Ep.1011 – ชื่อเสียงก้องโลก

ในระยะเวลาสามเดือน เท่ากับตงหยางมาที่นี่หกครั้ง ซึ่งระหว่างช่วงเวลาที่ผ่านมา ตงหยางได้ผ่านการรับรองเลเวล S กับพันธมิตรมนุษย์เรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ยังได้ร่วมเป็นสักขีพยานในการเฉลิมฉลองการตัดผ่านของผู้ใช้พลังเลเวล SS คนที่ยี่สิบ แต่แน่นอน จนถึงตอนนี้ ตงหยางก็ยังไม่เฉลยออกไป ว่าหนึ่งในผู้ใช้อบิลิตี้เลเวล SS ได้ถูกฉินเฟิงฆ่าไปเป็นที่เรียบร้อย

“จ้าวพรมแดนตง! ที่แท้คุณยังคงฝึกฝนอยู่ที่นี่!” ฉินเฟิงกล่าว

ตงหยางยิ้มแห้ง “ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ฉันไม่ได้ฝึกอยู่ที่นี่ตลอดเวลา แต่เข้าๆออกๆหลายครั้งแล้ว แต่ในหลายครั้งที่ว่า ฉันไม่เคยเห็นคุณเลย!”

“ใช่ครับ เพราะผมมุ่งหน้าลึกเข้าไปข้างใน และเพิ่งกลับมา”

พอได้ฟัง ตงหยางไม่ทราบว่าจะแสดงความคิดเห็นอย่างไรดี ต่อให้เป็นผู้ใช้อบิลิตี้เลเวล SS ก็ยังไม่สามารถอยู่ข้างในมิตินี้เป็นเวลานานได้ แต่ฉินเฟิงกลับอยู่ยาวซะจนตงหยางลืมนึกถึงไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเขาสามารถอยู่ได้นานขนาดนั้น งั้นคราวนี้จุดประสงค์ที่เขาออกมาในครั้งนี้คืออะไร?

ระหว่างไตร่ตรอง ตงหยางฉุกคิดได้ถึงเรื่องหนึ่ง เขาค่อนข้างพูดไม่ออก

“ฉินเฟิง อย่าบอกนะว่าคุณตั้งใจจะเข้าร่วมงานประลองลูกรักของพระเจ้าอีกครั้ง!?”

พอลองนับวันดู พบว่านี่คือเดือนพฤศจิกายน งานประลองลูกรักของพระเจ้ากำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม หากตงหยางไม่ได้กล่าวถึง เกรงว่าฉินเฟิงคงจำเรื่องนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ปีนี้เป็นปีสุดท้ายแล้วตามเงื่อนไขจำกัดอายุของฉินเฟิง แต่เขาไม่มีความสนใจที่จะเข้าร่วมมัน

ดินแดนล่มสลายของเผ่าวิญญาณถูกฉินเฟิงสำรวจไปทุกที่ เหยียบย่างไปทุกหนแห่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้าเบื้องบนหรือลึกลงไปใต้พื้นดิน กระทั่งหมาจักรกลก็ยังถูกนำตัวมา แล้วเขาจะไปที่นั่นเพื่ออะไรอีก?

เอาจริงๆสถานที่ไม่มีค่าให้ฉินเฟิงไปแล้ว

“ผมไม่คิดจะเข้าร่วมงาน แค่กลับมาพักผ่อน แล้วกะว่าจะเดินทางไปมิติอื่นเพื่อหาประสบการณ์!” ฉินเฟิงกล่าว

“ดีแล้ว! นั่นเป็นความคิดที่ดีมากๆเลย!” ตงหยางพยักหน้าเห็นด้วย หากฉินเฟิงตัดสินใจไปดินแดนล่มสลายของเผ่าวิญญาณอีกครั้ง ตงหยางกลัวว่าฉินเฟิงคงคิดจะไปกลืนกินแกนกลางของดวงเคราะห์ดวงนั้นแน่ๆ

