โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.192 – เข้าร่วมงานเลี้ยง

 

ฉินเฟิงสวมชุดที่สั่งตัดเป็นพิเศษ ในชีวิตก่อนหน้า เขาเคยเข้าร่วมงานเลี้ยงแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน เลยเป็นธรรมดาที่จะไม่ตื่นเวที

 

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องกฏเกณฑ์ เขาทราบมันทั้งหมด ทั้งตัวเขา นอกเหนือไปจากแหวนประดับพลอยสีเงินเทาบนนิ้วแล้ว ก็ไม่มีอุปกรณ์รูนมิติอื่นๆอีก

 

และแหวนพลอยบนนิ้วยังเด่นสะดุดตา บ่งบอกชัดเจนว่ามันคืออุปกรณ์รูนมิติ

 

–การเข้าร่วมงานเลี้ยงของคนอื่น แล้วพกอาวุธไว้นอกกาย แนบมันติดตัวไปด้วย ไม่ใช่มารยาทของแขก ดังนั้นอาวุธทุกชิ้นของฉินเฟิงจึงเก็บมันไว้ในพื้นที่มิติ

 

ฉินเฟิงเดินวนไปทางอีกฝั่งของที่นั่งคนขับ และค่อยๆแง้มประตู

 

คู่เท้าอันละเอียดอ่อน สวมทับด้วยส้นสูงปลายเล็กแหลมก้าวออกมา ข้อเท้าขาวบอบบาง ราวกับว่ามันจะถูกทำลายได้ทุกเวลา มองขึ้นมาจะเห็นน่องอันงดงาม สมส่วนและสมบูรณ์แบบ ประณีตราวกับหยกขาว

 

เงยหน้าขึ้นมาอีกนิด จะพบกับหญิงสาวในชุดกระโปรงผ้าไหมที่มิต่างไปจากนางฟ้านางสวรรค์ ใบหน้าที่สามารถก่อเกิดความหายนะล่มชาติ ปรากฏสู่สายตาของทุกผู้คน

 

ฝูงชนที่รายล้อมพากันเบิกตากว้าง ราวกับว่าพวกเขาไม่อยากคลาดสายตาจากเธอแม้วินาทีเดียว ทั้งหมดราวกับตกอยู่ในห้วงฝัน

 

ทว่าวินาทีต่อมา ภาพของนางฟ้าตรงหน้าก็พลันเลือนหายไป

 

เพราะผู้หญิงคนนี้ คือไป๋หลี

 

ซินเจี่ยเซิงเป็นคนแรกที่ได้สติ เมื่อเห็นถึงการปรากฏกายของทั้งสอง ปากอ้าตะโกน “ฉินเฟิง ในที่สุดแกก็ยอมมา!”

 

ไป๋หลียกวาดแขนเบาๆ รถศึกล่องเวหาถูกเก็บเข้าสู่พื้นที่มิติ ก่อนจะโอบแขนฉินเฟิง ร่วมก้าวเดินเข้าสู่งานเลี้ยงด้วยกัน

 

เมื่อชายหล่อเหลากับหญิงงดงามย่างกรายเข้ามา ทุกสายตาก็จับจ้องไปที่ทั้งสองทันที

 

“ที่แท้เขาก็คือฉินเฟิง”

 

“นั่นน่ะหรือผู้ว่าการสถานชุมชนเฟิงหลีคนใหม่”

 

“ได้ยินมาว่าทางตระกูลซินส่งพ่อบ้านไปเทียบเชิญเขา แต่กลับถูกโยนกลับมาจนแข้งขาหัก!”

 

“ผู้ชนะ 21 ครั้งติดต่อกันบนสังเวียน ไม่คิดเลยว่าจะยังเด็กขนาดนี้”

 

“ได้ยินมาว่าทางฟูเฉิงมอบตราสัญลักษณ์ผู้ใช้พลังเลเวล E ให้กับเขา ฉันสงสัยว่าในด้านความสามารถเขาจะมาถึงเลเวล E เหมือนกันรึเปล่า”

 

เกิดหัวข้อสนทนาขึ้นในฝูงชน พวกเขามีท่าทีแตกต่างกันไป บ้างดูแลสงสัย บ้างมองราวเห็นของเล่นใหม่ในสายตา

 

