“เยี่ยจง!  เยี่ยจง!  เจ้าไม่เป็นไรนะ? เจ้ารีบลุกขึ้นเถอะ! ใกล้เริ่มคาบเรียนแล้ว, วิชาต่อไปเป็นวิชาเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ภาคสนามนะ , หากเจ้ายังไม่รีบลุกมาอีกละก็ อาจารย์มู่จะไม่เกรงใจกับเจ้าแล้วนะ!  “ เสียงพูดเสียงหนึ่งพูดขึ้นอย่างร้อนรนดังขึ้นข้างโสตประสาทของเยี่ยจง เยี่ยจงรู้สึกคุ้นเคยกับคนผู้นี้อย่างประหลาด

 

“ เหอะ เหอะ เหอะ , เจ้างี่เง่าเยี่ยคงจะไม่มีหน้ามาพบคนแล้วกระมั่งเนี้ย?   พวกเราชาวเมืองแห่งหมู่บ้านเฟยหงปรากฏขยะชิ้นหนึ่งเยี่ยงเจ้า ที่ร้อยปีจะมีซักคน! มาเถอะ , เงยหน้าของเจ้านี้ขึ้นมา  อย่าทำให้พวกเราชาวเมืองแห่งหมู่บ้านเฟยหงต้องขายหน้าไปด้วย “  มีอีกเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นที่อีกข้างโสตของเขา เสียงนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่เยาะเย้ยและเหยียดหยาม แต่ก็เพราะว่าเสียงนี้จึงทำให้เยี่ยจงได้สติขึ้นมาในทันที

 

เยี่ยจงขมวดคิ้วเล็กน้อย ยังคงมึนงงพร้อมกับมองไปรอบด้าน ในระยะสายตาของเค้าปรากฏใบหน้าของหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่ง ใบหน้าเหล่านี้ให้ความรู้สึกราวกับห่างเหินแบบหนึ่ง ทั้งทีตนเองรู้จักพวกเขา แต่ก็เหมือนไม่รู้จักก็มิปาน

 

พอพบว่าใบหน้าที่กำลังเอ่อของเยี่ยจง ทั่วทั้งสี่ทิศรอบด้านก็หัวเราะเสียงดังออกมา เป็นที่แน่นอนว่า เสียงหัวเราะเหล่านี้ได้มุ่งเป้ามาที่เยี่ยจง

 

เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ยิ่งทำให้เยี่ยจงขมวดคิ้วเบาๆ ถ้านับตามลักษณะนิสัยของเขา คงมิมีเวลามากมายมาสนใจเรื่องราวมากมายเช่นนี้ แต่ตามสัญชาตญาณของเขาได้เตือนว่า สมควรระวังป้องกันผู้อื่นมาลงมือต่อเขา

 

หลังจากเงียบงันชั่วครู่ เยี่ยจงก็เกิดอาการตกใจอย่างแรง อีกเพียงนิดเดียวก็อาจทำให้หัวใจแทบจะหลุดลอยออกจากร่างได้

 

กำลังภายในของข้าละ กำลังภายในที่อุตส่าห์ฝึกฝนมาอย่างยากลำบาก ขอเวลาอีกแค่เพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น ตนเองมั่นใจว่าจะสามารถเลื่อนขึ้นจนถึงชั้นปรานฟ้าขั้นสามได้อย่างแน่นอน พอถึงเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นที่ใดในดินแดนซานเชียนเซียนเจี่ยก็สามารถท่องได้ แต่ว่าตอนนี้พลังจิตเพียงเล็กน้อยก็ยังไม่มีได้อย่างไร

 

“ เยี่ยจง เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม? “

 

ที่คุกเข่าอยู่ด้านข้างเยี่ยจง มีเด็กร่างอ้วนใบหน้าดำคล้ำเล็กน้อยที่มิได้หัวเราะเยาะเหมือนคนอื่น  เพียงแต่ใช้แขนเสื้อมาเช็ดที่หน้าผากของเยี่ยจง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใยเอ่ยถามออกมา

 

“ เจ้าคือใคร  ที่นี้คือที่ใดกัน  “  หลังจากมองไปที่เด็กร่างอ้วนใบหน้าคล้ำ เยี่ยจงก็รู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย

 

“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า  แม้แต่หวังโม่ก็เกือบจะลืมซะแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า “

 

“ เจ้าขยะยังไงก็เป็นได้แค่ขยะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า “

