หลังจากที่เยี่ยจงใช้ด้วยออกด้วยเพลงกระบี่เสร็จแล้ว ก็ได้ค่อยๆเก็บกระบี่กลับเข้าไป เพียงแต่ว่าใบหน้าของเขาดูเหมือนราวกับกำลังคิดบางอย่างอยู่เล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาเองจะมิได้ชอบใจกับกระบวนท่านี้เหร่ยโหย่วซวีเลย เหมือนกับว่าเขาพึ่งกระทำเรื่องราวบางอย่างที่เล็กน้อยไม่สำเร็จก็มิปาน

 

“ ตอนนี้ ก็ถือว่าข้ารับหนึ่งกระบวนท่าของท่านได้แล้วใช่หรือไม่ ? “ เยี่ยจงค่อยๆถามออกมา

 

“ เจ้า ——”

 

นัยน์ตาของเหร่ยโหย่วซวีก็ได้ทอประกายความตะลึงอยู่ภายใน เป็นที่ชัดเจนว่าเขาเองก็คิดไม่ถึงว่า เยี่ยจงรับกระบวนท่านี้ของตนเองไปได้อย่างไรกัน หากเป็นผู้อื่นก็อาจจะไม่ทราบได้ แต่เขานั้นรู้ดีอยู่แก่ใจ เมื่อครู่เขามิได้คิดที่จะแม้กระทั่งยั้งมือไว้ไมตรีเลย แต่ทว่า เด็กน้อยเบื้องหน้าก็ยังสามารถรับกระบวนท่าเอาไว้ได้ ความคิดผ่านไปเพียงชั่วครู่ ภายในใจของเหร่ยโหย่วซวีดูเหมือนจะมีบางอย่างที่อัดแน่นราวกับกำลังบีบคั้นจิตใจอยู่ หากคนประเภทนี้ต่อไปเติบใหญ่ขึ้นมา วันข้างหน้าจะเป็นเช่นใดกัน ?

 

“ คุณชายคงซวี ท่านคงมิใช่กำลังเตรียมการที่จะตระบัดสัตย์หรอกนะ ? “ ซูหยี่กวาดสายตาทอประกายคมกล้ามองไปยังเหร่ยโหย่วซวีอย่างไม่ลดละ ถึงกับก้าวออกไปในเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังรีดเร่งกำลงภายในออกมาปกคลุมอยู่ทั่วร่างในขณะนี้ ดูเหมือนว่า นางจะมองเห็นอะไรบางอย่าง ถ้าหากว่าเหร่ยโหย่วซวีเตรียมการที่จะตระบัดสัตย์แล้วละก็ นางก็คงมิอาจเกรงใจต่อไปได้แล้ว

 

“ เหอะ เหอะ แม่นางซูหยี่กล่าวอันใดกัน คุณชายเช่นข้ามิหรือจะทำเรื่องเช่นนี้กัน ? “ เหร่ยโหย่วซวีเงียบงัน จากนั้นก็ยิ้มและกล่าวออกมา เหร่ยโหย่วซวีนั้นรู้อยู่ใจดีอยู่แล้ว ในความคิดของเขาเองนั้น พลังฝีมือของพวกเขาหากเทียบกับเยี่ยจงและซูหยี่ทั้งสองก็ถือว่าห่างชั้นกันอยู่หลายขั้น แต่ถ้าหากต้องถึงกับลงมือกันแล้วละก็ เกรงใจตนเองก็คงจะสูญเสียไปไม่น้อยเช่นเดียวกัน ดังนั้นเหร่ยโหย่วซวีจึงไม่คิดว่า คำพูดที่เยี่ยจงกล่าวออกมาก่อนหน้านี้คงมิใช่เพียงลมปากเพียงแค่นั้น

 

จากนั้นก็ทอดตายังไปทางเข้าสู่อารามก่อฟ้าที่ถูกปิดทางไว้อยู่ หากว่าต้องมาสูญเสียกำลังพลโดยใช่เหตุแล้วละก็ ก็เรื่องราวที่เพียงแค่ใช้ความคิดแก้ปัญหาก็เพียงพอแล้ว หากยังต้องการที่จะกลับเข้าสู่สนามรบ ที่อยู่ภายในอารามก่อฟ้า สิ่งนี้ก็ยังถือว่าเป็นโอกาสอยู่

 

จากนั้น เพียงเวลาไม่นาน สายตาของเหร่ยโหย่วซวีก็ได้ทอประกายวูบหนึ่ง จากนั้นสายตาของเขาก็ได้หยุดอยู่ที่เยี่ยจงอีกครั้ง

 