ตงหยางยังไม่เสร็จการฝึกฝนของเขาในรอบนี้ ฉะนั้นแน่นอนว่าต้องอยู่ต่อ ส่วนฉินเฟิงกับไป๋หลีออกจากมิติไป

ช่วงเวลาสามเดือน มันมากพอให้หลายคนรู้จักที่นี่ ผู้ใช้พลังเลเวล A ไม่ได้มาอีกแล้ว เพราะท้ายที่สุดรอยแยกได้ถูกรักษาสมดุลจนกลายเป็นช่องว่างมิติ การรั่วไหลของอักษรรูนที่เล็ดลอดออกมาได้หายไป ไม่เหลืออะไรให้พวกเขาอีก

แม้ในชีวิตก่อนฉินเฟิงจะไม่เคยมาที่นี่ แต่ปัจจุบันที่นี่เงียบมาก ช่างแตกต่างกับฉากในความทรงจำที่เขาได้ยินมาไม่กี่คำ และที่ต่างออกไปก็เพราะฉินเฟิงได้กลายเป็นผู้รับผลประโยชน์สูงสุดใช่หรือไม่?

หลังจากที่ฉินเฟิงออกมา เขาตัดสินใจไปยังเมืองหลวงมังกร เพื่อทำการรับรองสถานะของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก

แม้ว่าฉินเฟิงจะเคยยืนยันสถานะของตนแล้วในมิติรวมพลพันธมิตรมนุษย์ แต่ที่นั่นมีผู้ใช้พลังเลเวล S มากมายพอๆกับสุนัข ส่วนเลเวล SS เดินขวักไขว่อยู่ทุกที่ ฉินเฟิงที่ทดสอบเป็นเลเวล S จึงไม่เป็นที่รู้จักอะไร

อย่างไรก็ตาม บนมิติโลกมนุษย์ ภายในประเทศหัวเซี่ย การยกระดับของฉินเฟิง ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากการทิ้งระเบิดลูกใหญ่

เพราะนี่เท่ากับว่า ฉินเฟิงมีสถานะต่ำกว่าคนแค่ 19 คนเท่านั้น ขณะเดียวกัน เขาได้กลายเป็นตัวตนที่สามารถยืนหยัดเหนือผู้คนนับล้าน

ถึงแม้ว่าเลเวล SS ทั้ง 19 คนจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉินเฟิงก็ตาม แต่ก็ยังถือว่ามีเลเวลมากกว่าอยู่ดี แต่หากให้พูดกันแบบผิวเผิน ฉินเฟิงได้กลายเป็นตัวตนทรงอำนาจที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขากลายเป็นยอดปิรามิดในพันธมิตรหัวเซี่ย!

ณ เมืองหลวงมังกร ภายในห้องทำงานของหลงถิง หลังจากได้รับใบสมัครที่ส่งมาโดยฉินเฟิง สีหน้าของหลงถิงไม่ได้แสดงออกถึงความประหลาดใจมากนัก เพราะก่อนหน้านี้หูซานได้นำฉินเฟิงไปทำเรื่องในมิติพันธมิตรมนุษย์เรียบร้อยแล้ว หลงถิงเองก็ทราบเรื่องนี้เช่นกัน เรื่องกำลังภายในของฉินเฟิงขึ้นสู่เลเวล S เธอก็ทราบ เพียงแต่นึกไม่ถึง ว่ากว่าเขาจะตัดสินใจเข้ารับการทดสอบเลเวล S  มันจะล่าช้าออกมานานถึงหนึ่งปี

ตอนนี้ ทั้งสองคนได้เจอกัน หลงถิงพบว่าเธอไม่สามารถคาดหยั่งฉินเฟิงได้อีกต่อไป

“ฉันเกรงว่าคุณจะเป็นคนเดียวในพันธมิตรหัวเซี่ย ไม่สิ เป็นคนเดียวในพันธมิตรโลกมนุษย์ ที่สามารถฝึกฝนทั้งอบิลิตี้และวรยุทธโบราณ จนสามารถตัดผ่านขึ้นเป็นเลเวล S ได้ทั้งสองอาชีพ!” หลงถิงถอนหายใจด้วยความชื่นชม อันที่จริงเธออยากถามฉินเฟิงถึงความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา ว่าไปถึงขั้นไหนแล้ว? แต่สุดท้าย ประโยคนั้นก็ไม่ได้พูดออกไป

บางทีอาจเป็นเพราะความแข็งแกร่งของเขา มันยากเกินกว่าที่เธอจะเข้าใจ!

