“ เป็นไร ? กล้าหรือไม่ ? “

 

เหร่ยโหย่วซวีหรี่ตามองไปทางเยี่ยจง ใบหน้าเต็มไปด้วยความท้าทาย ยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม

 

ทันใดนั้นรอบด้านหุบเขานั้นเอง มีผู้คนไม่น้อยขมวดคิ้วตามๆกัน ภายในสามกระบวนท่านี้ แม้จะดูเหมือนง่ายดาย แต่ทว่าก็อันตรายไร้ที่เปรียบปาน คุณชายทั้งสี่แห่งรัฐเหร่ยเทียนอันเลื่องลือ ท่ามกลางผู้คนมากมายมีคนไม่น้อยที่ได้ยินชื่อเสียงอยู่หลายครา ถ้าหากให้บุคคลเช่นนี้ออกกระบวนท่ามาสามกระบวนท่าแล้วละก็ เกรงว่าเยี่ยจงคงต้องไปพบยมบาลอย่างแน่นอน

 

ทันใดนั้นเอง ไม่ต้องกล่าวถึงผู้คนในที่นี้ แม้แต่ยอดฝีมือทั่วทั้งหุบเขาชิงเสียนนี้ แม้จะสามารถรับสามกระบวนท่าของเหร่ยโหย่วซวีได้ เกรงว่าก็ไม่พ้นห้ากระบวนท่าอยู่ดี อีกทั้งคนเหล่านี้ ทุกคนต่างก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงอยู่ไม่น้อยในรัฐต้าโจว

 

ทันใดนั้นไม่ทราบว่าเยี่ยจงผู้นี้โผล่มาจากที่ใด ถึงกับกล้าที่จะรับคำท้าโดยเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา หรือว่าคงคิดว่าจะสามารถรับสามกระบวนท่านี้ได้กัน ?

 

ในเวลานั้นเอง สายตานับไม่ถ้วนได้มองไปยังเยี่ยจง รอคอยคำตอบที่เขาเลือกออกมา

 

ทันใดนั้นเยี่ยจงก็ได้หลับตาลง หลังจากนั้น เขาก็ยิ้มออกมาแล้วตอบในทันที “ ได้ ถ้าเช่นนั้นคนเดียวรับสามกระบวนท่า…..ทว่า ให้ข้าได้กล่าวบ้าง ข้านั้นไม่เห็นสามกระบวนท่าของท่านนั้นอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำไป “

 

“ เหอะ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วละก็ ต่อให้แม่นางซูหยี่โทษว่าข้าลงมือหนักไป วันนี้ข้ายังไงก็มิอาจออมมือให้เจ้าได้แล้ว “ เหร่ยโหย่วซวียิ้มออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน

 

“ ถือว่ามีความมั่นใจอยู่มาก “ เยี่ยจงพยักหน้ารับหนักแน่น “ ทว่า ถ้าหากว่าท่านลงมือไว้ไมตรีให้ข้าแล้วละก็ ข้ารับรองว่า ราคานั้นก็คือชีวิตลูกน้องของเจ้าทั้งหมดในที่นี้ เจ้าเชื่อหรือไม่ ? “

 

เยี่ยจงก้าวเท้าเดินไปด้านหน้า ดวงตาจ้องมองไปยังเหร่ยโหย่วซวี อย่างน้อยเขาก็ไม่มีความสามารถพอที่จะหันหลังกลับไปแล้ว ทันทีที่สายตาของเขาสงบนิ่งแล้วนั้นเอง สีหน้าก็มิได้ปรากฏความเคลื่อนไหวใดๆ เมื่อนั้น คำพูดที่เขากล่าวออกมามิใช่คำพูดที่สามารถสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน เพียงแต่เป็นเหมือนดั่งเพียงคำพูดปกติธรรมดาเท่านั้น

 

“ เจ้าเด็กนี้ ไม่น่าจะคู่ควรที่จะเป็นคนของลัทธิแห่งดวงดาวเลย “

 

ทันใดนั้น รอบด้านก็ปกคลุมไปด้วยเสียงตื่นตะลึงอยู่ไม่น้อย เพียงแค่คำพูดที่กล่าวออกมาเมื่อซักครู่ เป็นเหมือนดังเสียงปลายเข็มที่ร่วงหล่นลงสู่พื้นก็มิปาน ทั้งสองต่างก็ชักกระบี่ออกมา มีคนไม่น้อยที่เผลอกัดลิ้นตัวเองไป

 