 

รอบด้านปรากฏเสียงหัวเราะดังขึ้นกว่าเดิมอย่างไม่ไม่ขาดสาย ราวกับพบเจอเรื่องบางอย่างที่ตลกที่สุดก็มิปาน

 

“ เยี่ยจง เจ้าไม่เป็นอะไรนะ ข้าหวังโม่ไง “ เด็กอ้วนหวังโม่พูดข้างหูของเยี่ยจง พูดด้วยเสียงที่มีเพียงแค่เยี่ยจงเท่านั้นที่ได้ยินถามออกไปว่า “ เยี่ยจง เจ้าก็ทนอีกหน่อยนะ แม้สิ่งนี้จะคือการตัดสินใจของตระกูลเยี่ยของเจ้า เจ้าความจริงก็ไม่มีสิทธิแม้แต่ในการขัดขืน ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตระกูลซูก็ใช่ว่าสมควรจะไปตอแยด้วย เจ้าทนไว้นะ เจ้าจะต้องทนไว้นะ ตระกูลเยี่ยก็ไม่ได้หวังว่าจะให้เจ้าตาย เจ้าต้องทนให้ได้ “

 

“ตระกูลเยี่ย ? ตระกูลซู ? ไม่ได้หวังให้ข้าตาย ? “ เยี่ยจงยังคงรู้สึกปวดศีรษะ ยังคงไม่สามารถตอบสนองกลับมาได้

 

เขาจำได้ว่า ความจริงตนเองกำลังทะลวงเข้าสู่ลมปราณชั้นฟ้าขั้นที่สาม(หยูเทียนจิ่ง) แต่ในยามคับขันที่สุด ชิวเป่ยไห่ได้บุกโจมตีเข้ามา แน่นอนว่า เจ้าบัดซบนั้นไม่ทราบได้ข่าวคราวจากที่ใดว่าตนเองกำลังทะลวงพลังเข้าสู่ลมปราณชั้นฟ้า

 

ในเวลานั้น อาจารย์ของเขาได้ใช้ร่างเข้าปกป้องตนเองอีกทั้งยังต้องใช้พลังลมปราณเข้าช่วยเหลือตนเองในสภาวะธาตุไฟเข้าแทรก อีกด้านหนึ่งยังต้องต่อกรกับสารเลวชิวเป่ยไห่อีกทาง ความจริงแล้วหากเทียบด้านพลังคงเหนือกว่าชิวเป่ยไห่อยู่หลายขุม แต่ถึงแม้อาจารย์จะเก่งกาจกว่าชิวเป่ยไห่หลายเท่า ในที่สุดก็ยังต้องบาดเจ็บสาหัดจนต้องหลบหนี

 

เขาจำได้ในตอนหลัง อาจารย์ได้ใช้วิชาโลหิตลับเพื่อส่งตนเองหนีไป แต่ทว่าตัวเขานั้นไม่รู้ว่าเพราะอะไรตนเองถึงได้มาโผล่ที่นี้? ที่นี้ใช่แดนซานเชียนเซียนเจี่ยหรือ ?

 

ใช่แล้ว  ตอนนี้ตนเองยังนั่งอยู่ตรงนี้ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ละ? ท่านอาจารย์เพียงอายุมากกว่าตนแค่สามปีเท่านั้น  แม้ว่าเจ้าบัดซบชิวเป่ยไห่กับข้าจะสู้จนตายกันไปข้างหนึ่ง แต่ก็เป็นเพียงแค่ความแค้นส่วนตัวระหว่างตนและชิวเป่ยไห่ แต่ก็มีสาเหตุอื่นอยู่ด้วย นั้นก็เพราะอาจารย์นั้นมีใบหน้าที่งดงามจนสามารถล้มเมืองได้ แม้ชิวเป่ยไห่ได้กล่าวว่าตนนั้นเป็นคุณชายแห่งนิกายเซียน หลายครั้งหลายคราที่ชิวเป่ยไห่พยายามลักลอบเข้าหาอาจารย์ แต่เพราะข้าและชิวเป่ยไห่มีความความสัมพันธ์ผูกอาฆาตกัน จึงได้มีแต่เพาะความแค้นกันเรื่อยมา

 

แต่ว่าในครั้งนี้ เขากลับทำสำเร็จ หากว่าอาจารย์ตกอยู่ในกำมือของชิวเป่ยไห่ละก็ ท้ายที่สุดไม่กล้าแม้แต่จะคิด