คนเหล่านี้ล้วนไม่ทราบถึงความแข็งแกร่งของฉินเฟิง อีกอย่างวันนี้ฉินเฟิงก็เปลี่ยนไปใส่ชุดอื่น และไม่ได้ติดตราสัญลักษณ์เลเวล E ดังนั้นหลายคนจึงเกิดคำถาม

 

ฉินเฟิงเดินมาถึงเบื้องหน้าของซินเจี่ยเซิง

 

“ไม่คิดฝันเลยว่าแกจะกล้ามาจริงๆ” ความขุ่นแค้นปรากฏขึ้นในดวงตาของซินเจี่ยเซิง

 

แม้ก่อนหน้านี้เขาจะไม่ได้ขึ้นไปบนสังเวียน แต่ก็เสียหน้าไม่น้อย เพราะทุกอย่างเป็นความผิดของตน ซินเจี่ยเซิงทำให้หนึ่งในผู้อาวุโสตระกูลต้องจบชีวิตลง ส่งผลให้ผู้นำตระกูลซิน หรือก็คือปู่ของซินเจี่ยเซิงโกรธมาก ตอนนี้ไม่มีใครคุ้มกะลาหัวเขา ซินเจี่ยเซิงเลยไม่กล้าแสดงท่าทีหยิ่งผยองเหมือนครั้งก่อนๆ

 

ทว่าเมื่อตอนนี้เขาได้เผชิญหน้ากับไอ้สารเลวที่ทำให้ตนต้องซวยแล้ว ซินเจี่ยเซิงจะสงบสติอารมณ์ได้อย่างไร?

 

“ในเมื่อตระกูลซินกล้าเชิญ ฉันก็กล้ามา!” ฉินเฟิงกล่าวอย่างไม่แยแส

 

ในขณะนั้นเอง ประกายเย็นยะเยือกพลันสาดออกมาจากดวงตาของซินเจี่ยหยูที่อยู่ข้างๆ

 

“ฉันไม่คาดคิดเลยว่านี่จะเป็นผู้ว่าการฉิน ได้ยินชื่อคุณมานานแล้ว มันโด่งดังราวกับมีสายฟ้ามาฟาดผ่าในหูฉันเลย”

 

ซินเจี่ยหยูยื่นมือออกไป แสดงท่าทีกระตือรือร้นอยากจะจับมือกับฉินเฟิง

 

แต่ในสายตาของเขา กลับมีแค่เพียงประกายเย็นเยียบ มิได้ฉายแววประหม่าหรือไม่สบายใจเหมือนท่าทีที่แสดงออกเลย

 

ฉินเฟิงเองก็คล้ายไม่ใส่ใจอะไร เขายื่นมือออกไป เชคแฮนด์อีกฝ่าย

 

“ยินดีที่ได้รู้จัก!”

 

ช่วงเวลาที่มือของทั้งสองคว้าจับกัน กำลังภายในก็พลันปะทุโหมออกจากฝ่ามือ คลื่นอัดอากาศทรงพลานุภาพกระแทกกระทั้นใส่กันและกัน ราวกับต้องการบดขยี้เนื้อหนังของอีกฝ่าย

 

ปรากฏเสียงคล้ายกระแสคลื่นดังออกมาจากมือของพวกเขา

 

สองผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล E กำลังประชันกำลังภายในระหว่างกัน

 

แต่เพียงชั่วครู่ ไม่ถึงหนึ่งนาที สีหน้าของซินเจี่ยหยูก็เริ่มซีดเซียวลง ปรากฏระลอกคลื่นของความหวาดหวั่นในแววตาของเขา เหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วเริ่มผุดขึ้นตามหน้าผาก

 

“ฮะ .. ฮะฮ่า .. ผู้ว่าการฉิน เชิญ .. เชิญข้างใน!”

 

แต่ละคำ แทบจะเค้นมันออกมาจากไรฟัน

 

ฉินเฟิงเผยรอยยิ้มจางๆ เฝ้ามองซินเจี่ยหยูที่ปรารถนาจะถอนมือกลับ และกำลังพยายามทำท่าทีให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด

 

“ถือว่าฉันเสียมารยาทแล้ว”

 

ฉินเฟิงบีบมืออีกฝ่ายอย่างแรง จากนั้นก็ยอมปล่อยมือ และเดินต่อไปข้างหน้า

 

ใบหน้าของซินเจี่ยหยูบัดนี้ซีดขาว แต่เขากัดฟันไม่ส่งเสียงร้องออกมา หลังจากฉินเฟิงผ่านไป เขาก็เร่งก้มหน้าลงมองมือตนอย่างรวดเร็ว เจ้าตัวพบว่ามันแดงและคั่งไปด้วยเลือด ไม่ต่างไปจากมือที่ถูกทุบจนบวม

 

ด้วยพละกำลังของฉินเฟิงเมื่อครู่ มันได้บดขยี้กระดูกมือของเขาจนแตกเป็นเสี่ยงๆ!