ความแข็งแกร่งของเหร่ยโหย่วซวีนี้เป็นที่น่าตื่นตกใจ แต่ว่าเจ้าคนที่มาจากลัทธิแห่งดวงดาวนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา ทันทีที่เขาปลดปล่อยพลังออกมา ถึงแม้ว่าจะเทียบกับของเหร่ยโหย่วซวีมิได้ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนยากที่จะไม่ให้ความสนใจได้

 

“ เหอะ ช่างไม่รู้พลังของตนเอง โอ้อวดคำโต “

 

มีคนไม่น้อยในที่นี้ยิ้มออกมาอย่างเยียบเย็น ไม่ว่าเยี่ยจงจะพูดได้น่าฟังซักแค่ไหน ความจริงก็ยังเป็นเช่นนั้น ทันใดนั้นลูกน้องเกือบร้อยคนของเหร่ยโหย่วซวี ที่ควรจะมีกำลังภายในอยู่ในขั้นก่อเกิดขั้นที่สามนั้น ต่อให้พลังของเยี่ยจงนั้นสามารถที่จะเคลื่อนขุนเขาแยกแม่น้ำได้ แต่ว่าในสิ่งที่เขาต้องการจะทำนั้น เกรงว่าจะยากเกินกำลังเกินไปแล้ว

 

มีเพียงแค่ซูหยี่ที่ยังคงขมวดคิ้ว ความจริงต้องการที่จะจัดการเรื่องราวเบี้องหน้านี้เอง ทว่าไม่ทันไร นางก็ต้องถอนหายใจคำหนึ่ง ร่างกายมิได้ขยับ ถึงแม้นางจะทราบถึงความสามารถของเยี่ยจงว่ามิใช่คู่มือของเหร่ยโหย่วซวีได้ แต่ในตอนที่เยี่ยจงกล่าวว่าจะสังหารเหล่าลูกน้องนับร้อยคนของเหร่ยโหย่วซวีนั้น นางไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่โอ้อวดคำโตเลย นั้นก็เพราะว่าเยี่ยจงในวันที่ประลองก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า เขามีความสามารถพูดได้ทำได้ แม้ว่าในวันนั้นซูหยี่จะมิทราบว่าเยี่ยจงนั้นทำได้อย่างไรกัน แต่ว่า เขาก็ยังสามารถทำออกมาได้ อีกทั้งถ้าเรื่องราวบานปลายจนมาถึงขั้นนั้นแล้วละก็ ต่อให้ตนเองเข้าไปช่วยเขาไกล่เกลี่ยกับเหร่ยโหย่วซวีก็ไม่ช่วยอะไร เพียงแต่ว่า ถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้วละก็ ครั้งนี้คงมาถึงคราวแตกหักกับหนึ่งในสี่คุณชายใหญ่แห่งรัฐเหร่ยเทียนคุณชายคงซวีแล้วละ

 

ทันทีที่พบว่าซูหยี่นั้นไม่ได้ร้อนรนหรือเตรียมการที่จะเข้ามาไกล่เกลี่ยเพื่อช่วยเยี่ยจง สายตาของเหร่ยโหย่วซวีก็ได้ทอประกายเข้มแข็งขึ้น อีกทั้งยังแฝงไว้ด้วยความหมายบางอย่างอย่างลึกซึ้ง

 

ทันทีที่เขาหรี่ตามองไปยังเยี่ยจง จากนั้นก็ได้หัวเราะกล่าวออกมา “ คนของลัทธิแห่งดวงดาว คำพูดช่างใหญ่โตซะจริง แต่ว่าเห็นแก่ฐานะของแม่นางซูหยี่ ข้าจะไม่เอาเรื่องให้ถึงที่สุด……เช่นนี้เป็นอย่างไร คุณชายเช่นข้าจะยอมถอยให้ก้าวหนึ่ง เพียงแค่เจ้าสามารถรับกระบวนท่าของคุณชายเช่นข้าได้หนึ่งกระบวนท่า เรื่องราวในวันนี้ก็ขอให้ผ่านไป เป็นอย่างไร ? “

 

“ จงจำเอาไว้ ครั้งนี้คุณชายเช่นข้ายอมอ่อนข้อให้เจ้าขนาดนี้แล้ว ถือว่าเป็นโอกาสสุดท้ายของเจ้าแล้ว “

 

หลังจากเสียงกล่าวของเหร่ยโหย่วซวีจบลง เสียงร้องด้วยความตกใจก็ได้ออกมามากมายจากบริเวณด้านหน้าหุบเขา ทันใดนั้นคงมิมีผู้ใดคาดเดาได้ว่า ภายในการปะกระลองกระบี่ของทั้งสองในเวลานี้ เหร่ยโหย่วซวีจะอ่อนข้อให้หรือไร

