้คิดถึงกระทั่งการหมั่นหมาย ไม่แม้แต่จะเอามาใส่ใจ คนอื่นชอบที่จะพูดยังไงก็ช่าง ตนเองนั้นจะต้องเปลี่ยนแปลงเป็นคนที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นให้ได้

 

“ เจ้ารู้หรือไม่ หลังจากที่ตระกูลเยี่ยและตระกูลซูนั้นได้ตัดสินใจเปลี่ยนตัวคู่หมั่นของเจ้าเป็น ซูขุย แต่ทว่าเรื่องนี้ยังไม่ได้ตกลงกันอย่างแน่ชัด “ หวังชิงยังคงพูดต่อไป “ เจ้าก็รู้ว่าการเปลี่ยนตัวคู่หมั่น หลังจากเปลี่ยนจากเจ้าเป็น เยี่ยยี่ฟงแล้ว ซูเหวินชิงแห่งบ้านตระกูลซูนั้นไม่ได้ยินยอมพร้อมใจกับเหตุการณ์วันนี้ อย่างที่ว่ามา นับจากห้าปีก่อนที่ได้หมั่นหมายกับตระกูลเยี่ย นางก็ถือว่า นับแต่วันนั้น นางก็เป็นคนของเจ้าแล้ว และไม่มีวันเปลี่ยนแปลงการหมั่นหมายได้ นอกเสียจาก ………….”

 

“ นอกจากอะไร “ เยี่ยจงขมวดคิ้วขึ้นถามอีกครั้งด้วยความรำคาญ

 

“ นอกเสียจากอะไรข้าก็ไม่ทราบเหมือนกัน นั้นก็เพราะว่าซูเหวินชิงนั้นไม่ได้พูดออกมา แต่ว่าเรื่องนี้ยังคงไม่ได้มีการตกลงที่แน่ชัด ข้าเห็นแก่หวังโม่ถึงได้มาบอกต่อเจ้า หวังว่าเจ้าคงคิดเองได้ “ หวังชิงตอบกลับมา

 

เยี่ยจงยังคงขมวดคิ้วต่อไป ในความทรงจำของเจ้าหนุ่มเยี่ยจงนั้น ตนเองและซูเหวินชิงนั้นไม่ได้มีการไปมาหาสู่กับมาก่อน เหตุใดนางต้องทำเพื่อตนเองขนาดนี้ด้วย นี้มันเรื่องตลกอะไรกัน คงมีแต่เจ้าหนุ่มเยี่ยจงผู้ใสสื่อเท่านั้นที่จะเชื่อคำพูดของซูเหวินชิง หลังจากที่เยี่ยจงคิดทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ก็เข้าใจเป้าหมายของซูเหวินชิง

 

นั้นก็เพราะว่า นางนั้นเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของรัฐ นางไม่เพียงแต่ไม่สนใจตนเองเท่านั้น นางยังคงไม่สนใจเยี่ยยี่ฟงด้วยเช่นกัน นางก็คงไม่สนใจใครทั้งสิ้น ภายในราชวงศ์โจวนี้มีผู้คนมากมาย ยังคงไม่มีใครที่เหมาะสมกับนาง ดังนั้นจึงได้ถือว่าตนเองเป็นดังเบี๊ยในกำมือ นั้นก็เพราะว่าตัวนางเองนั้นพูดคำว่า “นอกเสียจาก” คำนี้ออกมา ไม่ใช่เพราะว่านางต้องการให้คนรอบข้างช่วยเก็บเป็นความลับ แต่เป็นเพราะนางนั้นจงใจ เหลือทางเลือกอีกทางให้ตัวนางเอง นอกเสียจากอะไร ยังคงเป็นนางเองที่เป็นคนตัดสินใจได้

 

หญิงสาวนางนี้ ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ

 

เกี่ยวกับการหมั่นหมายนี้ เยี่ยจงนั้นสามารถที่จะรู้ความหมายของคำตอบจากนางได้ นางช่างไม่ธรรมดา อีกทั้งยังเก่งกาจ เจ้าเล่ห์ แต่ทว่านางไม่ได้ไตร่ตรองหรืออย่างไร ถ้าหากเรื่องนี้ได้กระจายออกไปละก็ กลัวว่าเยี่ยยี่ฟงแห่งตระกูลเยี่ยคงไม่ปล่อยตนเองให้หนีรอดแน่นอน

 

หลังจากครุ่นคิดชั่วครู่ เยี่ยจงยิ้มอย่างเยือกเย็น หวังว่าเยี่ยยี่ฟงคงไม่เดินตามหมากของนางหรอก แต่ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้นละก็ เยี่ยยี่ฟงลูกหลานอันดับหนึ่งของตระกูล จะเป็นอย่างไรกันนะ

 

ยังมีซูเหวินชิงอีกคน ตนเองคงหนีจากเงื้อมมือของนางยากเป็นแน่แท้ เจ้าพวกตระกูลซู ไม่ว่าจะซูขุย หรือว่า ซูเหวินชิง ก็ดูเหมือนจะต้องการชีวิตของเขาซะเหลือเกิน