 

ซินเจี่ยเซิงไม่ทันตระหนักถึงความผิดปกติของซินเจี่ยหยู เมื่อเห็นฉินเฟิงก้าวเข้าไปข้างในอย่างหยิ่งผยอง เขาก็รู้สึกโกรธเกินกว่าจะทนไหว

 

“พี่ใหญ่ ทำไมถึงปล่อยให้มันเข้าไป?”

 

เจี่ยเซิงรู้สึกอึดอัดใจสุดแสน เขาไม่ยอมให้อีกฝ่ายผ่านไปง่ายๆ

 

“หุบปากซะ!” เจี่ยหยูตวาดโกรธจัด ในหัวใจนึกคิด ว่าน้องชายตนเองมันตาบอดหรือไร?

 

ณ เวลานี้ ความเกลียดชังในสายตาที่มีต่อฉินเฟิงก็เริ่มถูกชะล้างออก ในที่สุดเขาก็พบว่าเจี่ยหยูคล้ายผิดแผกจากเดิม สีหน้าของเจี่ยเซิงพลันแปรเปลี่ยนกลับกลาย

 

และเป็นจังหวะเดียวกันที่ฉินเฟิงหยุดฝีเท้าลง บัตรเชิญสีทองปรากฏขึ้นในมือของเขา

 

“จริงสินะ ก่อนเข้างานฉันยังไม่ได้ส่งบัตรเชิญให้นายเลย”

 

สิ้นเสียง กำลังภายในก็หลั่งไหลเข้าไปภายในบัตรเชิญ ก่อนจะระเบิดยิงมันพุ่งฟิ้ว!มาไกลจากในระยะ 10 เมตร

 

ซินเจี่ยเซิงมองเห็นแค่เพียงลำแสงสีทองลากยาวเป็นทาง ไม่แตกต่างไปจากหอกแหลม พุ่งตรงมายังศีรษะ และมันรวดเร็วเกินไป ยากจะหลบเลี่ยง ดังนั้นยกมือข้างหนึ่งขึ้น เอื้อมจับบัตรเชิญใบนั้น

 

เดิมทีกำลังภายใน ในบัตรเชิญไม่ได้ถูกส่งออกมา แต่ทันทีที่มือของเจี่ยเซิงไปสัมผัสโดน พริบตานั้นราวกับงูพิษที่แยกเขี้ยว ฉกเข้าใส่มือตน

 

เจี่ยเซิงไร้ซึ่งการป้องกัน วินาทีนั้นเขารับรู้ได้ถึงกำลังภายในที่รุกร้ำเข้ามาในมือ

 

อันที่จริง ผู้ใช้วรยุทธโบราณโดยปกติแล้วมักจะมีกำลังภายในคอยปกป้องร่างกาย แม้เจี่ยเซิงจะไม่ได้ปลดปล่อยกำลังภายในป้องกันสองมือเป็นพิเศษ แต่กำลังภายในก็ยังทำหน้าที่ปกคลุมทั้งตัวโดยอัตโนมัติอยู่ดี

 

ทว่าแน่นอน ว่าการป้องกันดังกล่าวย่อมมีขีดจำกัด และกำลังภายในที่ต่อต้านฉินเฟิง มันไม่แตกต่างไปจากหมาข้างถนนเลย

 

วินาทีต่อมา กำลังภายในที่คอยปกปักษ์ก็ถูกทะลวงลงอย่างรวดเร็ว เส้นลมปราณบนมือที่คว้ารับบัตรเชิญ ถูกตัดสะบั้นโดยสิ้นเชิง

 

ซึ่งผลลัพธ์ในครั้งนี้ มันน่ากลัวยิ่งกว่าการถูกทำลายกระดูกเสียอีก

 

“อ๊า!”