 

เยี่ยจงหรี่ตามองดู จากนั้นก็ค่อยๆกุมมือขวาไว้แน่น หลังจากนั้น เขาก็สูดลมหายใจยาวๆเข้าไปหนึ่งคำ แม้ว่าเขาจะอยากลงมือประลองกันอย่างจริงจัง เพียงแต่ว่าเหตุการณ์เช่นนี้ต่างก็ไม่ส่งผลดีกับทั้งสองฝ่าย ดังนั้น ก็คงมีแต่ส่งผลดีแก่ผู้อื่นแทน

 

จากนั้น หลังจากที่จ้องมองไปที่นัยน์ตาของเหร่ยโหย่วซวีแล้ว เยี่ยจงในที่สุดก็ยิ้มแล้วตอบกลับไป “ หนึ่งกระบวนท่าก็หนึ่งกระบวนท่า ถือว่าเห็นแก่หน้าศิษย์พี่หญิงซูหยี่ ข้าก็จะรับหนึ่งกระบวนท่าของเจ้า……หากว่าข้าไม่สามารถต้านทานได้แล้วละก็ วันนี้ข้าจะมอบแขนของข้าให้ ถือว่าเป็นมอบให้แก่ท่าน แต่ว่า หากว่า ถ้าข้ารับหนึ่งกระบวนท่าของท่านได้แล้วละก็ ท่านมีสิ่งใดจะให้ข้ากัน ? “

 

“ เจ้าต้องการสิ่งใด ? “ หางคิ้วของเหร่ยโหย่วซวีชนเข้าหากัน กล่าวเสียงดังกังวาน

 

“ ท่านโปรดวางใจ ของอันน้อยนิดบนตัวท่าน ข้านั้นความจริงไม่เห็นอันใดมีค่าเลย เพียงแต่ว่า หากข้าสามารถรับมือท่านหนึ่งกระบวนท่าได้แล้วละก็ รวมทั้งตัวข้าเอง หรือว่าทุกๆคนในที่นี้ ต่างก็สามารถที่จะผ่านหุบเขาลูกนี้เข้าไปได้ทุกคน ดีหรือไม่ ? “ เยี่ยจงหัวเราะอย่างไร้ซุ้มเสียงออกมา จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงปกติธรรม ทว่า เสียงที่ได้ยินมานั้นต่างก็ได้ยินชัดถ้อยชัดคำกันทุกคน

 

“ อย่างนั้นก็ได้ ถือว่าศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาวนั้นมีน้ำใจมากนัก “

 

“ คุณชายคงซวี ท่านก็เป็นถึงหนึ่งในสี่คุณชายใหญ่แห่งรัฐเหร่ยเทียน คงไม่ถึงกับไม่กล้ารับปากเรื่องแค่นี้ละมั่ง “

 

“ ใช่แล้วใช่แล้ว การตกลงเป็นของทั้งสองฝ่าย ก็แค่หนึ่งกระบวนท่าเท่านั้น “

 

หลังจากที่รอบด้านได้นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีเสียงดังออกมาราวกับเสียงที่กำลังจะระเบิดภูเขาทั้งลูกลงมา เป็นที่ชันเจน ว่าในตอนแรกนั้น มีคนไม่น้อยที่เตรียมพร้อมที่จะดูก่อนประลองนี้ แต่ว่าหลังจากที่ได้ฟังคำพูดที่ดูเรียบง่ายของเยี่ยจงแล้ว ทุกคนต่างก็เหมือนฝากวงล้อแห่งชะตากรรมไว้กับเขา ในตอนนี้ เหร่ยโหย่วซวีได้ยืนอยู่เบื้องหน้าของทุกผู้คนแล้ว

 

ซูหยี่มองไปที่เยี่ยจงด้วยความแปลกใจ เกี่ยวกับลักษณะนิสัยที่ผ่านมาของเยี่ยจงนั้น นางก็ถือว่าเข้าใจอยู่หลายส่วน แต่การกระทำเช่นนี้ที่ไม่เห็นถึงผลดี มีแต่จะทำให้เพิ่มพูนความเกลียดชังของคุณชายคงซวีมากขึ้นเท่านั้น เขาก็ยังจะทำอีกหรือ ?

