ในวันรุ่งขึ้น เยี่ยจงมาถึงศูนย์กลางของตลาดการค้ากลางที่เต็มไปด้วยผู้คน และมีชีวิตชีวาของเมื่อเจียวโจว เนื่องจากตนเองนั้นไม่ต้องการให้คนจำเขาได้ และเพื่อหลีกเลี่ยงการที่จะมีคนทราบว่าเขาสามารถฝึกยุทธ์ได้แล้ว เยี่ยจงจึงได้ปลอมแปลงตัวแล้วจากนั้นจึงหาพื้นที่วางแผงในตลาดส่วนกลางเพื่อที่จะตั้งแผงขายยันต์ หลังจากตั้งแผงแล้วในขณะที่เขาได้ล้วงแผ่นยันต์เขาได้สำรวจรอบข้างนั้นเต็มไปด้วยแผงขายหนังสัตว์อสูรเต็มไปหมด ดังนั้นเขาจึงได้ควักหนังอสูรผืนหนึ่งออกมาพร้อมวางยันต์เพื่อให้มันดูโดดเด่นกว่าแผงร้านอื่น

 

ตลาดการค้ากลางของเมืองเจียงโจวนั้นถือว่าคึกคักที่สุดในรัฐนี้ ไม่เพียงแค่ผู้ฝึกยุทธของเมืองเจียงโจวเท่านั้น ยังมีผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองเข้ามาเพื่อซื้อของเพื่อนำไปฝึกวิชาอีกด้วย อีกทั่งเหตุผลอื่นๆที่มายังมีอีกคือ จะชอบมาเดินดูของแปลกๆพิศดาน รวมถึงของจำพวกหนังสัตว์อสูร และเลือดสัตว์อสูรที่เยี่ยจงเคยซื้อไปก่อนหน้านี้ก็ยังสามารถหาซื้อได้จากที่แห่งนี้อีกด้วย

 

ตลาดการค้ากลางมีการวางแผงขายของอยู่เต็มไปหมด แผงขายของโดยส่วนมากจะเป็นของจำพวก ของใช้อเนกประสงค์ และพวกหนังสัตว์อสูร เลือดอสูรและแก้ววิญญาณสัตว์อสูร ส่วนที่เหลือจะเป็นของจิปะถะ อีกทั้งยังมีพวกเคล็ดวิชาของสำนักต่างๆ เคล็ดวิชากำลังภายในวางขายอีกด้วยรวมๆแล้วแทบจะมีครบทุกอย่างที่ต้องการ

 

ต่อให้บังเอิญขายของเหมือนกันยังไง แต่ทว่าทั้งตลาดส่วนกลางแห่งนี้ มีเพียงแผงลอยของเยี่ยจงเท่านั้นที่ขายยันต์วิญญาณ แต่ว่าหากมองโดยรวมแล้วละก็ มิใช่ว่าผู้ฝึกยุทธนั้นไม่มีความต้องการในการใช้ยันต์วิญญาณ  เพียงแต่ว่าในเมืองเจียงโจวนั้นแทบจะหาตัวผู้ฝึกฝนวิชาสร้างยันต์แม้สักคนยังเป็นเรื่องที่ยาก

 

” อ่ะ ตรงนี้มีคนขายยันต์วิญญาณด้วย พี่ท่านนี้ ข้าขอถามหน่อยว่า ยันต์ที่ท่านขายอยู่นี้ใช่ของจริงหรือไม่ แล้วขายราคาเท่าไหร่รึ ” หลังจากที่เยี่ยจงลงไปนั่งอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีคู่ชายหญิงแต่งชุดสวยงามเดินมาตรงด้านหน้าแผงลอยของเยี่ยจง มองดูยันต์ที่กำลังส่องประกาย จากนั้นชายผู้นั้นก็ได้เอ่ยปากถาม

 

เยี่ยจงคิดไม่ถึงว่าตนพึ่งจะเปิดแผงได้ไม่นานก็มีการค้าเข้ามาแล้ว เขานั้นได้เตรียมพร้อมร้อยแปดวิชาค้าขายมาเพื่อการนี้ แล้วตอบกลับไปว่า ” ยันต์ชนิดนี้คือยันต์เสริมสมาธิ ทางร้านมีเพียงแผ่นเดียวเท่านั้นส่วนราคาขั้นต่ำก็หินวิญญาณระดับล่างหนึ่งหมื่นชิ้น หรือระดับกลางสิบชิ้นก็ได้ ”

 

หินวิญญาณนั้นก็มีการแบ่งระดับอยู่เช่นกัน อาทิเช่นหินวิญญาณระดับกลางนั้นจะมีพลังเทียบเท่าหินวิญญาณระดับล่างอย่างน้อยถึงหนึ่งพันชิ้น

 

” นี้ … ยันต์แผ่นนี้ยังไม่รู้เลยว่าเป็นยันต์วิญญาณของจริงหรือของปลอมกันแน่ แต่เจ้ากลับตั้งราคาซะใหญ่โต  ”  หลังจากฟังที่เยี่ยจงพูดถึงราคาแล้วนั้นทำให้หนุ่มสาวทั้งสองคนเกิดอาการตกใจจนเงียบอยู่ซักพัก จากนั้นทั้งสองคนก็ได้สบตากันวูบหนึ่งและเดินจากไป

 

การที่ได้พบคนจำพวกนี้นั้น ก็ยังไม่ทำให้เยี่ยจงนั้นรู้สึกสะทกสะท้านได้  เพราะว่านี้คือราคาของยันต์เสริมสมาธิตามท้องตลาดอยู่แล้ว ว่ากันตามจริงแล้วยันต์เสริมสมาธินั้นมาส่วนช่วยเหลือแก่ผู้ฝึกยุทธ์ที่จะขึ้นสู่ก่อนลมปราณชั้นฟ้าหรือ ช่วยแก้ปัญหาระหว่างการฝึกยุทธ์ของผู้ฝึกยุทธ์ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มพูนสมาธิระหว่างฝึกยุทธ์อย่างมากมาย เมื่อซักครู่ที่เด็กน้อยทั้งสองคนมาดูยันต์นั้น พึ่งจะเข้าสู่ลมปราณก่อเกิดขั้นที่หนึ่งเท่านั้น จึงเป็นเรื่องปกติที่จะไม่ทราบว่าประโยชน์ของยันต์เสริมสมาธินั้นมีมากมายเพียงใด ถ้าหากเป็นผู้ที่ทราบคุณสมบัติของยันต์แล้วละก็ จะทราบราคาที่เหมาะสมของยันต์เอง

 

หลังจากที่สองหนุ่มสาวสองคนนั้นออกจากแผงลอยของเยี่ยจงแล้วนั้น ข่าวลือที่เขากำลังขายยันต์วิญญาณอยู่นั้นก็ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งตลาด แต่ทว่ายันต์เสริมสมาธิของเยี่ยจงนั้นก็ยังคงขายไม่ออก นั้นก็ว่าราคายันต์ของเขานั้นมีราคาถึงขั้นต่ำอยู่ที่หินวิญญาณระดับล่างหนึ่งหมื่นชิ้น ถ้าราคาหินวิญญาณระดับล่างหนึ่งหมื่นก้อนนั้นตามปกติผู้ฝึกยุทธ์เป็นไปได้ยากที่จะรับได้หรือบางทีอาจจะทำให้ตกใจจนสลบเลยก็ได้

 

การที่เยี่ยจงที่กล้าเรียกราคายันต์วิญญาณที่สูงถึงขนานนี้นั้น จำเป็นต้องมีความกล้าอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แต่ก็มีผลดีตรงที่ลูกค้าคนอื่นก็จะไม่กล้ามองแผงลอยของเยี่ยจงนั้นเป็นเพียงแค่แผงลอยธรรมดา ต่อให้รวบรวมผู้ฝึกยุทธ์ของหมู่บ้านสายรุ้งทั้งหมดมาเพื่อพิสูจน์ ก็รับรองได้เลยว่าไม่มีผู้ใดที่สามารถมองออกว่ายันต์ของเยี่ยจงนั้นเป็นของดี ในตอนนี้นั้นยันต์เสริมสมาธินั้นยังคงขายไม่ออก เวลาได้ผ่านเลยไปจนถึงช่วงเย็น

 

