โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.193 – ความโหดร้ายของซินเซิง

 

“ผู้ว่าการฉิน คุณมาจริงๆด้วย!”

 

อันเจิ้งเว่ยรู้ว่าฉินเฟิงจะมาตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนแล้ว ดังนั้นเป็นธรรมดาที่จะเข้ามาทักทาย

 

หลังจากที่ได้เห็นสินสงครามมากมายของฉินเฟิง อันเจิ้งเว่ยก็เกิดความคิดขึ้นมา : น่ากลัวว่าคราวนี้ตระกูลซินคงมิแคล้วถูกชิงข้าว กระทั่งเนื้อไก่ก็ไม่ได้กินเป็นแน่

 

สำหรับเรื่องที่ตัวแทนกลุ่มหวันซ่งอย่างเขาเข้ามาคุยกับฉินเฟิง ตระกูลซินย่อมไม่กล้าเก็บมาระคายใจ เพราะพวกเขาจะดีจะร้ายก็ต้องให้เกียรติตัวแทนของกลุ่มหวันซ่ง ไม่ต้องกล่าวถึงนี่แค่สนทนา ดังนั้นจะตั้งตัวเป็นศัตรูกันไปทำไม

 

“สวัสดีครับผู้จัดการอัน” ฉินเฟิงพยักหน้าให้อีกฝ่าย

 

ทั้งสองสนทนาอย่างเป็นกันเอง ทั้งยังพูดคุยถึงสิ่งที่ตกลงกันก่อนหน้านี้ ของบางชิ้นได้ถูกขายออกไปแล้ว และมันก็ได้ราคาดีไม่เลวเลย

 

ระหว่างสนทนา อีกคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น

 

“ฉินเฟิง นายก็มาด้วยงั้นหรอ”

 

ฉินเฟิงหันไปตามเสียง และแน่นอนว่าย่อมเป็นคนที่เขารู้จักอีกเช่นเคย

 

“สวัสดีเฉิงโจว”

 

ชายคนนี้ คือความภาคภูมิใจของตระกูลเฉิง ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองเฉิงหยาง เป็นผู้ใช้ธาตุโลหะ ครอบครองความแข็งแกร่งที่ไม่เลว

 

ก่อนหน้านี้บนสังเวียน พวกเขาประมือกันเล็กน้อย และทั้งคู่ไม่ได้ทุ่มสุดฝีมือ แต่ผ่านมาแค่ครึ่งเดือน ความแข็งแกร่งของฉินเฟิงก็ก้าวกระโดด จนแซงอีกฝ่ายไปซะแล้ว

 

ขอบเขตผู้ใช้อบิลิตี้เลเวล E ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตัดผ่าน หากฉินเฟิงไม่ได้รับหนทางสู่เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์โดยบังเอิญ ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะตัดผ่านเข้าสู่เลเวล E รวดเร็วขนาดนี้ และน่ากลัวว่าคงต้องสังหารมือปืนหรือผู้ใช้พลังอีกหลายคน!

 

ทั้งสี่รวมตัวกัน แม้ในหมู่พวกเขา ไป๋หลีจะดึงดูดความสนใจได้มากที่สุด แต่สิ่งที่เธอทำก็แค่กิน กิน กิน กิน หากกล่าวเฉพาะในแง่ความรู้สึก เธอเป็นการดำรงอยู่ที่ดูจืดจางมาก

 

“ฉันได้ยินมาว่านายได้รับตราสัญลักษณ์เลเวล E งั้นก็หมายความว่าความแข็งแกร่งของนายในตอนนี้ มันได้ไปถึงเลเวล E แล้วใช่ไหม?” เฉิงโจวเอ่ยถาม ในสมองขบคิด

 

พัฒนาการของเจ้าหมอนี่ ช่างน่าประทับใจซะจริงๆ!