 

และในระหว่างที่เห็นเยี่ยจงกำลังเจรจาอยู่นั้น ใบหน้าของเหร่ยโหย่วซวีได้เปลี่ยนแปลงปั้นยากอยู่หลายส่วนออกมา การที่เขาจะเก็บรวบรวมแผนที่ทางเข้าอารามสิบชิ้นนั้น ความจริงเป็นวิธีการของเขาเอง แต่ทว่าเมื่อตอนที่เยี่ยจงกล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมา ก็เป็นเหมือนการตัดรอนวิธีการของเขา ไม่ทำให้เขาปวดเศียรเวียนเกล้าได้อย่างไรกัน

 

“ เป็นอย่างไร ? ท่านกลัวแล้วหรือ ? “ เยี่ยจงใบหน้าเคลือบไปด้วยความเยียบเย็น นัยน์ตาทอประกายเย้ยหยันออกมา

 

“ เฮอะ เฮอะ เฮอะ กลัวหรือ คุณชายเช่นข้ามีหรือจะเกรงกลัว “ เหร่ยโหย่วซวียิ้มอย่างมีเลศนัย ใบหน้าเต็มไปด้วยความหล่อนั้น ทันใดนั้นก็ได้ปกคลุมไปด้วยรังสีการฆ่าฟันอย่างเต็มเปี่ยม “ ในเมื่อเจ้าชอบที่จะเป็นคนดีแล้วละก็ ถ้าอย่างนั้นคุณชายเช่นข้าก็จะสนองให้เอง กระบวนท่านี้ เตรียมรับมือ “

 

“ ปัง——”

 

เหร่ยโหย่วซวีก้าวเท้ามุ่งหน้าไปยังจุดที่เยี่ยจงอยู่ จากนั้นก็ใช้มือทั้งสองข้างปรบมือเบาๆ ร่างกายในเวลานี้ก็ได้ปกคลุมไปด้วยประกายสายฟ้าคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง ไม่นานนัก ทั่วทั้งร่างก็มีสายฟ้าวิ่งผ่านไปมาอย่างไม่หยุดยั้ง

 

“ ตระกูลเหร่ย(อัสนี) วิชากำลังภายในขั้นต่ำประจำตระกูล เทียนเหร่ยจวี้ ( วิชาอัสนีนภาลัย ) “

 

ซูหยี่หรี่ตามองดู จากนั้นนางก็นึกออกมาได้ การใช้วิชาเทียนเหร่ยจวี้นั้นเขาเองก็ยังมิอาจสามารถควบคุมพลังเอาไว้ได้ หรือแม้กระทั่งการเก็บกักพลังของวิชาก็ยังมิอาจทำได้ ในเมื่อเขาใช้วิชาชุดนี้ออกมา คงก็หมายความว่าเยี่ยจงนั้นทำให้ความอดทนอดกลั่นของเหร่ยโหย่วซวีมาถึงจุดต่ำสุด เพื่อที่จะฆ่าเยี่ยจงให้ตายภายในกระบวนท่าเดียวเท่านั้น

 

ทางด้านฝั่งตรงข้ามตอนนี้ ใบหน้าของเยี่ยจงปกคลุมไปด้วยความเย็นชา ค่อยๆก้าวเท้าเดินไปด้านหน้า เริ่มปลดปล่อยพลังลมปรานให้ไหลเวียนทั่วร่างออกมา

 

วิชาลมปราณโจวเทียน (สวรรค์ทั้งเจ็ด) ลมปราณชนิดนี้จำเป็นที่จะต้องเป็นยอดฝีมือที่เข้าสู่ลมปราณขั้นก่อเกิดขั้นที่ห้าจึงจะสามารถใช้ได้ เป็นอย่างน้อย หรือก็คือเหร่ยโหย่วซวีนั้นยังไม่อาจปลดปล่อยได้นั้นเอง

 

“ ปุ้ง ——”

 

พลังลมปราณโจวเทียนที่หลั่งไหลออกมาของเยี่ยจงนั้นดังออกมาเป็นสายราวกับเสียงกระบี่สั่นไหวดังจิจ๊ะ ในช่วงเวลานั้นเอง ท่วงท่าอัปกิริยาของเยี่ยจงนั้น เป็นเหมือนราวกับเทพสวรรค์ลงจากนภาก็มิปาน แม้แต่การก้าวท้าวก็ยังสามารถทำให้ผู้คนตะลึงลานได้

 

“ อะไรกัน ? “

 

ทั่วทั้งสี่มุมแปดทิศนั้น ผู้คนมากมายในตอนนี้ต่างส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจออกมา จนในที่สุดทุกคนก็ทราบแล้วว่า ที่เยี่ยจงขวัญกล้าบังอาจลมคมคุณชายคงซวีท่านนี้ แน่นอนว่าเขาเองก็ต้องมีไพ่ตายของเขา แต่ว่าก็ไม่มีใครทราบได้ว่า พลังที่ออกมาจากตัวเยี่ยจง ความจริงจะสามารถรับมือกับคุณชายคงซวีได้หรือไร