“ท่านผู้นำประเมินผมสูงเกินไปแล้ว”

“ฉันไม่ได้ประเมินสูงอะไรซักหน่อย ถ้าคุณพูดแบบนี้ มันจะดูเจียมเนื้อเจียมตัวเกินไปหน่อยนะเข้าใจไหม อย่าลืมสิว่า นี่คือสิ่งที่ต้องภาคภูมิใจ!” กล่าวติดตลก ก่อนเอ่ยเสริมว่า

“การยกระดับเป็นเลเวล S สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการประกาศให้ทั้งโลกได้รับรู้ ก่อนหน้านี้ตงหยางเพิ่งเสร็จไป คราวนี้ถึงตาคุณ นี่เป็นเรื่องที่ดีสำหรับกลุ่มเฟิงหลี ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้มีหลายคนคิดลองดีกับกลุ่มเฟิงหลีหรอกหรอ น่ากลัวว่าพอได้ยินข่าวนี้ จะไม่มีใครกล้าล่วงเกินคุณอีก!”

ในกลุ่มผู้ใช้พลังเลเวล S เองก็ทราบว่าฉินเฟิงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยั่วยุ ขณะเดียวกันแม้พวกเขาไม่ต้องการกลืนกินกลุ่มเฟิงหลี แต่อีกฝ่ายเติบโตขึ้นเร็วเกินไป ในสายตาของเหล่าเลเวล S จึงมองว่ากลุ่มเฟิงหลีไม่มีคุณสมบัติที่จะนั่งในตำแหน่งเท่าเทียมกับกลุ่มของพวกเขา

ดังนั้นเกิดการโจมตีกันอย่างลับๆ กระทบกระทั่งกันเป็นบางครั้ง แต่ทั้งหมดนั้นคือเรื่องของธุรกิจ อาจมีการต่อสู้กันระหว่างเลเวล E หรือ D อยู่ประปราย แต่ปัญหาเล็กๆแบบนั้น ต่อให้ฉินเฟิงรู้ เขาก็ไม่สามารถออกหน้าได้

แต่ทันทีที่ฉินเฟิงสามารถยกระดับขึ้นเป็นเลเวล S บรรดาผู้คนที่คอยตอดจิกเล็กๆน้อยๆเหล่านั้น นับจากนี้ไปต่อให้แค่คิดพวกมันคงไม่กล้า

“ผมก็หวังให้เป็นอย่างนั้น จริงสิ ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้ไป๋หลีมีตราเลเวล S ด้วย แต่ไม่จำเป็นต้องผ่านพันธมิตรมนุษย์ก็ได้”

“นั่นไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เอาล่ะ ฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้พวกคุณเอง ส่วนตอนนี้ขอให้พวกคุณไปออกล่า กำจัดปัญหาบางอย่างที่พวกเรายังไม่สามารถแก้ไขได้ซะ! เรื่องนี้คงไม่ยากสำหรับพวกคุณ … ประเทศหัวเซี่ยของพวกเรา ยังต้องการพื้นที่ใช้สอยมากขึ้นในตอนนี้!”

“ไว้ใจผมได้เลย!”

ทั้งสองตกลงแลกเปลี่ยนกัน

เนื่องจากเมื่อเร็วๆนี้ มีการปรากฏขึ้นของมิติมวลหมู่ดาวรูน ทำให้มีมากกว่าหนึ่งคนสามารถยกระดับขึ้นเป็นเลเวล S คนเบื้องล่างไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด มีแค่คนเบื้องบนเท่านั้นที่รู้

หลังจากนั้น พิธีมอบรางวัลของฉินเฟิง ก็ได้ถูกปล่อยออกอากาศ

สามเดือนก่อน ตงหยางเพิ่งประกอบพิธีเกียรติยศนี้ ผู้ใช้พลังในเครือข่ายนักสู้และพันธมิตรหัวเซี่ย หรือแม้แต่คนธรรมดา ทุกคนต่างรู้เกี่ยวกับมัน ประเทศของพวกเขามีเทพเจ้าผู้พิทักษ์คอยปกป้องเพิ่มอีกคนแล้ว

แต่ผ่านไปแค่สามเดือน เลเวล S ซึ่งตามปกติแล้ว จะไม่ปรากฏขึ้นซ้ำสองในรอบสิบปี จู่ๆก็โผล่ขึ้นอีกคนหนึ่ง

นอกจากนี้ ชายคนนั้นยังสามารถขึ้นเป็นเลเวล S ทั้งๆที่อายุยังไม่ถึง 20 ปี นี่คือปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน

ในหมู่คนธรรมดา พวกเขาเกิดความคิดว่าคงได้ยินเรื่องนี้ผิดไป

“ฉินเฟิง? นั่นไม่ใช่ลูกรักของพระเจ้าเมื่อปีที่แล้วหรอกหรอ? เขาคือแชมป์สองสมัย แต่ทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นเลเวล S ไปได้?”

“เนื้อหาข่าวผิดรึเปล่า?”

“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย! ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เลเวล S สามารถเป็นกันได้พร่ำเพรื่อเช่นนี้? คนที่สามารถขึ้นเป็นเลเวล S คนก่อนๆยังก้าวออกมารับตราในสภาพแก่ชราอยู่เลย ทำไมคราวนี้เป็นเด็กหนุ่มไปได้?”

แต่เมื่อเทียบกับคำถามในความสงสัยของคนเหล่านี้แล้ว ในภูมิภาคเหนือ , รัฐทะเลเหนือ ตลอดจนกลุ่มเฟิงหลี พวกเขายิ่งรู้สึกเหลือเชื่อ

“นี่มันเรื่องอะไรกัน? ผู้นำรัฐของพวกเรา ตอนนี้กลายเป็นเลเวล S ไปซะแล้ว!”

“ท่านประธานกลายเป็นเลเวล S จริงๆน่ะหรือ? เขาหายตัวไปเมื่อสามเดือนก่อน อย่าบอกนะว่าไปแอบทำอะไรมา?”

“ท่านประธานของพวกเรา ช่างเป็นคนเหนือคน ไม่เหมือนใครอย่างแท้จริง”

เป็นเพราะฉินเฟิงตัดสินใจฉุกละหุกเกินไป ทำให้แม้ซูซิงฝูและคนอื่นๆทราบข่าวล่วงหน้า แต่ก็ไม่มีเวลาได้เตรียมหลักฐาน ดังนั้นหลังจากประกาศออกไป หลายคนในเฟิงหลีเลยยังไม่ค่อยมีใครเชื่อ แต่ตอนนี้ เมื่อเมืองหลวงมังกรประกาศมันด้วยตัวเอง ในที่สุดพวกเขาก็ยอมรับ

กลุ่มเฟิงหลี … จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!

และทั้งหมดนี้เป็นเพราะคนๆเดียว นั่นคือผู้ก่อตั้งมัน!

สามารถกล่าวได้ว่า ที่เฟิงหลีค่อยๆขยับขยาย เป็นเพราะคนๆนี้เสมอมา และในอนาคตจะเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่พวกเขาแค่ไม่เคยนึกฝันมาก่อน ว่าจะมาได้ไกลถึงจุดนี้

ฉินเฟิง ได้กลายเป็นเลเวล S เพียงชั่วข้ามคืน ข่าวนี้โด่งดังไปทั่วโลก!