 

“นายพอจะรู้จักพวกคนที่กำลังจะเดินเข้ามาไหม?” ฉินเฟิงยิ้มจางๆ เขาไม่ตอบแต่ถามกลับไป เพราะในการรับรู้ คนบางกลุ่มกำลังจะปรากฏตัว

 

เฉิงโจวปลดปล่อยพลังสมาธิออกไป แล้วคิ้วของเขาก็ต้องขมวดเข้าหากัน กล่าวตักเตือน “วันนี้มีผู้อาวุโสของตระกูลซินมาเข้าร่วมหลายคน ถึงบางคนจะแก่ไปบ้าง แต่ประสาทสัมผัสของพวกเขายังดีอยู่ นายอย่าหุนหันพลันแล่นจนเกินไป ถ้าถูกก่อกวนแต่ยังพอรับได้ ก็อดทนเข้าไว้!”

 

อดทนงั้นหรือ?

 

ก่อนจะเกิดใหม่ ชะตากรรมของฉินเฟิงช่างโหดร้าย เขาเดินอยู่บนเส้นด้ายระหว่างความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นแทบจะไม่ใช่คนที่สามารถอดทนอะไรได้นานๆ

 

ไม่ต้องกล่าวถึงตอนนี้

 

ทำไมเขาต้องมาคอยอดทนกับพวกที่คิดร้ายต่อตนด้วย?

 

ระหว่างนั้นเอง เมื่อแขกทุกคนมาถึงแล้ว ประตูชั้นสองก็เปิดออก คนกลุ่มหนึ่งทยอยกันก้าวออกมาทีละคน และกระจายกันห้อมล้อมชายวัยกลางคนที่ดูสง่างามและทรงพลัง

 

ชายคนนี้ คือผู้นำตระกูลซินคนปัจจุบัน

 

เป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล E8 —ซินเซิง!

 

เนื่องจากการฝึกฝนวรยุทธโบราณ จำเป็นต้องบำรุงด้วยทรัพยากรจากฟ้าดิน ดังนั้นยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสไปสู่ก้าวที่สูงขึ้นน้อยลงมากเท่านั้น

 

หากวันนี้ไม่ใช่วันเกิดครบรอบ 60 ปีของเขา เกรงว่าบางคนคงไม่คิดว่าเขาอายุ 60 ปีแล้ว

 

ทุกย่างก้าวของซินเซิงแม้ไม่กระฉับกระเฉงว่องไว แต่ก็มีความลื่นไหลในตัวของมันเอง เงียบสงบ ราวกับเมฆและกระแสน้ำที่ไหลผ่าน เปี่ยมไปด้วยความสง่างามของตัวตนที่เหนือกว่าผู้อื่น

 

ไม่นานนัก เขาก็นั่งลงเบื้องหน้าทุกคนในห้องโถง และโต๊ะตัวนั้นยังสูงกว่าโต๊ะตัวอื่นๆเล็กน้อย นอกเหนือไปจากเขา ยังมีตระกูลซินคนอื่นๆ อย่างน้อย 5 คนอยู่ในเลเวล E นอกจากนี้ยังมีเลเวล F8 อีก 9 คน

 

ซินเจี่ยหยูผู้ถูกทำร้ายที่มือโดยฉินเฟิงก่อนหน้านี้ ก็นั่งอยู่เบื้องหลังเขา ใบหน้าของอีกฝ่ายดูซีดขาว เวลานี้ถุงมือข้างหนึ่งที่สวมทับดูปวดบวมเล็กน้อย

 

“ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี งานเลี้ยงวันเกิดของผู้นำซิน กำลังจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้!”

 

ฝูงชนมารวมตัวกันเบื้องหน้าซินเซิง เผยรอยยิ้มแย้ม บางคนก็หยิบกล่องของขวัญออกมา

 

“ขอตัวก่อนนะฉินเฟิง งานเลี้ยงวันเกิดในครั้งนี้ ฉันมาในนามของตระกูลเฉิง ดังนั้นต้องไปกล่าวอวยพรและมอบของขวัญให้เขา” เฉิงโจวกล่าว

 

สี่ตระกูลใหญ่ตั้งมั่นอยู่ในเมืองเฉิงหยาง แม้ว่าจะมีปัญหากันเรื่องผลประโยชน์ บ้างถึงขั้นชิงชัง และก่นด่ากันลับหลัง แต่ก็ไม่มีใครแสดงมันออกมาแบบชัดเจนจนเกินไป ตรงกันข้าม ยามพบหน้า ทั้งหมดกลับเอ่ยเยินยอกันและกัน รักษาท่าทีให้สงบ ไม่เผยความในใจออกมา

 