 

หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เยี่ยจงก็อดทนนิ่งเฉยไว้ไม่ไหว อาจารย์คือผู้มีพระคุณที่สุดในชีวิตเขา ที่เขาแข็งแกร่งขึ้นมาได้ก็เพราะได้รับการดูแลมาอย่างดี ถ้าหากว่าเกิดสิ่งที่ไม่ดีกับอาจารย์ละก็…………………

 

พอคิดถึงตรงนี้ เยี่ยจงก็ทนนั่งต่อไปไม่ไหว จนลุกขึ้นมาในที่สุด

 

“ นี้ไม่ใช่เยี่ยจงนายน้อยเยี่ยหรอกหรือ ข้ากำลังจะบอกให้เหล่านักศึกษามาประลองกันอยู่เลย อยู่ๆเจ้าก็ลุกขึ้นมาเอง ถ้าหากข้าไม่ให้โอกาสเจ้าแล้วละก็ คงถือว่าไม่ไว้หน้าเจ้าแล้วละ “  คนผู้นี้ที่สวมชุดคลุมสีแดง เป็นหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบปี กำลังยืนอยู่ตรงกลางของลานประลอง พบว่าเยี่ยจงลุกขึ้นยืน นางก็อดไม่ได้ต้องหัวเราะถาม

 

ที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในรั่วของโรงฝึกยุทธ์ในอาณาบริเวณของโรงฝึกยุทธ์เฟยหงส์ หญิงสาวนางนี้ ก็คืออาจารย์ฝึกสอนในโรงฝึกยุทธ์แห่งนี้ เพราะว่าความสัมพันธ์ของตระกูลม่อ นักศึกษาส่วนมากต่างก็รู้จักกันในนามอาจารย์ม่อ

 

โรงฝึกยุทธ์เฟยหงเป็นหนึ่งในสองโรงฝึกยุทธ์แห่งรัฐต้าโจวหวังเฉา(ย่อ:รัฐโจว) รัฐต้าโจวหวังเฉาเป็นหนึ่งในรัฐแห่งดินแดนซีฮวงเจี่ยอันยิ่งใหญ่ไพศาล หรือกล่าวได้ว่า เพื่อที่จะส่งเสริมให้ภายในรัฐให้มีเหล่าเด็กน้อยอัฉริยะในยุทธภพ ในทุกๆรัฐต่างก็จะสร้างโรงฝึกยุทธ์ออกมาในประเทศของตัวเอง เพื่อส่งเสริมแนวทางในการฝึกยุทธ์

 

“ เหอะ เหอะ อาจารย์ม่อ อย่าเอาแต่รังแกนายน้อยเซี่ยของพวกเราเลย ท่านไม่เห็นหรือว่าเดี๋ยวเค้าก็เป็นลมไปอีกหรอก “

 

“ นายน้อยขยะของพวกเราถ้าหากมีความกล้าพอที่จะต่อยตีกับผู้คน ข้าจะให้อ่านชื่อของข้ากลับหัวเลยก็ได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า “

 

ในตอนนี้เมื่อเห็นอาจารย์กล่าวออกมาเช่นนี้ ก็มีเหล่านักศีกษาหลายคนค่อยๆหัวเราะออกมา เหมือนดั่งคำที่ว่า นายว่าขี้ข้าพลอย คิดไม่ถึงเลยว่าแม้แต่อาจารย์ม่อก็ยังต้องการที่จะเหยียบย้ำเด็กน้อยผู้นี้ซักครา

 

เยี่ยจงขมวดคิ้วมองไปยังใบหน้าอันสวยงามที่กำลังยิ้มอยู่ของหญิงสาวชุดแดง นางถือว่ามีความงามหลายส่วน แต่จากที่เยี่ยจงดูแล้ว ถ้าเทียบกับอาจารย์นางก็เป็นได้เพียงแค่เส้นขนในศีรษะที่งอกเงยขึ้นมาได้เท่านั้น

 

แต่นี้ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือเยี่ยจงรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง หรือว่าแท้จริงแล้วที่แห่งนี้ไม่ใช่รัฐซานเชียนเซียนเจี่ยหรอกหรืออย่างไรกัน ?