“ เจ้าเรียกว่าเยี่ยจงใช่หรือไม่ เยี่ยจงของลัทธิแห่งดวงดาว คุณชายเช่นข้าจะขอจดจำเอาไว้ “

 

“ ไป “

 

หลังจากคำพูดจบลง เหร่ยโหย่วซวีก็ได้หันตัวมุ่งสู่ภายในหุบเขาจากไป หญิงสาวชุดขาวที่กางร่มอยู่ก็ได้หันกลับมามองเยี่ยจงอย่างลึกซึ้งคราหนึ่ง จากนั้นก็ได้เหินตามไป หลังจากนั้น เหล่ากลุ่มคนที่แผ่พุ่งรังสีสังหารออกไปราวๆเกือบร้อยคน ก็เหินหลบออกไปอย่างรวดเร็ว หลงเหลือไว้เพียงเยี่ยจงที่ยังคงยืนอยู่กับที่

 

ซูหยี่หลังจากที่เห็นว่าเหร่ยโหย่วซวีจากไปแล้วนั้น ก็ได้ส่งเสียงดังเฮอะออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็หันไปทางเยี่ยจงหัวเราะอย่างเช่นแล้วกล่าว “ ศิษย์น้องเล็ก คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีความสามารถที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ “

 

เยี่ยจงค่อยๆส่ายหัวไปมา มองไปบริเวณทิศที่เหร่ยโหย่วซวีหายสาบสูญไป กล่าวออกมาดังๆ “ หากว่าต้องลงมือกันอย่างจริงจังแล้วละก็ ถึงแม้ข้าจะสามารถให้บทเรียนราคาแพงแก่เขาได้ แต่ว่าก็ว่าจะสำเร็จอย่างง่ายดาย…ชื่อเสียงของสี่คุณชาย คงจะมีคุณค่าในตัวของมันอยู่ไม่น้อย “

 

เป็นที่ชัดเจนว่า เยี่ยจงถึงแม้จะทราบระดับพลังของตนเองอย่างชัดเจนอยู่แล้ว เกี่ยวกับยอดฝีมือที่มีพลังฝีมือถึงขั้นก่อเกิดขั้นที่ห้า ก็ยังมิใช่จะต่อกรได้อย่างง่ายดาย

 

“ เพียงแต่ว่า ถึงแม้เขาจะไม่กล้าที่จะลงไม้ลงมือออกมา ในพบกันในครั้งต่อไป ข้าก็คงไม่คิดว่าจะสามารถพูดคุยกันดีๆแล้วละ “

 

หลังจากที่มองดูใบหน้าที่ปกคลุมไปด้วยความเย็นชาของเยี่ยจงแล้ว ซูหยี่ก็ได้ยิ้มออกด้วยใบหน้าเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์กล่าวว่า “ ใจกลางอารามก่อฟ้าแห่งนี้ ของดีนั้นก็ยังคงถือว่ามีอยู่ไม่น้อย หากมีวาสนาได้รับแล้วละก็ ไม่ว่าจะเป็นโอสถวิเศษหรือว่าคัมภีร์วิเศษ อาจจะได้รับอยู่ไม่มากก็น้อยละ หากเจ้าศิษย์น้องเล็กสามารถที่จะก้าวเข้าสู่ลมปราณขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่แล้วละก็ ข้าคิดว่าฝีมืออย่างเหร่ยโหย่วซวีก็คงไม่ใช่คู่มือของเจ้าแล้วละ “

 

หลังจากนั้นเยี่ยจงก็ไม่มีการตอบรับใดๆ เขาได้แต่เงียบอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็โบกมืออกไป ร่างกายของทั้งสองก็พุ่งออกไปในเวลาเดียวกัน

 

หลังจากที่ทั้งสองคนไปจากไปแล้ว ที่เบื้องหลังนับพันคนนั้นเอง ก็ค่อยๆได้สติกลับคืนมา เมื่อครู่ที่เยี่ยจงพึ่งจะช่วยพวกเขารับศึกหนักมา แต่ก็นับว่าได้ช่วยพวกเขาแก้ไขปัญหาอันน่ารำคาญไปได้ ในขณะนี้ ก็ยังมีผู้คนไม่น้อยมองไปยังจุดที่เยี่ยจงจากไปอยู่ ภายในนัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความประหลาดชนิดหนึ่ง แต่ว่า ไม่ว่าในใจพวกเขาจะคิดเช่นไรก็ตาม แต่ก็ถือว่าพวกเขาสามารถบรรลุผลที่ต้องการแล้ว

 

หนึ่งกระบวนที่สามารถพัดผ่านมาจากรัฐเหร่ยเทียนของคุณชายคงซวีที่เป็นถึงหนึ่งในสี่คุณชายใหญ่ การมาของผู้มาจากลัทธิแห่งดวงดาวทั้งสอง ที่ยากจะพบพาน
T/L แปลยากอ่ะ มั่วๆหน่อยนะครับ ผ่านๆมันไป 555+

 

…………

 

หลังจากที่ทั้งสองได้เข้าไปยังส่วนลึกของหุบเขาแล้ว ในระหว่างทางก็ไม่พบกับอุปสรรคใดๆ อาจเป็นเพราะว่า เห็นได้ชัดว่า เหร่ยโหย่วซวีผู้นั้นมิได้ลงมืออะไรหลังจากนั้น หรืออาจจะกล่าวได้ว่า เขาเองก็อาจจะรู้ว่าการลงมือเพียงเล็กน้อยต่อเยี่ยจงนั้นถือว่าไม่ก่อประโยชน์อันใด หรืออาจมองอีกนัยหนึ่งก็คือ อาจจะเตรียมการใหญ่รับมือแทนก็เป็นได้

 

“ ซวบ  ——”

 

หลังจากที่ร่างของทั้งสองเหินออกมาจากในป่า หลังจากนั้น ก็ได้หยุดเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงอยู่บริเวณด้านหน้าของหุบเขาอันกว้างใหญ่

 

หลังจากที่พบว่าบริเวณด้านหน้าเป็นหุบเขา อีกทั้งทางด้านของหุบเขาก็ยังมีความลึกที่หากมีสิ่งมีชีวิตตกลงไปก็มิอาจจะกลับขึ้นมาได้เลย อีกทั้งนั้นเอง รอบบริเวณด้านบนของหุบเขาลึก ก็ได้มีผู้คนทั้งสูงใหญ่และต่ำเตี้ยมากมายล้อมอยู่ บริเวณรอบทางด้านหลัง และอีกมากมายที่เหินลงมาด้วยความตกใจ หยุดยืนกันเป็นแถว เหมือนดั่งกำลังเห็นขบวนแห่ขันหมากก็มิปาน

 

“ ผู้คนช่างมากมายเหลือเกิน “ ซูหยี่อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา ผู้คนยิ่งมาก็ยิ่งมาก ดูเหมือนว่าโอกาสที่จะทำภารกิจสำนักยิ่งมายิ่งลดน้อยถอยลง กับเหตุการณ์เช่นนี้ เป็นสิ่งที่นางไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุดก็ว่าได้ แต่ทว่าการดึงดูดของอารามก่อฟ้าก็ยังคงเป็นที่สนใจของนางอยู่ดี อีกทั้งด้วยเหตุผลอีกหลายประการ ในเมื่อมีผู้คนมากมายรู้เรื่องเข้าแล้ว หรือต่อให้เป็นนางเองก็มิอาจจะโทษใครได้

 

“ ถ้ามองจากในแผนที่ หากเข้าไปในหุบเขาแล้ว ควรที่จะบริเวณรอบนอกทางเข้าอารามแล้วสิ ? ถึงแม้ว่าจะไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวังไว้ อย่างน้อยเราก็ยังมาถึงทางเข้าของอารามก่อฟ้าเหมือนกันแล้ว เพียงแต่ว่า ในเมื่อตอนนี้ผู้คนช่างมากมายเช่นนี้ก็ได้แต่เพียงรออยู่เช่นนี้อย่างว่าง่ายจะดีกว่า “ เยี่ยจงมองหาที่ก้อนหินเพื่อที่จะเข้าไปหลบพักผ่อนอย่างไม่ค่อยตั้งใจ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังบริเวณหุบเขาลึก ภายในดวงตาปกคลุมด้วยความคิดยากยั้งคาด อีกทั้งระหว่างกลางของหุบเขานั้นยังมีทะเลหมอกปกคลุมอยู่ คอยบดบังสิ่งที่อยู่ทางด้านหน้า จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถเห็นว่าทางด้านนั้นมีอะไรอยู่กันแน่

 

ทันใดนั้น เหล่ายอดฝีมือรอบด้านมากมายในมือต่างก็นำแผนที่ออกมาไว้ในมือ มองดูอย่างพินิจวิเคราะห์ ทว่าเมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้กันแล้ว ก็ยังมิมีผู้ใดที่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ

 