ดั่งคำกล่าวที่ว่าไม่มีศัตรูถาวร มีเพียงผลประโยชน์เท่านั้นที่เป็นนิรันดร์

 

ตัวแทนจากสี่ตระกูลใหญ่ทยอยกันก้าวมาข้างหน้าทีละคน

 

“ท่านผู้นำซิน ผู้เยาว์มาในฐานะตัวแทนตระกูลฝู ขอแสดงความนับถือ และสิ่งนี้คือของขวัญเล็กๆน้อยๆ ในนามของตระกูลฝู ขอให้ท่านผู้นำซินอายุมั่นขวัญยืน และเจริญรุ่งเรืองตลอดไป”

 

“และในฐานะผู้นำ ฉันขอรับน้ำใจของตระกูลฝูด้วยความยินดี”

 

“ท่านผู้นำซิน บิดาขอผู้น้อยอยู่ระหว่างออกเดินทางไปทำธุระนอกเมือง ดังนั้นผู้น้อยเลยมาในฐานะตัวแทน ได้โปรดท่านผู้นำอย่าโกรธเคืองกัน”

 

“ไม่เป็นไรหรอก มุ่งมั่นขนาดนี้ ก่อนสิ้นปีสหายเหอคงยกระดับไปอีกขั้นแน่ๆ ฮ่าๆ”

 

“ท่านผู้นำซิน … ”

 

“สหายซิน … ”

 

คนเหล่านี้ก้าวออกมาข้างหน้าราวกับถูกฝึกซ้อมตระเตรียมมาเป็นอย่างดี และอันที่จริง พวกเขาล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ในเมืองเฉิงหยาง และมาเยี่ยมเยือนตระกูลซินทุกปี ฉะนั้นคุ้นเคยกันอยู่ก่อนแล้ว

 

สี่ตระกูลขึ้นนำ จากนั้นตระกูลอื่นๆก็เริ่มตาม และตระกูลเหล่านี้ ล้วนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลซิน หรือจะให้พูดตรงๆ ก็คือตระกูลในสังกัดของตระกูลซินนั่นเอง

 

ผู้ใช้พลังเลเวล F ก้าวออกมา มอบของขวัญ และกล่าวสรรเสริญซินเซิง

 

ซิงเซิงวางถ้วยชาดังเคร้ง ปล่อยให้ลูกน้องในงานรับของขวัญ ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไม

 

“หืม .. ที่แท้ก็ตระกูลเซ่านี่เอง ได้ยินมาว่าเมื่อเร็วๆนี้ทางตระกูลเซ่าได้ถือกำเนิดผู้มีพรสวรรค์ขึ้นมา และอีกไม่นานก็จะก้าวขึ้นสู่เลเวล E … ทำไมถึงไม่พามาด้วยเล่า? หรือว่าจะออกไปทุ่งล่า?”

 

“ขอบพระคุณท่านผู้นำที่ยังจดจำได้ ผู้น้อยเสียใจจริงๆที่มีลูกอกตัญญูไม่ได้มาคารวะด้วยท่านด้วยตนเอง”

 

“หึๆ รุ่นเยาว์ที่มากพรสวรรค์ มักจะคิดฉีกไปจากพวกเราก้าว ถึง 2 ก้าวอยู่เสมอ ถ้าซุกซนจนเกินไป ก็ต้องใช้ไม้แข็งดัดหลังให้ซื่อสัตย์ ออกไปข้างนอกบ่อยๆน่ะมันอันตราย ระวังตัวเอาไว้บ้างก็ดี!”

 

“ขอรับ ขอรับ!”

 

ทันใดนั้นชั้นเหงื่อบางๆก็ผุดขึ้นบนหน้าผากของสมาชิกตระกูลเซ่า

 

ตระกูลเซ่าเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาถึงขั้นกำลังถือกำเนิดตัวตนในเลเวล E ขึ้น เลยเกิดความปรารถนาที่จะแยกตัวออกจากตระกูลซิน

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผลประโยชน์ประจำปีส่วนใหญ่จะถูกกินรวบโดยตระกูลซิน ดังนั้นเมื่อแข็งแกร่งขึ้น เลยเป็นธรรมดาที่จะไม่นอนรอคอยให้ถูกสูบเลือด

 