 

คิ้วเริ่มที่จะขมวดมากยิ่งขึ้น เยี่ยจงต้องการที่จะรับทราบสถานการณ์ที่ในตอนนี้ให้ชัดเจน แต่แล้วอาการปวดหัวก็ได้กำเริ่มขึ้น ความทรงจำมากมายหลากหลายต่างไหลเข้ามาในหัวของเยี่ยจงอย่างวุ่นวาย

 

เยี่ยจง เป็นลูกหลานของตระกูลที่มีสกุลว่าเยี่ยเป็นหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ในรัฐต้าโจวหวังเฉา บิดามีนามว่าเยี่ยเทียน เสียชีวิตไปเมื่อห้าปีก่อน

 

บิดาเสียชีวิตห้าปีต่อมาหลังจากนั้น ตระกูลก็เริ่มกีดกันสถานะภาพของเยี่ยจง ตัดขาดความสัมพันธ์กับเขา โดยให้เหตุไว้ว่า ชาติกำเนิดของเยี่ยจงนั้นไม่ชัดเจน

 

พูดง่ายๆก็คือ หลังจากบิดาของเยี่ยจงเสียชีวิตแล้ว ก็ไม่มีใครมาสามารถมาช่วยยืนยันเรื่องชาติกำเนิดให้แก่เยี่ยจงได้อีก

 

เยี่ยจงยังมีน้องชายและน้องสาวอย่างละหนึ่ง แต่ทว่า น้องชายและน้องสาวเพียงแค่ร่วมบิดาแต่มิได้มีมารดาร่วมกัน จึงทำให้เยี่ยจงนั้นถูกถอดถอนสถานะภาพจากตระกูล ถึงน้องทั้งสองคนจะเป็นน้องของเยี่ยจงแต่ทว่าน้องๆก็ยังได้รับการดูแลจากตระกูลเป็นอย่างดี

 

ห้าปีก่อน เยี่ยเทียนรู้ว่าตนเองมีชีวิตได้อีกไม่นาน ดังนั้นจึงไปหาผู้อาวุโสของตระกูล ผู้นำตระกูลเยี่ยมีความต้องการ ที่จะหมั่นหมายกับตระกูลซู ซึ่งในตอนนั้นเองเยี่ยเทียนก็หวังไว้ว่าเยี่ยจงจะสามารถมีที่พึ่งพิงได้ ดังนั้นจึงได้ทำการหมั่นหมายกับตระกูลซู และทำการเลือกคู่หมั้นให้ นั้นก็คือหลานสาวของผู้นำตระกูลซูซึ่งเป็นหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่แห่งรัฐต้าโจวหวังเฉา ซูเหวินชิง

 

การผูกสัมพันธ์กันระหว่างสองตระกูลใหญ่ เป็นสิ่งที่ตระกูลซูนั้นก็เห็นด้วย ดังนั้นผู้เฒ่าตระกูลซูจึงได้มอบหลานสาวคนโปรดหมั่นหมายกับเยี่ยจง ห้าปีผ่านไป ซึ่งเมื่อก่อนยังเป็นแค่เด็กสาวที่น่ารักน่าชัง แต่ทว่าในเวลานี้เปรียบเสมือนนางงามอันดับหนึ่งแห่งรัฐต้าโจวหวังเฉาไปแล้ว

 

ห้าปีผ่านไป จุดยืนของเยี่ยจงนั้นได้เปลี่ยนไปจะหน้ามือเป็นหลังมือ เหตุผลนั้นช่างง่ายดาย นอกจากปัญหาทางสถานะในตระกูล อีกทั้งโรคเส้นลมปราณทั้งหกแตกซ่าน พูดง่ายๆก็คือ มองในมุมมองของเหตุและผล ถึงแม้เยี่ยจงจะฝึกฝนวิชาไปทั้งชีวิต ถึงแม้อยากจะใช้กำลังภายในซักเล็กน้อยก็ยังใช้ไม่ได้ ถึงแม้ตระกูลเยี่ยจะพยายามปกปิดเรื่องนี้ ทว่าเพียงผ่านไปแค่ค่ำคืนเดียว เรื่องราวก็แพร่ไปทั่วทั้งเมือง ว่าตระกูลเยี่ยหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ นั้นกำเนิดทายาทโรคเส้นลมปราณทั้งหกแตกซ่าน จนทำให้ตระกูลเยี่ยอับอายขายขี้หน้า

 

