Ep.1012 – งานประลองเพื่อสันติภาพระหว่างมนุษย์

การยกระดับขึ้นสู่เลเวล S ของฉินเฟิง กลายเป็นข่าวโด่งดัง รัฐทะเลเหนือ ภูมิภาคเหนือ ตลอดจนพันธมิตรหัวเซี่ย ต่างพากันประโคมข่าวนี้อย่างยิ่งใหญ่ พวกเขาปล่อยประวัติภารกิจมากมายของฉินเฟิงสู่สาธารณะ โดยเฉพาะบันทึกการต่อสู้!

สิ่งเหล่านี้ พวกคนธรรมดา รวมไปถึงคนที่ไม่ได้อยู่ในเลเวลเดียวกันกับฉินเฟิงในช่วงเวลานั้นๆ ปกติไม่มีทางได้เห็น นี่เลยเป็นเหตุผลที่มีมนุษย์จำนวนมากรู้สึกยินดีที่จะได้ฟัง และได้เห็นการถือกำเนิดของเลเวล S เพราะตามปกติแล้วพวกเขาใช้ชีวิตเหมือนอยู่ในกรง เวลานี้สามารถรับชมความตื่นเต้นจากโลกภายนอก ได้ตื่นตาไปกับสิ่งอันตรายและน่าหวาดกลัว

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฉินเฟิงได้สังหารจักรพรรดิสัตว์ร้าย และสัตว์เทวะไปมากมาย เมื่อวิดีโอพวกนี้ถูกปล่อยออกมา มันช่วยให้ฉินเฟิงได้รับคะแนนนิยมเป็นอย่างมาก ในช่วงท้ายของพิธีมอบรางวัล ทางเมืองหลวงมังกรได้ประกาศตำแหน่งจอมพลของฉินเฟิงอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ความแข็งแกร่งของฉินเฟิงอยู่ในเลเวล A เท่านั้น ตำแหน่งจอมพลของเขาเลยไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

แต่ตอนนี้ ตำแหน่งจอมพลของฉินเฟิงได้รับการป่าวประกาศอย่างทั่วถึง ไม่ว่าใครก็ทราบถึงเรื่องนี้

แม้การโหมประกาศจะเป็นไปอย่างบ้าคลั่ง แต่มันแทบไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อจิตใจฉินเฟิง

เพราะชื่อเสียงยังไงก็แค่ชื่อเสียง ความแข็งแกร่งยังไงก็คือความแข็งแกร่ง ไม่ว่าชื่อเสียงจะใหญ่โตแค่ไหน หากไม่มีความแข็งแกร่งย่อมไร้กำลัง มิอาจบรรลุสิ่งใดได้

ฉินเฟิงจะไม่ยอมให้เกียรติยศในครั้งนี้มาทำให้ดวงตามืดบอด อิ่มเอมไปกับความรุ่งโรจน์ภายนอกเช่นนี้  เขาพักผ่อนในเมืองเฟิงหลีเป็นเวลาสามวัน ตรวจสอบความคืบหน้าของกลุ่ม ก่อนจากไป ฉินเฟิงทิ้งไป๋หลีไว้ที่นี่ เพื่อเดินทางสู่มิติพันธมิตรมนุษย์เสาะหาดาวเคราะห์ที่เหมาะแก่การเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของเขาอีกครั้ง

การยกระดับครั้งก่อนในดาวทะเลดอกไม้เป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้น แต่ฉินเฟิงยังจดจำความรู้สึกในการล่าสังหารแมลงสัตว์ร้ายในตอนนั้นได้ บางทีตัวเลือกที่เหมาะสมกับเขา อาจเป็นแนวหน้าของสนามรบอื่นๆในมิติดาวทะเลดอกไม้ก็ได้

แต่นึกไม่ถึงเลย ว่าหลังจากที่ฉินเฟิงมาถึง และหยิบอุปกรณ์สื่อสารออกมาเพื่อหาข้อมูล เขากลับได้รับข้อความแจ้งเตือนเด้งขึ้นมา

[สวัสดีผู้ใช้พลังแห่งพันธมิตรมนุษย์ฉินเฟิง ทางเรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะบอกว่า คุณได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานประลองเพื่อสันติภาพระหว่างมนุษย์ หากคุณสนใจเข้าร่วม โปรดคลิกที่นี่เพื่อเข้าสู่การทดสอบคัดตัว!]