 

สายตาดูถูกดูแคลนของเหร่ยคงซวีนั้นได้หายไปตั้งแต่แรกแล้ว หรืออาจเป็นเพราะรับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่แพร่พุ่งมาจากเยี่ยจงกัน หลังจากช่วงวินาทีนั้นเอง เขาก็ก้าวเท้าออกไป ทั่วทั้งร่างที่ปกคลุมไปด้วยพลังอัสนีไหลเวียนออกมาไม่ขาดสาย จากนั้นก็ใช้ออกด้วยพลังฝ่ามือออกไป พลังอัสนีส่งเสียงดังระงมต่อเนื่องแผ่ออกมา รวมตัวกันแล้วฉีกอากาศรอบบริเวณจนทำให้ผู้คนตกใจเคลื่อนไหวออก อีกทั้งยังพุ่งตรงเข้าไปหายังบริเวณที่เยี่ยจงอยู่

 

เป็นที่ชัดเจนว่า กระบวนท่านี้ของเหร่ยโหย่วซวีนั้นไม่ได้มีความยั้งมือไว้เลย

 

เยี่ยจงมองไปยังกระบวนท่าเบื้องหน้าตาไม่กระพริบ ดวงตาเต็มไปด้วยความสงบนิ่งไร้ที่สิ้นสุด จากนั้นเขาก็เริ่มที่จะบีบมือด้านขวาเพื่อที่จะใช้เพลงกระบี่ กำลังภายในภายในร่างเริ่มเคลื่อนไหวไปตามที่เขาต้องการ อีกทั้งเขาก็ใช้ออกกระบวนท่าในเวลาเดียวกัน

 

“ ชิร์ ——”

 

ตอนนี้เพลงกระบี่และภายในจิตใจของเยี่ยจงนั้นได้รวมเข้าไว้ด้วยกัน จากนั้นก็มีเสียงดังออกมาเบาๆ เยี่ยจงชี้กระบี่เข้าไป กระบี่ก็ได้สั่นไหวทอประกายขึ้นมาพุ่งออกไป

 

“ เปรี้ยง ——”

 

หลังจากที่ทั้งสองปะทะเข้าหากัน ชั่วขณะนั้นเอง รอบบริเวณต่างถูกแผ่พุ่งด้วยพลังจนทำให้กลุ่มคนตกอยู่ในอาการตกใจ อีกทั้งใบไม้บริเวณรอบข้างต่างบินออกไป กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง

 

อีกทั้งเหล่ายอดฝีมือที่ดูอยู่รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นเหล่าลูกน้องของเหร่ยโหย่วซวี หรือว่าจะเป็นกลุ่มยอดฝีมือจากที่อื่น แม้กระทั่งซูหยี่ก็ตาม ร่างกายต่างอยู่ในอาการตกใจตามๆกัน จากนั้นต่างก็ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว แต่ทว่าในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ยังคงมองไปยังด้านหน้าอย่างไม่ลดละ ทางด้านบริเวณนั้น ก็ค่อยๆเห็นร่างของทั้งสองชัดขึ้นในเวลาเดียวกัน

 

“ ตึก ——”

 

ในขณะเดียวกัน ร่างกายของเยี่ยจงก็ได้สั่นไหวไปมา จากนั้นก็ทั่วร่างก็ซวนเซถอยหลังไปสามก้าว จากนั้นค่อยหยุดลง อีกทั้งในเวลาเดียวกันนั้นเอง เหร่ยโหย่วซวีก็อยู่ในอาการตื่นตะลึง ก้าวไปยังด้านหลังถึงครึ่งก้าว

 

“ เป็นไปได้อย่างไรกัน ? “

 

หลังจากที่ มองไปยังฉากเบื้องหน้า จากนั้นก็มีผู้คนไม่น้อยที่สูดลมหายใจด้วยอาการตื่นตะลึง จากนั้นก็ได้ปล่อยออกมา

 

ในมือเยี่ยจงในขณะนั้น ผู้คนไม่น้อยที่มองออกว่าเขามีพลังฝีมืออยู่เพียงแค่ขั้นก่อเกิดขั้นที่สามเท่านั้น แต่ทว่า เขาสามารถรับกระบวนท่าของเหร่ยโหย่วซวีที่มีพลังฝีมือถึงขั้นก่อเกิดขั้นที่ห้า

 

ในขณะนั้นเอง รอบบริเวณต่างอยู่ในอาการตะลึงลาน