ข่าวลือของทายาทตระกูลเยี่ยที่เป็นโรคเส้นลมปราณทั้งหกแตกซ่านได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมือง แต่ทว่าตระกูลซูก็มิได้มาขอถอนหมั่นแต่อย่างไร เพียงแต่ได้ยื่นข้อเสนอบางอย่างให้เป็นการแลกเปลี่ยน

 

ตระกูลซูเป็นหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ เป็นไปไม่ได้ที่จะยกหลานสาวคนโปรดที่ทะนุถนอมไว้เป็นอย่างดีให้แก่คนพิการ แต่ตระกูลซูก็ไม่กล้าที่จะถอนหมั่นสุ่มสี่สุ่มห้า หลังจากที่ได้มาปรึกษาหารือกับตระกูลเยี่ยแล้ว ตระกูลซูยังคงจะผูกสัมพันธ์กับตระกูลเยี่ยด้วยการหมั่นต่อไป แต่ทว่า คู่หมั่นของสาวงามนาม ซูเหวินชิงนั้น เปลี่ยนจากเยี่ยจงเป็น เยี่ยยี่ฟง หลานชายคนแรกของตระกูล และคู่หมั่นของเยี่ยจง ได้เปลี่ยนเป็นหลานสาวอีกคนนามว่า ซูขุย

 

“ ที่แท้เป็นเรื่องราวเป็นเช่นนี้ “ หลังจากความทรงจำย้อนมาถึงตรงนี้ เยี่ยจงขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง เขาเข้าใจแล้วว่าที่แท้ตนเองได้กลับชาติมาเกิดใหม่มาอยู่ในร่างของเด็กที่มีนามว่า เยี่ยจง อีกทั้งโรคเส้นลมปราณทั้งหกแตกซ่าน พิกลพิการแต่กำเนิด

 

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การที่เขาได้กำเนิดใหม่นั้นมิใช่เรื่องบังเอิญ ในช่วงเวลาก่อนที่เขาจะมากำเนิดใหม่ครั้งนี้ ดูเหมือนว่าเจ้าหนุ่มที่ชื่อ เยี่ยจง นั้นได้เสียชีวิตเป็นที่เรียบร้อยแล้วก่อนหน้านี้

 

ขณะที่เยี่ยจงกำลังครุ่นคิดเรื่องราวความเป็นมาอยู่นั้น ที่ด้านหลังของเขาก็พบว่ามีบางอย่างเหินมาอย่างรวดเร็วหยุดอยู่ที่มุมหนึ่งในลานฝึกยุทธ์

 

ที่ตรงนั้น หญิงสาวผู้นี้สูงเพียงเมตรครึ่ง ถ้ามองจากรอบเอวดูเหมือนจะมากพอๆกับความสูงของนางเอง นางมองมาที่เยี่ยจงด้วยความตกใจ สายตาที่มองมานั้นเต็มไปด้วยกับการไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็น

 

เยี่ยจงมองไปที่นางอย่างไม่ละสายตา สายตานั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา นั้นก็คงเป็นเพราะว่าจากความทรงจำของเจ้าหนุ่มเยี่ยจงหากไม่ผิดพลาดละก็ ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตบุคคลที่เขาเจอคนสุดท้ายก็คือนาง นางคือหญิงสาวของตระกูลซู นามซูขุย ในตอนนั้นเอง เยี่ยจงได้ยินเรื่องที่ได้เปลี่ยนตัวคู่หมั้นหมาย เขาตัดสินใจที่จะทำการถอนหมั่นทันที หลังจากนั้นเขาก็สลบไป

 

เจ้าหนุ่มน้อยเยี่ยจงไม่ใช่ว่าไม่ทราบว่าตนเองนั้นสลบได้อย่างไร แต่ทว่าเพราะมีคนลงมือ อีกทั้งยังลงมือด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต การลงมือครั้งนี้มุ่งหมายในการเอาชีวิตเขา มีความเป็นไปได้อย่างน้อยแปดส่วนที่จะเป็น ซูขุย ที่เป็นคนสังหารเขา

 

หลังจากที่เรียบเรียงความทรงจำ หน้าตาของเยี่ยจงเปลี่ยนเป็นปั้นยาก เจ้าหนุ่มเยี่ยจงดูเหมือนว่าจะอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมและอันตรายเป็นอย่างมาก แต่ทว่าเขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้มากมาย แต่ที่กังวลเป็นอย่างมากในตอนนี้ คือเรื่องอาจารย์ตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง