โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.191 – ประเมินสินทรัพย์

กว่าอันเจิ้งเว่ยจะมาถึงสวนชิงหูของฉินเฟิง เวลาก็ล่วงเลยไปกว่า 1 ชั่วโมงแล้ว และเมื่อเขาได้เห็นถึงสินสงครามของฉินเฟิง เจ้าตัวก็ค้นพบว่ามันมากกว่าที่คิด เป็นจำนวนที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง

อุปรกรณ์รูนมิติแต่ละอันถูกแสดงพื้นที่มิติของมันเอาไว้อย่างชัดเจน จะได้ไม่โก่งราคามากจนเกินไป

การประเมินราคาเป็นไปอย่างรวดเร็ว หลังจากหักมูลค่าที่แตกต่างกัน พื้นที่มิติโดยรวมจะอยู่ที่ 220 ตร.ม. นั่นหมายถึงจำนวนเงินที่มหาศาล

–มากกว่า 1.1 พันล้านเหรียญ!

“อีกไม่นานทางกลุ่มหวันซ่งของคุณกำลังจะจัดงานประมูลขึ้นที่เมืองไห่ ผมตั้งใจว่าจะไปเหมือนกัน ดังนั้นเงินจำนวนนี้ ผมขอแลกเปลี่ยนเป็นเงินสด ” ฉินเฟิงกล่าว

เงิน 1.1 พันล้านไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แต่สำหรับกลุ่มหวันซ่ง มันก็แค่เด็กๆ

“ไม่มีปัญหา!”

“และยังมีของบางอย่างถูกเก็บเอาไว้ในพื้นที่มิติ ซึ่งผมไม่ได้ใช้ ตรงส่วนนี้ฝากคุณประเมินราคาแล้วขายมันด้วย แน่นอน ว่าในส่วนของที่ระดับต่ำเกินไป ผมสามารถฝากให้ซุนเชี่ยนเป็นคนจัดการได้”

“ไม่เป็นไรหรอก มิสเตอร์ฉิน ฉันจะช่วยจัดการเรื่องนี้ให้กับคุณเอง”

“งั้นรบกวนด้วยนะครับ”

สิ่งที่อยู่ในพื้นที่มิติ มันมีมูลค่ามากกว่าอุปกรณ์รูนมิติอย่างมหาศาล แม้ในส่วนของผู้ใช้พลังเลเวล F จะไม่มากเท่าไหร่ มีราคาสูงสุดก็อยู่ที่ 10 ล้าน แต่สำหรับเลเวล E ทุกสิ่งที่พวกเขาเก็บไว้ในครอบครองจะมีมูลค่าสูงเป็นอย่างยิ่ง อย่างชิหลง กระสุนลูกนึงก็ปาเข้าไป 100 ล้านแล้ว ดังนั้นหากมีหลายลูก มันจะเป็นจำนวนเงินมหาศาล

แต่ฉินเฟิงเองก็ได้ตรวจสอบมันดูเล็กๆน้อยๆแล้วเช่นกัน เขาพบว่านักฆ่าเลเวล E แต่ละคนมีมูลค่าทรัพสินย์เกือบ 200 ล้าน แต่ในกลุ่มเลเวล F อยู่ห่างไกลพอสมควร แต่ละคนมีสินทรัพย์สะสมแค่ 7 – 8 ล้านเท่านั้น ส่วนอุปกรณ์รูนมิติของพวกเขา คาดว่าน่าจะเป็นรางวัลที่ได้รับมาจากห้องทดลอง

ขณะที่ภายในพื้นที่มิติของศาสตราจารย์หวาง มีวัตถุดิบทดลองล้ำค่าเป็นจำนวนมาก หลังจากคำนวณคร่าวๆ อาจจะขายได้ประมาณ 500 ล้านเหรียญ

เพียงจัดการกับสินสงครามยิบย่อยเหล่านี้ ฉินเฟิงก็ได้เงินมาในครอบครองแล้วกว่า 1.3 พันล้านเหรียญ บวกกับเงินอีก 400 กว่าล้านตอนกอบกู้เมืองหาน และบัตรสีดำของศาสตราจารย์อีกใบละกว่า 150 ล้าน

เมื่อนำราคาขาย ‘อุปกรณ์รูนมิติ’ มารวมกับ ‘สินสงครามภายในพื้นที่มิติ’ ฉินเฟิงจะมีเงินมากถึง 3,000 ล้านเหรียญ!

เงินดังกล่าว คือจำนวนที่เลเวล E ธรรมดาๆ ต้องทำงานงกๆไปทั้งชีวิตถึงจะสามารถครอบครองทรัพย์สินเทียบเท่ากับเงินในมือของฉินเฟิง

มันก็จริงอยู่ ที่ทรัพสินของฉินเฟิงน่ะมาจากการฆ่าคน และฉินเฟิงก็ไม่ชอบฆ่าคนบริสุทธิ์ อย่างไรก็ตาม นั่นช่วยไม่ได้ เพราะเขาดันกลายเป็นหนามยอกอกในสายตาของผู้อื่น เมื่อหนามทิ่มแทง ผู้คนก็ย่อมอยากดึงมันโยนออกไปให้พ้นๆทางเป็นธรรมดา

หลังจากได้รับ ยาหวนคืนสู่ความเที่ยงแท้ 20 เม็ดจากอันเจิ้งเว่ย ฉินเฟิงก็ปิดอุปกรณ์สื่อสาร เดินออกไปส่งแขก แล้วปิดประตูบ้านเพื่อพักผ่อน

ระหว่างกลางดึกเงียบสงัด ภายใต้ท้องฟ้าอันมืดมิดเป็นฉากหลัง ฉินเฟิงนั่งขวาทับซ้ายอยู่ในห้องฝึกฝน รับรู้ถึงความปั่นป่วนในร่างกาย

ท่ามกลางความมืดมิด วิสัยทัศน์ของฉินเฟิงเพ่งอยู่แต่ภายในตันเถียน เขาสามารถมองเห็นได้ถึงกลุ่มหมอกที่ควบแน่น ลอยอยู่กลางอากาศ

หลังจากกินยาเที่ยงแท้ไปเพียงเม็ดเดียว กำลังภายในก็พุ่งทะยานจนท่วมไปทั้งร่างกาย

ต้องไม่ลืมนะว่านี่คือยาสำหรับผู้ที่ใช้พลังเลเวล E เท่านั้นถึงจะสามารถใช้ได้ หากควบคุมผิดพลาดเพียงเล็กน้อย มันอาจเกิดการระเบิดจากภายในจนร่างกายแหลกเหลว

แต่นับว่าโชคยังดีที่ฉินเฟิงมีพลังพิเศษติดตัว

“ดูดกลืน!”

“ดูดกลืน!!”

“ดูดกลืน!!!”

เดิมทีกลุ่มหมอกกำลังภายในที่มี ฉินเฟิงหลอมกลั่นมันจนมาถึง 85 กลุ่มแล้ว

แต่ ณ ขณะนี้ เมื่อดูดกลืนเม็ดยาของเลเวล E กลุ่มหมอกกำลังภายในก็เริ่มเพิ่มขึ้นอีกครั้ง

สองวันถัดมา กลุ่มหมอกกำลังภายในก็มาถึงขีดจำกัดที่ 99

ภายในตันเถียน กลุ่มหมอกกำลังภายในกระจุกตัวกันแน่น ราวกับจะระเบิดให้ได้ตลอดเวลา

สุดท้ายมันก็ทำลายขีดจำกัดเดิม ตันเถียนเกิดการขยายใหญ่ขึ้น ผนังด้านในหนาและสามารถรองรับกำลังภายในได้มากกว่าเดิม ไม่เพียงแค่นั้น แต่รูปลักษณ์ของกำลังภายในก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน

จ๋อม!

หากกลุ่มหมอกกำลังภายในก่อนหน้านี้อยู่ในรูปแบบลอยกลางอากาศ แต่ปัจจุบัน กำลังภายในคล้ายกับมีน้ำหนักเป็นของตัวเอง มันหลอมรวมเข้าด้วยกัน ก่อตัวจนมีรูปทรงเหมือนกับเมฆ จมลงสู่เบื้องล่างของตันเถียน

อย่างที่เคยกล่าวไป กำลังภายในของเลเวล F คือ กลุ่มหมอก

ส่วนกำลังภายในของเลเวล E จะเปลี่ยนเป็น ทะเลเมฆ

ทะเลเมฆร่วงตกลง กลายเป็นแอ่งอยู่บริเวณเบื้องล่างของตันเถียน มันสามารถกลิ้งม้วนไปมาได้ ดูคล้ายกับคลื่นที่ซัดสาด

“ทักษะลับกลืนดารา”

จ๋อม!

อีกหนึ่งหมอกหนาหลอมรวมกันกลายเป็นทะเลเมฆ และจมลงไปอีกครั้ง

จมครั้งที่สาม , ครั้งที่สี่ , ที่ห้า ….

อย่างรวดเร็ว ภายในตันเถียนก็ปรากฏ 9 ทะเลเมฆ

หาก 1 ชั้นของทะเลเมฆแสดงถึงระดับย่อยของผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล E ปัจจุบันกำลังภายในของฉินเฟิง กล่าวได้ว่าได้มาหยุดยืนในจุดเดียวกับจุดสูงสุดของเลเวล E แล้ว!

อย่างไรก็ตาม อย่างที่เคยอธิบายไป ว่าฉินเฟิงน่ะคือผู้ใช้พลังที่ครอบครองความแข็งแกร่งมากกว่าคนปกติถึง 9 เท่า ดังนั้นเพื่อให้รากฐานมั่นคง จึงต้องอาศัยความสามารถพิเศษของทักษะลับกลืนดารา และการบีบอัด หลอมกลั่นของพลังพิเศษติดตัว : ดูดกลืน ทำให้ในด้านความเข้มข้นและความจุของตันเถียนในปัจจุบันผิดแผกไปจากคนธรรมดา

“ฟู่ว … ”

ลมหายใจเฮือกใหญ่ผ่อนออกเต็มปาก ฉินเฟิงรับรู้ถึงการปั่นป่วนของกำลังภายในที่เพิ่มขึ้น สำหรับการเดินทางไปเยือนตระกูลซินในครั้งนี้ เขามีความมั่นใจมากขึ้นหลายส่วน

“งานเลี้ยงวันเกิดอย่างงั้นสินะ … งานเลี้ยงที่ทั้งตระกูลมาอยู่กันพร้อมหน้า!!” ฉินเฟิงเยาะหยัน “ถึงเวลาไปเยี่ยมพวกมันแล้ว!”

วันถัดมา ฉินเฟิงตื่นตามเวลาปกติ เขาบอกไป๋หลีให้นำรถลิมูซีนที่ชิหลงมอบให้ออกมา แล้วขับมุ่งหน้าสู่เมืองเฉิงหยาง

เป็นเวลากว่าครึ่งเดือน ในที่สุดเขาก็ได้กลับมาอีกครั้ง

ประวัติคร่าวๆของตระกูลซิน เดิมตั้งรกรากอยู่ในเมืองเฉิงหยางมายาวนานกว่า 40 ปีแล้ว แต่สำหรับพวกเขา มันราวกับเพิ่งผ่านไปแค่พริบตาเดียว

ภูมิหลังของตระกูลซินนั้นยิ่งใหญ่มาก

ในเช้าวันนี้ มีผู้คนหลั่งไหล แวะเวียนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทางสามตระกูลใหญ่ที่เหลือก็ส่งรุ่นเยาว์หรือตัวแทนของตนเองมา และทุกคนเป็นตัวตนทรงพลังเลเวล F ทั้งสิ้น ทั้งยังมีดาวรุ่งบางคนที่อายุแค่ 20 ปี

หน้าทางเข้าตระกูลซิน ซินเจี่ยเซิงกำลังยืนอยู่กับวัยรุ่นอีกคนที่มีท่าทีและแววตาดุดัน คอยต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน

ซึ่งผู้ชายที่มีท่าทีดุดัน ไม่ใช่ใครอื่น แต่คือพี่ใหญ่สายตรงของรุ่นเยาว์ตระกูลซิน อายุ 29 ปี เป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล E มีชื่อว่าซินเจี่ยหยู

“อยากจะรู้จริงๆ ไอ้ฉินเฟิงที่นายพูดถึงมันจะมารึเปล่า ฉันล่ะอย่างเห็นหน้ามันใจจะขาด ว่าคนที่สามารถฆ่าซินกวงได้ จะแข็งแกร่งสักแค่ไหน!”

ในหมู่เลเวล E ด้วยกัน ความแข็งแกร่งจะแตกต่างกันออกไป สำหรับผู้ที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะ จะสามารถต่อสู้กับคนที่มีระดับย่อยเหนือกว่าได้ ในขณะที่หากพบเจอกับคนระดับย่อยเดียวกัน ก็จะดูแคลนอีกฝ่าย (ระดับย่อยคือเลขหลังเลเวล เช่น E 1 2 3 …)

แม้ว่าซินกวงจะอาวุโสกว่าทั้งซินเจี่ยเซิงและซินเจี่ยหยู แต่ก็เป็นแค่คนจากสาขารอง ดังนั้นความสัมพันธ์มิได้สนิทชิดเชื้อกัน

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่พวกเขาเป็นตระกูลใหญ่ ดังนั้นย่อมมีการแข่งขันภายในที่ดุเดือด อยู่สังกัดตระกูลเดียวกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นมิตรกันเสมอไป

“พี่ใหญ่ ควรระวังตัวให้มากกว่านี้ พ่อบ้านที่ไปเชิญฉินเฟิงแล้วรอดกลับมา บอกว่ามันเองก็ยกระดับขึ้นมาถึงเลเวล E แล้ว ไม่สมควรประมาท เพราะต่อให้พี่เป็นเรือใหญ่ แต่ถ้าจะฝืนฝ่าผ่านรางน้ำเล็กๆก็อาจพลิกคว่ำได้!”

ซินเจี่ยเซิงต้องการเตือนสติพี่ใหญ่ไม่ให้เกิดความคิดดูถูกศัตรู แต่คำพูดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าส่อถึงความอ่อนแอ!

“เจ้าขยะ แกมันไม่มีความกล้าหาญเอาซะเลย!” ซินเจี่ยหยูตวาด

ซินเจี่ยเซิงหน้าแดงด้วยความโกรธ แต่เขาก็ไม่กล้าโต้แย้ง หันหน้าไปอีกทาง ทักทายผู้มาเยือน และยิ้มต้อนรับอย่างอบอุ่น

และสภาพเช่นนี้ก็ดำเนินต่อไปอีกนาน คงไม่ต้องอธิบายหรอกกระมังว่าซินเจี่ยเซิงรู้สึกอึดอัดมากแค่ไหน!

กระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึง 10 โมงเช้า และงานเลี้ยงกำลังจะเริ่มต้น แต่ก็ยังไม่เห็นแม้วี่แววของฉินเฟิง

สีหน้าของซินเจี่ยหยูกลายเป็นน่าเกลียด

แม้การที่ผู้ใช้วรยุทธโบราณยืนอยู่ท่ามกลางอากาศอบอ้าวเป็นเวลานานมันจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ หลายชั่วโมงก็ไม่เหนื่อย แต่ยิ่งเฝ้ารออีกฝ่ายนานเท่าไหร่ ซินเจี่ยหยูก็ยิ่งรู้สึกกำลังถูกตบหน้า

แต่ในเวลานั้นเอง ณ จุดที่ห่างไกลออกไป รถล่องเวหาที่ดูหรูหรา ขับเคลื่อนโดยพลังงานเหลวที่สิ้นเปลืองเงินตราก็ค่อยๆใกล้เข้ามา สำหรับเมืองเฉิงหยาง มีแค่ตระกูลที่ที่ร่ำรวยและกุมอำนาจระดับหนึ่งเท่านั้น ถึงจะสามารถขับรถศึกดังกล่าวได้

อย่างไรก็ตาม .. ที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนอยู่ภายในงานแล้ว!

“ใครกัน?” ซินเจี่ยเซิงและเจี่ยหยู เกิดความคิดเดียวกันผุดขึ้นมาในจิตใจ

ไม่นาน ลิมูซีนก็จอดลงหน้าทางเข้า ประตูรถถูกเปิดออก และคนที่พวกเขาเฝ้ารอก็ปรากฏกายออกมา—

—เป็นฉินเฟิง!