“ ถ้าหากมีวิธีสามารถเข้าไปได้แล้วละก็ คนเหล่านี้จะสามารถที่จะอดทนได้ไหมนะ ? “ ซูหยี่กล่าวออกมาเสียงดัง “ ในตอนที่ข้านั้นกำลังตรวจสอบบันทึกของลัทธิแห่งดวงดาวของพวกเราก่อนหน้านี้ เจ้าอารามก่อฟ้านี้มิใช่สถานที่ที่จะสามารถเข้าไปได้อย่างง่ายดายเช่นนั้น หรือถ้าไม่เช่นนั้นละก็ ภายในอารามก่อฟ้าคงถูกผู้คนกวาดสิ่งของจนไม่หลงเหลือสิ่งใดแล้วละ มีหรือที่จะต้องรอคอยพวกเราลงมือออกมา “

 

“ อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ “ เยี่ยจงหรี่ตาลงเล็กน้อย มองไปยังบริเวณทางด้านหลัง “ ทว่าในครั้งนี้ก็มีการเปิดเผยการเข้าสู่อารามก่อฟ้าแล้ว ดังนั้นจึงสามารถดึงดูดผู้คนมากมายได้เช่นนี้ ถึงอย่างไรเรื่องราวก็มิใช่เรื่องเท็จแล้วละ ต่อจากนี้พวกเราจะทำอย่างไรต่อไป ก็คงต้องรอดูกันต่อไปแล้วละ “

 

“ งั้นก็รอดูกันเถอะ “ ซูหยี่พยักหน้า จากนั้นก็นั่งลงบริเวณด้านข้างของเยี่ยจง จากนั้นพิงไปยังก้อนหิน เหม่อมองไปทางด้านของหุบพร้อมกับเขา

 

ความรู้ร่างกายของเยี่ยจงก็ถือว่าสูงใหญ่ไม่น้อย อีกทั้งหากรวมกับพลังที่เปี่ยมล้นออกมาอย่างมากมาย ร่างกายของเขานั้นจะบอกว่าเป็นร่างกายของเด็กหนุ่มก็เป็นสิ่งที่มองออกได้ยาก อีกทั้งในตอนนี้ยังนั่งพิงก้อนหินพร้อมกับซูหยี่ เป็นภาพที่ดูเหมือนดั่งเซียนเทพกำลังพักผ่อนก็มิปาน สามารถที่จะดึงดูดสายตาของผู้คนรอบข้างได้ไม่น้อย

 

ภายในกลุ่มคนเหล่านี้ เหร่ยโหย่วซวีก็ได้กวาดตาออกไปด้วยเช่นกัน อีกทั้งการมองในครั้งนี้สายตาของเขากับทอประกายไปยังบริเวณที่มีหมอกปกคลุมอยู่ จากนั้นเขาก็ครบมือออกไปคราหนึ่ง หัวเราะออกมาอย่างเย็นชาแล้วกล่าว “ เจ้าเด็กที่ช่างไม่รู้จักฟ้าสู้แผ่นดินต่ำ สมบัติที่คุณชายเช่นข้าต้องการ ยังมิเคยตกไปถึงมือผู้ใดมาก่อน “

 

อีกทั้งนอกจากเหร่ยโหย่วซวีแล้ว ยังมีผู้คนมากมายที่ยังคงจ้องมองไปทางด้านเยี่ยจงและซูหยี่อยู่เช่นกัน ถึงแม้จะมีหลายคนที่ไม่รู้จักเยี่ยจงก็ตาม แต่ทว่าหากเป็นซูหยี่แล้วละก็ ก็มีคนไม่น้อยที่จะไม่รู้จักนางผู้ซึ่งมีสถานะเป็นถึงศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาว

 

“ ศิษย์พี่หญิงซูหยี่ “

 

หลังจากที่นั่งรออยู่ยังไม่ทันถึงครึ่งชั่วยามนั้นเอง ทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้านก็ได้ปกคลุมไปด้วยผู้คนที่ยิ่งมาก็ยิ่งเยอะขึ้น ขณะนั้นเอง ก็ได้ปรากฏเสียงร้องสดใสดังออกมา

 

หลังจากที่เสียงนั้นหยุดลง ซูหยี่และเยี่ยจงทั้งสองก็ได้กวาดสายไปมองไปอย่างพร้อมเพรียงกัน ในระหว่างนั้นก็พบว่าในท่ามกลางกลุ่มคนนั้นเอง ก็ได้มีคนสามคนเดินอย่างเร่งรีบออกมาจากกลุ่มคน ใบหน้าเต็มไปด้วยความสดใสมองไปทางด้านซูหยี่

 

บุคคลทั้งสามนั้นเป็นสาวน้อยสวมใส่ชุดกระโปรงสีเขียวสดใส อายุน่าจะประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี อีกทั้งทั้งสามคนยังมีลักษณะคล้ายๆกัน มีใบหน้าสีแดงสดงดงาม เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนต่างหลงไหลได้

 

หลังจากที่ทั้งสามคนพบเห็นซูหยี่ ราวกับว่าได้พบพานญาติสนิทก็มิปาน จิตใจนั้นเปี่ยมไปด้วยความสุข

 

เยี่ยจงมองไปตอนที่ทั้งสามคนกำลังปรากฏตัว ความจริงอยากจะเลื่อนมือออกมาเพื่อที่จะเกาศีรษะของตน นั้นก็เพราะว่าบนใบหน้าของหญิงสาวทั้งสามนั้น เขารู้สึกได้ถึงคำสองคำออกมา —– ยุ่งยาก(น่ารำคาญ)

 

ทว่าเยี่ยจงก็เพียงแค่คิดเท่านั้น ในเมื่อซูหยี่ยังมิได้แสดงความเห็นเช่นนี้ หลังจากที่พบสาวน้อยทั้งสาม นางก็ได้ส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ “ ฉียวี่  ชวีเซวียน  ซือหลิง ? พวกเจ้าทั้งสามพลังฝีมือยังอยู่แค่พลังลมปราณขั้นก่อเกิดขั้นที่สาม มายังที่แห่งนี้ทำไมกัน ? “

 

“ ความจริงพวกเราได้มาทำภารกิจสำนักอยู่ทางหนานเจียง ทว่าหลังจากที่ได้ยินว่าจะมีการเปิดเผยทางเข้าสู่อารามก่อฟ้า พวกเราก็เลยอยากจะมาเปิดหูเปิดตา คิดไม่ถึงว่าจะพบศิษย์พี่หญิงท่าน ช่างดวงดีซะเหลือเกิน “ หนึ่งในสามสาว บุคคลที่มีใบหน้ารูปไข่ห่าน รูปร่างร่างกายเล็ก สวมชุดกระโปรงสีเขียวสดใสยิ้มฮิฮะกล่าวออกมา

 

หลังจากได้ฟังคำเหล่านี้ เยี่ยจงก็ได้ขมวดคิ้วออกมา เด็กหญิงทั้งสามคนนี้ พลังฝีมือเพียงอยู่แค่พลังลมปราณขั้นก่อเกิดขั้นที่สาม แต่ยังกล้าบังอาจมายังสถานที่ผู้คนพลุ่งพล่านเช่นนี้ ชั่งไม่รู้จักคำว่า “ตาย” เขียนออกมาอย่างไรแล้ว

 

“ หุบปาก “ ซูหยี่ตะโกนด่าออกมาคำหนึ่ง “ พวกเจ้าทั้งสามไม่รู้ว่าสถานที่เช่นนี้อันตรายถึงเพียงใดหรือ ? ถึงกับกล้าเข้ามาถึงที่นี้ “

 

“ เชอะ เชอะ ข้าได้ยินมาว่าศิษย์พี่ซ่งเซ้าเฉิงและศิษย์พี่หรงเทียนพวกเขาต่างก็มาด้วย ในเมื่อมีพวกเขาอยู่ มีหรือที่จะมีใครกล้าแตะต้องศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาว “ เด็กสาวกระโปรงเขียวก็ได้เชิดจมูกอันน่ารักของนางร้องเชอะแล้วกล่าวต่อ “ อีกทั้งศิษย์พี่หญิงซูหยี่ก็ยังอยู่ ยังมีใครกล้าที่จะรังแกพวกเราอีกหรืออย่างไรกัน “

 

หลังจากที่นิ่งเงียบซักพัก ซูหยี่ก็หัวเราะด้วยความขมขื่นออกมา เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสามไม่ทราบถึงสถานการณ์ในตอนนี้เลย ในสถานที่เยี่ยงอารามก่อฟ้าปรากฏออกมาแล้วนั้น ผู้คนมากมายต่างค้นควาญหาโอกาสที่จะมีโอกาสเข้าสู่อารามก่อฟ้า จะมีใครสนใจสถานะของเจ้ากัน ? อีกทั้งในสถานกาณ์เช่นนั้น แม้แต่คนอย่างซ่งเซ้าเฉิง หรงเทียนแม้กระทั่งปกป้องคนเองก็ยังยากลำบากเลย มีหรือที่จะสนใจเหล่าเด็กน้อยที่ไม่ประสีประสาอันใดทั้งสาม

 

หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ซูหยี่ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางด้านเยี่ยจง เพื่อที่จะขอความคิดเห็น