 

ซินเจี่ยเซิงไม่อึดเท่าเจี่ยหยู เมื่อได้รับบาดเจ็บก็กรีดร้องเสียงหลงตรงนั้นทันที

 

สภาพแวดล้อมโดยรอบพลันกลายเป็นเงียบงัน

 

เพียงหนึ่งมือของฉินเฟิง กลับสามารถทำให้สองมือของสองรุ่นเยาว์แห่งตระกูลซินบาดเจ็บแทบพิการได้ ทั้งๆที่สองคนนั้นล้วนเป็นความภาคภูมิใจ เป็นหน้าตาของตระกูล ถึงได้รับมอบหมายให้ออกมาต้อนรับแขก —

 

—แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเขาจะอ่อนแอถึงขนาดนี้!

 

ไม่สิ ถึงพวกเขาจะอ่อนแอ แต่ตระกูลซินโดยภาพรวมก็ยังแข็งแกร่งอยู่ดี

 

“หุบปากซักที แล้วรีบเดินไปซะ!” เจี่ยหยูไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป เขาโฉบมือข้างที่ยังไม่บุบสลายคว้าคอเสื้อเจี่ยเซิง และลากตัวออกไป ราวกับต้องการไปหาหมอเร็วขึ้นอีกสักเล็กน้อยก็ยังดี

 

ฉินเฟิงยิ้มมุมปาก หันกลับมาเริ่มเดินต่อ ในสมองขบคิด : ในวันนี้ ไอ้คนที่กล้ามาหาเรื่องเขา รวมไปถึงคนที่คิดจะล้างแค้นในครั้งก่อน สุดท้ายก็ถูกสั่งสอนไปพร้อมกันแล้ว

 

และภายในวันนี้ หากตระกูลซินไม่คิดไว้หน้าเขา เขาก็จะไม่ไว้หน้าตระกูลซินและไม่ปล่อยเรื่องราวให้มันจบไปง่ายๆเช่นกัน

 

คฤหาสน์ตระกูลซินมีขนาดใหญ่มาก บนระเบียงทางเดินปูพรมแดงยาวไปจนถึงห้องโถงประจำตระกูล ระหว่างทางมีคนเดินผ่านไปผ่านมาไม่หยุด มันเต็มไปด้วยผู้คนที่เข้าร่วมจากทุกสารทิศ

 

อย่างไรก็ตาม คู่ของฉินเฟิงกับไป๋หลีกลับไม่มีคนคอยนำทาง และไม่มีกระทั่งคนคอยเปิดประตูให้เขา

 

แต่ฉินเฟิงก็ไม่ต้องการมันเช่นกัน เขาควงแขนไป๋หลี พาเปิดประตูด้วยตนเอง ก้าวเข้าสู่ห้องโถงใหญ่

 

ภายในโถงจัดเตรียมอาหารไว้ในรูปแบบบุฟเฟ่ต์ ข้างบนผูกไว้ด้วยผ้าระโยงระยาง พนักงานคอยเดินเสิร์ฟแก้วไวน์ตลอดเวลา อาหารทุกอย่างล้วนไม่สามารถหากินได้ตามสลัม นี่คือความฟุ่มเฟือยหรูหรา ราวกับผุดมาอยู่อีกโลกหนึ่ง

 

กลิ่นไวน์แดงราคาแพงลอยฟุ้ง นอกจากนี้ยังมีกลิ่นเนื้อหอมหวลโชยมาแตะจมูกทั้งสอง

 

“ที่นี่มีแต่ของอร่อยเต็มไปหมดเลย!” ดวงตาของไป๋หลีเปล่งประกายสดใส

 

ฉินเฟิงเองก็ไม่เกรงใจ พาไป๋หลีไปโซนบาร์บีคิว แล้วปล่อยให้เธอกินอย่างเอร็ดอร่อย

 

เดิมทีตั้งแต่ไป๋หลีเข้ามาในโถง เธอก็ได้กลายเป็นจุดสนใจ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าสาวเจ้าจะมูมมามขนาดนี้

 

บางคนจ้องมองทั้งสองอย่างอึ้งๆ บ้างเอ่ยถามคนข้างๆถึงสถานะของพวกเขา

 

และไม่นาน เมื่อทราบถึงข้อมูล สีหน้าของคนถามก็อดไม่ได้ที่จะแปรเปลี่ยนไป

 

ในตอนนั้นเอง สายตาของฉินเฟิงก็เหลือบไปเห็นคนรู้จัก

 

–แม้จะเพิ่งผ่านมาแค่สามวัน แต่อันเจิ้งเว่ยก็เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ด้วยเช่นกัน