เพียงแต่ว่า การต่อต้านนี้ย่อมต้องแลกมาพร้อมกับราคา

 

เมื่อย้อนคิดถึงเรื่องที่ลูกชายไม่ได้ติดต่อหาตนตั้ง 3 วันแล้ว ในหัวใจของผู้นำตระกูลเซ่าก็เริ่มเย็นยะเยือก

 

ผู้นำซินไม่กล่าวอะไรอีก เพียงโบกมือให้เขา แล้วลูกน้องก็นำของขวัญจากผู้นำตระกูลเซ่าไป

 

กระทำเช่นนี้ ไม่แตกต่างไปจากการตีแสกหน้าผู้นำตระกูลเซ่า บางคนที่เฝ้ามองก็เผยถึงสีหน้าขบขัน บ้างก็โกรธแทน และเกลียดชังลึกๆในใจ แต่ส่วนใหญ่ล้วนแสดงออกถึงความหวาดกลัว

 

 

ช่วงเวลาในการมอบของขวัญดำเนินไปกว่าครึ่งชั่วโมง ตระกูลที่ค่อนข้างแข็งแกร่งบางตระกูลได้รับโต๊ะให้นั่งพักผ่อน ในขณะที่คนอื่นๆยังต้องยืนอยู่ในงาน

 

ฉินเฟิงและไป๋หลีที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดของฝูงชน ประกบติดโต๊ะอาหาร ยังคงดื่มกินอย่างสนุกสนาน

 

ฉินเฟิงมองไปข้างหน้า เห็นการกระทำของตระกูลซิน ในหัวใจของเขาก็ลอบยิ้มเยาะ

 

‘นี่มันงานเลี้ยงซะที่ไหน งานสำแดงบารมีตระกูลซินล่ะไม่ว่า! ’

 

หากตระกูลซินทำแบบนี้ทุกปี ปีแล้วปีเล่า และจู่ๆก็ถูกกวาดล้างหายวับไปอย่างกระทันหัน ฉินเฟิงจะไม่แปลกใจเลย

 

เพราะกล่าวได้ว่าวิธีการของพวกเขามันโหดร้ายเกินไป หากมีใครคิดลุกขึ้นต่อต้าน ทั้งหมดก็จะถูกกำราบลงอย่างรวดเร็ว

 

บางทีน่ากลัวว่า ลูกชายผู้นำตระกูลเซ่าที่มีศักยภาพ อาจจะถูกฆ่าไปแล้วก็ได้

 

ฉินเฟิงรู้สึกว่าวิธีการของตระกูลซินมันตื้นเขินเกินไป ในสมองขบคิด

 

‘ทุ่งล่าน่ะกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด มีทรัพยากรมากมายนับไม่ถ้วนให้ควานหา ทว่ากลับต่อสู้แย่งชิงอย่างเลือดเย็นเพียงเพราะอาหารที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ แสดงความโหดร้ายอย่างถึงที่สุดออกมา ช่างเป็นตระกูลที่วิสัยทัศน์มืดบอดซะจริง’

 

อย่างไรก็ตาม วิถีชีวิตที่ว่า มันถือเป็นเรื่องปกติสำหรับคนทั่วๆไป เพราะคนส่วนใหญ่ไม่อยากแยกจากสถานชุมชน และไม่กล้าท่องไปในทุ่งล่าในฐานะคนพเนจร

 

ระหว่างกำลังขบคิด เสียงๆหนึ่งก็พลันดังขึ้น

 

“ฉันได้ยินมาว่านอกเมืองเฉิงหยาง มีสถานชุมชนแห่งใหม่ก่อตั้งขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ ใครพอจะทราบบ้างว่าผู้ว่าการของพวกเขามาร่วมงานหรือเปล่า?”

 

ประโยคที่กล่าว ไร้ซึ่งโทนเสียงใดๆ ไม่แสดงถึงความเคารพต่อผู้นำสถานชุมชนเลย มันแฝงไว้ความดูถูกด้วยซ้ำ

 

จากมุมมองของตระกูลซิน ตัวตนอย่างผู้นำสถานชุมชนขนาดเล็กน่ะ ไร้กำลังเกินไป หากกล้าออกมาคนเดียว ย่อมถูกสังหารได้ทุกเวลา