ตอนนี้เยี่ยจงนั้นเริ่มจะหมดกำลังใจ ในความทรงจำของหนุ่มน้อยเยี่ยจงนั้น บุคคลที่สามารถสร้างยันต์ในราชวงศ์โจวนั้นมีจำนวนน้อยซะยิ่งกว่าน้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ที่สามารถนำยันต์มาใช้ประโยชน์ได้ ในวันนี้ที่เขาเจอก็มีเอาแต่มองแผงลอยแต่ไม่กล้าที่จะเข้ามาเท่านั้น

 

ทันใดนั้นรอบๆแผงลอยของเขาก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมายลอบล้อมโดยคนกลุ่มหนึ่ง เยี่ยจงถอนหายใจคำหนึ่ง ตอนนี้เขาคิดไว้ว่าจะเก็บแผงอยู่ แต่ว่าตอนนี้มีเสียงต่างๆมากมายเข้ามาไม่ขาดสาย ทำให้เยี่ยจงต้องเพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น

 

“ ชิงม้ง ตลาดส่วนกลางนี้ใหญ่ที่สุดในของเมืองเจียงโจวแล้วละ แทบจะเทียบกับเมือง หยานจิงไม่ได้เลย ด้านในก็ดูเหมือนไม่มีอะไรน่าสนใจ ถ้าเจ้าอยากหาซื้อยันต์ ข้าว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลย ข้าคิดว่าเราสู้ไปเมืองหยานจิงเดินซักรอบสองรอบไม่ดีกว่าหรอกหรือ นักสร้างยันต์ของราชวงศ์โจวของเรานั้นแทบจะอยู่ที่นั้นก็ทั้งนั้น อาจจะดวงดีได้พบเจอขอให้สร้างยันต์สมาธิก็ได้ อย่างนั้นคุณป้าก็มีหนทางช่วยแล้ว “ คนที่พูดอยู่นั้นเป็นชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมยาวอยู่ บนร่างกายของเขานั้นได้แขวนหยกแผ่นหนึ่งไว้บนคอ ที่เอวคาดไว้ด้วยกระบี่ยาว มองโดยรวมแล้วถือว่าดูดี มีสง่าราศี

 

ด้านหน้าแผงลอยของเขานั้นมี เด็กสาวผู้หนึ่งกำลังเดินเขามา นางมีรูปร่างที่สูงอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปีสวมกระโปรงสีเขียว หน้าตาดูสะอาดสะอ้าน ให้บรรยากาศที่ดูสูงศักดิ์ ผิวพรรณผุดผ่อง ใบหน้าดูเล็ก บวกกับริมฝีปากอันน้อยดังเช่นดอกกุหลาบ แต่ทว่าใบหน้าของนางนั้นให้ความรู้สึกที่สงบ นางไม่เพียงเป็นสาวงามเท่านั้น แต่ยังถือว่างามมากอย่างยิ่งอีกด้วย

 

สาวงามนางนี้ยังคงนิ่งเฉย แต่ทว่าหางคิ้วที่เป็นดังเส้นตรงนั้นได้ขดขึ้นสูงเล็กน้อยบ่งบอกว่ามีความกังวลอยู่ หลังจากที่ชายหนุ่มเอ่ยปากขึ้น หางคิ้วของนางยิ่งขดตัวยกสูงขึ้นไปอีก

 

“ หยางไท้ ความจริงแล้วท่านไม่ต้องตามข้ามาก็ได้ พวกเราตระกูลหลิวนั้นเป็นเพียงตระกูลเล็กๆ ไปถึงเมืองเหยีนจิงที่นั้นตามหาผู้ฝึกยันต์เพื่อขอความเมตตาก็แล้ว แต่ทว่าพวกเขานั้นไม่แม้ตาชายตามองข้าเลย วันนี้ข้ามีข่าวลือว่าที่ตลาดแห่งนี้มีคนนำยันต์วิญญาณมาขาย จึงได้มาดู ถ้าหากท่านไม่ว่าอะไรแล้วละก็ ต่างคนต่างเดินจะดีกว่า “ คำพูดของสาวงามนามชิงม้งนางนี้ได้กล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ ราวกับกำลังดูแคลนชายหนุ่มนามหยางไท้ก็มิปาน

 

ชายหนุ่มหลังจากได้ยินคำพูด ก็พยายามหลบสายตาอันเย็นชาของนาง แต่ทว่าเขาก็ยังคงพยักหน้าฝืนยิ้มออกมา “ อย่างนั้นก็ได้ ข้าจะทำตามที่เจ้าขอ “

 

ที่ด้านหลังของทั้งสองคนมีหญิงสาวใส่ชุดฝึกยุทธ์ติดตามมาด้วย นางเงยหน้ามองหยางไท้รอบหนึ่ง หลังจากที่พบว่าเขาไม่มีการกระทำใดที่เกินเลย จึงค่อยๆกลับมายืนอยู่ที่ด้านหลังของทั้งสองคนตามเดิม ที่แท้หญิงสาวนางนี้คือผู้คุ้มกันของแม่นางชิงม้งนั้นเอง

 

“ ดู …. ดูที่แผงลอยนั้นสิ ….. นี้คือ ….. นี้คือยันต์วิญญาณของจริงใช่ไหม “ แม่นางชิงม้งมองไปทั่วตลาดส่วนกลางรอบหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นาน สายตาของนางก็หยุดอยู่ที่เยี่ยจง นางเหินเข้าหาอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะได้ดูยันต์วิญญาณบนแผงลอยให้ชัดเจน พร้อมกับเอ่ยกล่าวคำพูดตะกุกตะกักออกมา

 

“ เป็นของจริงแน่นอน แต่ทว่ายันต์วิญญาณใบนี้คือยันต์เสริมสมาธิเท่านั้น ความสามารถของมันคือ สามารถเพิ่มสมาธิแก่ผู้ฝึกยุทธ์ในยามที่กำลังฝึกได้ หรือไม่ก็สามารถรักษาอาการบอบช้ำภายในได้ “ เยี่ยจงต้องยอมฝืนอธิบายอย่างละเอียด เนื่องเพราะว่าการที่จะหาลูกค้าที่ดูแล้วพอจะมีความเป็นได้ว่าจะซื้อนั้นช่างยากเหลือเกิน

 

“ ยันต์เสริมสมาธิ “ น้ำเสียงของชิงม้งนั้นสั่นเครือ “ถ้า …. ถ้าอย่างนั้น ถ้านำมารักษาอาการบอบช้ำจากภาย นอนไม่ได้สติได้หรือไม่ “

 

“ ผู้ป่วยนั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ถึงขั้นใดหรือ ขอแค่ผู้ป่วยนั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ไม่มากกว่าขั้นก่อเกิดขั้นที่เก้า ยันต์เสริมสมาธิใบเดียวก็สามารถรักษาได้ “ เยี่ยจงนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยตอบ ความจริงแล้วถึงแม้เขาจะอยากรีบขายยันต์ใบนี้เร็วๆ เพื่อแลกกับหินวิญญาณ แต่ทว่าเขาก็ยังคงบอกผลของยันต์ไปตามตรง เนื่องจากในอนาคตเขาอาจจะต้องมายังที่นี้เพื่อขายยันต์อีกก็เป็นได้ ดังนั้นจึงไม่สามารถที่จะทำลายชื่อเสียงของร้านแผงลอยของตนเองตั้งแต่วันแรก

 

“ เยี่ยม ถ้าอย่างนั้นยันต์เสริมสมาธิใบนี้ข้าต้องการ ราคาเท่าไหร่ “ หลิวชิงม้งทำท่าพร้อมจะนำหินวิญญาณออกจากแหวนจักรวาล แต่หยางไท้นั้นก็ยังคงยื้อแย่งรีบร้อนเข้ามาแทรกกลางระหว่างการสนทนา เพราะว่าต้องการทำคะแนนต่อหญิงสาว

 

“ ราคาไม่ต่ำกว่าหินวิญญาณระดับล่างหนึ่งหมื่นชิ้นก็พอแล้ว หรือถ้าเกรงว่าจะยุ่งยาก ให้เป็นหินวิญญาณระดับกลางสิบชิ้นก็ได้ “ เยี่ยจงตอบ อีกทั้งไม่แม้แต่ชายตามองทั้งสองคน

 

“ อะไรนะ ข้าไม่รู้นะว่าเศษกระดาษแผ่นนี้ทำมาจากอะไร เจ้าต้องการหินวิญญาณขั้นกลางถึงสิบก้อน แบบนี้เจ้าไปปล้นไม่ดีกว่าหรือ “ หยางไท้ตะโกนด้วยใบหน้าที่เริ่มหมองคล้ำ ทำให้รอบข้างปกคลุมไปด้วยความเงียบ แต่ทว่า หลิวชิงม้งก็ไม่แสดงอาการอันใด “ เพียงหินวิญญาณระดับล่างสิบก้อนเท่านั้น จะเอาก็เอา ไม่เอาก็ไม่ต้องเอา “

 

หลังจากพูดจบ หยางไท้ก็โยนหินวิญญาณระดับล่างไว้ตรงหน้าเยี่ยจง พร้อมทั้งทำท่าจะหยิบยันต์เสริมสมาธิที่อยู่เบื้องหน้า

 

เยี่ยจงคิ้วขมวดขึ้น จากนั้นก็ลุกขึ้นพร้อมทั้งยื่นมือซ้ายออกไป ในเวลานั้นมือข้างนั้นก็ได้คว้าจับไปยังจุดชีพจรของหยางไท้

 

จากนั้นจึงค่อยๆคว้ายันต์เสริมสมาธิกลับมา เยี่ยจงได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เบา “ บิดามารดาของเจ้ามิได้สั่งมิได้สอนเจ้าหรอกหรือว่าควรจะปฏิบัติต่อผู้อื่นยังไง ถ้าหากไม่ละก็ ข้าจะสอนเจ้าเอง “

 

“ เพี๊ยะ —- “

 

หลังจากที่พูดจบ มือของเยี่ยจงก็ได้บรรจงประทับก็แก้มข้างซ้ายหยางไท้ จนทำให้หน้าตาที่หล่อเหลานั้นบวมจนคล้ายหัวหมูอยู่ครึ่งซีก               การกระทำของหยางไท้นั้นแทบไม่ต่างกับชิวเป่ยไห่เลย จนทำให้เยี่ยจงนั้นต้องรู้สึกรังเกียจ โดยไม่ต้องมีเหตุผล

 

“ เจ้า….. เจ้ากล้าลงมือกับข้า  เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร ข้านั้นเป็นคนของบ้านตระกูลหยางแห่งเมืองเจียงโจว —- —– “ หยางไท้พูดพร้อมทั้งจ้องมองด้วยความเครียดแค้น เจ้าบัดซบคนนี้กล้าลงกับข้า สงสัยจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว

 

“ เพี๊ยะ —- “

 

ฝ่ามือของเยี่ยจงนั้นได้ยื่นออกไปประทับที่แก้มอีกครั้ง โดยที่ไม่รอให้หยางไท้พูดให้จบก่อน จากนั้นจึงได้ตวัดขาข้างหนึ่งออกไปด้วยความดุดัน จนทำให้หยางไท้นั้นล้มลงกับพื้น เท้าขวาของเยี่ยจงนั้นได้บรรจบบนศีรษะของหยางไท้พร้อมทั้งขยี้ไปมาสองสามรอบ จากนั้นจึงขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง และก็พูดออกมาโดยราวกับบ่นกับตนเองว่า “ หนังหน้าชั่งหนาเหลือเกิน หนาซะจนทำให้มือข้าเจ็บเลย “

 

คำพูดนี้ถึงแม้จะดูเหมือนพูดออกมาลอยๆ แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถเอ่ยออกมาได้อย่างง่ายดาย นั้นก็เพราะว่าเยี่ยจงเมื่อก่อนนั้นได้ผ่านประสบการณ์เสี่ยงตายมาไม่น้อย อย่างเจ้าหยางไท้ที่ฝึกยุทธ์ดั่งวิชาแมวสาวขา มีหรือที่จะอยู่ในสายตาของเขา ถึงแม้ว่าเยี่ยจงในตอนนี้จะฝึกยุทธ์อยู่ที่ขั้นที่หนึ่งของลมปราณก่อเกิด สำเร็จการผลัดเปลี่ยนผิวหนังก็ตามที แต่เจ้าหยางไท้ที่ฝึกยุทธ์จนอยู่ขั้นสองของลมปราณก่อเกิด จึงมีผิวหนังที่แข็งแรงกว่าของเยี่ยจง

รอบข้างเริ่มเต็มไปด้วยคนมุงดูด้วยความสงสัยพร้อมกับคิดว่า เขาทำลงไปได้ยังไง ตีจนคนอื่นเป็นแบบนี้ ยังไปว่าหน้าของคนอื่นหนาแค่ไหนอีก เขาทราบหรือไม่ว่าคนที่เขาเหยียบหัวอยู่ตอนนี้เป็นใครกัน นั้นคือคนในตระกูลหยาง หยางไท้เชียวนะ

 

ในตอนนี้ผู้คุ้มกันที่อยู่ด้านหลังของชิงม้งนั้นได้จ้องมองไปที่เยี่ยจง ในสายตานั้นเต็มไปด้วยความกลัว แต่ก็เป็นเพียงพริบตาเท่านั้น เยี่ยจงนั้นลงมือเพียงสองกระบวนท่าแต่ก็ยังถือว่าออมมืออยู่ แต่ทว่าหยางไท้ที่ฝึกยุทธ์จนถึงขั้นที่สองของขั้นก่อเกิดยังไม่สามารถรับมือได้แม้แต่กระบวนท่าเดียวด้วยซ้ำ

 

ในขณะที่หลิวชิงม้งจ้องมองอยู่นั้น เยี่ยจงยังคงขยี้เท้าลงบนหัวหยางไท้อีกหลายทีจึงค่อยเงยหน้าขึ้นมามองที่ตาของนาง พร้อมกับเอ่ยว่า “ ตกลงเจ้าต้องการซื้อยันต์เสริมสมาธิใบนี้หรือไม่ “

 

“ ท่านได้โปรดไว้มือด้วย เนื่องด้วยเขาได้เดินทางมาพร้อมกับข้า แต่ว่าเขาเพียงแต่ไม่สามารถแสดงออกถึงความหมายที่ข้าต้องการจะสื่อ ยันต์เสริมสมาธิใบนี้ ข้ายังต้องการอยู่ “หลิวชิงม้งมีปฏิกิริยาตอบโต้ทันที ใบหน้าที่สงบของนางในตอนนี้แสดงถึงความเสียใจอยู่ด้วย ความแข็งแกร่งของเยี่ยจงที่แสดงออกมานั้นทำให้นางเพิ่มความมั่นใจว่ายันต์เสริมสมาธิใบนี้ต้องเป็นของจริงอย่างแน่นอน

 

“ชิงม้ง คนผู้นี้ ใส่ชุดคลุมสีดำ นั้นแสดงว่าไม่อยากที่จะเปิดเผยตัวตนให้คนอื่นทราบ ….  เจ้าอย่าไปโดนหลอกนะ ยันต์วิญญาณนั้นเป็นของปลอม แต่ …… “ หยางไท้นั้นได้ออกแรงดิ้นรนขัดขืนมากขึ้น จนตอนนี้เขาสามารถที่จะยกศีรษะขึ้นมาได้ กัดฟันพร้อมกับกล่าวออกมา

 

“ ผัวะ —- —- “

 

เยี่ยจงได้กดเท้าลงไปอีกครั้ง จนทำให้หยางไท้นั้นกัดโดนลิ้นตนเอง จนเลือดกลบอยู่เต็มปาก

 

“ นี้คือหินวิญญาณระดับกลางสิบชิ้น “ หลิวชิงม้งขมวดคิ้ว แต่ก็ยังนำหินวิญญาณที่มีขนาดเท่าผลองุ่นออกมาจากแหวนจักรวาล

 

เยี่ยจงมองดูเพื่อตรวจเช็คหินวิญญาณว่าถูกต้องหรือไม่ หลังจากนั้นเยี่ยจงจึงพยักหน้า “ ของนั้นครบถ้วนแล้ว ยันต์เสริมสมาธิใบนี้ข้าขายให้แก่เจ้า หลังจากกลับไปแล้ว เจ้าจงบีบหินวิญญาณให้แตก เพื่อกระตุ้นยันต์ใบนี้ให้ทำงานก็เป็นอันใช้ได้แล้ว “

 

พอจบ เยี่ยจงนำยันต์เสริมสมาธิวางบนมือของหลิวชิงม้ง และล้วงหินวิญญาณระดับกลางออกจากมือพร้อมหันหลังเดินจากไป

 

“ ท่าน โปรดหยุดก่อน ……. ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าอันใด ถ้าหากว่าท่านสามารถไปพบท่านแม่พร้อมกับข้าได้ละก็ ข้าจะให้เพิ่มอีกสิบ ไม่สิ เพิ่มหินวิญญาณระดับกลางให้อีกยี่สิบชิ้นเลย “