“งานประลองเพื่อสันติภาพระหว่างมนุษย์? นี่มันอะไรกัน?”

ชื่อก็ฟังดูธรรมดาสามัญ  มีกระทั่งคำว่าสันติภาพ ที่ทำให้ดูเหมือนเป็นการประลองกระชับมิตร

หากเป็นช่วงเวลาสงบสุขอย่างในช่วงก่อนยุครอยแยกมิติครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นบนโลก เกรงว่าการเชื้อเชิญเช่นนี้อาจดูเหมือนเป็นโฆษณาก่อกวน แต่เนื่องจากมันถูกส่งตรงเข้ามาในอุปกรณ์ของกลุ่มพันธมิตรที่แท้จริง ฉินเฟิงเลยต้องให้ความใส่ใจกับมันบ้าง

เขาเริ่มค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับงานประลองเพื่อสันติภาพจากเน็ต หลังจากได้เห็นรายละเอียด ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกตกใจมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

มนุษย์คือเผ่าพันธุ์ที่มีความสามารถในการเติบใหญ่ไร้ขีดจำกัด ตราบใดที่ไม่มีศัตรู ความเร็วในการก้าวหน้าเป็นเรื่องยากที่จะคาดหยั่ง แต่ขณะเดียวกัน พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการพื้นที่พักอาศัยและอาณาเขตจำนวนมากอยู่เสมอ ปรารถนากระทั่งพิชิตมิติทั้งหมด

ทว่าความทะเยอทะยานดังกล่าว แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของพวกเขายังไม่เพียงพอ ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องความสามัคคี เพราะได้มีการถือกำเนิดของสององค์กรที่ตรงกันข้ามกันสุดขั้วในหมู่มวลมนุษย์ –พันธมิตรองค์กรมืดและพันธมิตรมนุษย์

ในกรณีที่ทั้งสองฝ่ายสำรวจเจอมิติใหม่พร้อมกัน เป็นไปได้ว่าอาจเกิดการต่อสู้แย่งชิงจนล้มตายขึ้น นี่ยังไม่กล่าวถึงการต่อต้านขัดขืนจากผู้ใช้พลังในมิตินั้นอีกนะ

อย่างไรก็ตาม เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ทางพันธมิตรมนุษย์และพันธมิตรองค์กรมืดจึงจัดงานประลองที่มีชื่อว่า ‘งานประลองเพื่อสันติภาพ’ ขึ้น แต่อันที่จริงแล้ว มันคือการต่อสู้ถึงตาย เพื่อใช้ตัดสินว่ามิติที่เพิ่งถูกค้นพบ ฝ่ายใดจะได้มันไปครอง

แต่ถ้าหากให้จ้าวเหนือหัวของแต่ละฝ่ายมาต่อสู้ตัดสินกัน เห็นได้ชัดว่าผลร้ายคงดีกว่าผลเสีย ในขณะที่เลเวล SSS ถือเป็นทรัพยากรที่มีค่า ไม่สมควรเคลื่อนไหว ส่วนเลเวล SS ถือเป็นชนชั้นกลาง ย่อมหลีกเลี่ยงที่จะไม่มีส่วนร่วมไม่ได้ แต่ก็ไม่ถึงกับต้องลงมือด้วยตัวเองทั้งหมด

ด้วยเหตุนี้ ผู้ใช้พลังเลเวล S ที่ในมิติอื่นเปรียบเสมือนเทพเจ้า ยืนหยัดอยู่เหนือผู้คนทั่วไป เลยกลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเข้าร่วมประลอง

“มีการจัดงานประลองรูปแบบนี้ขึ้นมากกว่า 300 ครั้งแล้วหรือนี่? นั่นเท่ากับเป็นเวลาพันปีเลยไม่ใช่หรอ!” ฉินเฟิงอุทาน เมื่อมองดูระยะเวลาตามประวัติศาสตร์ เจ้าตัวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทอดถอนหายใจออกมา

แต่จำนวนปีที่ว่า มันใช้คำนวณโดยอ้างอิงจากกระแสการไหลของเวลาในมิติมนุษย์

อัตราการไหลของเวลาไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกมิติ แต่สำหรับมิติที่มนุษย์ถือกำเนิดขึ้น เวลาจะแตกต่างกันไม่มากนัก ดังนั้นคำนวณตามวันเฉลี่ยของทุกมิติ

งานประลองเพื่อสันติภาพระหว่างมนุษย์จะจัดขึ้นทุก 1,000 วัน หรือสำหรับฉินเฟิง มันก็คือในทุกๆสามปีนั่นเอง และงานประลองนี้ เกิดขึ้นมานานนับพันปีแล้ว

ตัวตนทรงอำนาจในมิติของฉินเฟิง ก็ทราบถึงงานประลองนี้เช่นกัน แต่ไม่มีใครสามารถเข้าร่วมได้

เพราะพวกเขาไม่มีคุณสมบัติมากพอ

อย่างไรก็ตาม งานประลองครั้งนี้ ฉินเฟิงกลับรู้สึกสนใจมันมาก เพราะผลตอบแทนที่ได้รับ มันมหาศาลจริงๆ

“รางวัล : ผู้ที่สามารถผ่านการคัดเลือกให้เข้าร่วมประลอง ทุกครั้งที่สามารถโค่นศัตรู จะได้รับหนึ่งมิติไปครอบครอง!” ดวงตาของฉินเฟิงเบิกกว้าง

เขาเริ่มตรวจสอบจำนวนมิติที่ได้รับการค้นพบทันที

ระยะเวลาประมาณสามปี หรือหนึ่งพันวันตามกระแสการไหลของเวลาในมิติของฉินเฟิง มีมิติที่ถูกค้นพบและได้รับการจัดอันดับว่าเป็นเลเวล S ทั้งสิ้น 4,529 มิติ!

แน่นอน นี่ไม่ได้แสดงถึงจำนวนมิติทั้งหมดที่มนุษย์ค้นพบ เพราะบางมิติที่ถูกค้นพบ ตราบใดที่ยังไม่โดนล่วงรู้โดยทั้งพันธมิตรมนุษย์และพันธมิตรองค์กรมืด ฝ่ายแรกที่หาเจอย่อมปิดข่าว ไม่ปล่อยข้อมูลหลุดออกไป ดังนั้นจะไม่มีใครทราบเรื่องนี้

อย่างในมิติที่ฉินเฟิงอาศัย ก็ยังมีช่องว่างเชื่อมไปยังมิติที่ไม่เคยมีคนนอกค้นพบเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่ามิติ จึงมีจำนวนไม่สิ้นสุด

ส่วนใหญ่ที่ถูกเปิดเผยข้อมูลออกมา คือมิติที่ทั้งสองฝ่ายค้นพบมันแล้ว จึงเกิดการต่อสู้ ทะเลาะแย่งชิงกัน นั่นเองคือเหตุผลที่ต้องมีการจัดงานประลองเพื่อสันติภาพ

ประเด็นก็คือเงื่อนไขการแบ่งมิติระหว่างทั้งสองฝ่ายค่อนข้างน่ากลัวมาก

ตัวอย่างเช่น ผู้เข้าร่วมงานประลองแต่ละคน จะได้กลายเป็นตัวแทนที่ถือครองสิทธิ์ในการแบ่งสรรมิติมากถึง 100 มิติ ความหมายก็คือ หากตัวแทนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถสังหารหรือเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ ก็จะได้รับ 100 สิทธิ์ของอีกฝ่ายมาครอง

งานประลองเพื่อสันติภาพนี้ ทั้งสองฝ่ายจะต้องส่งตัวแทนมาฝั่งละ 23 คน รวมทั้งสิ้น 46 คน ให้เทียบเท่ากับมิติเกือบ 4,600 ที่ถูกค้นพบ ส่วนจะแบ่งสรรปันส่วนกันอย่างไร เป็นหน้าที่ของพวกระดับสูงต้องจัดการ

“ศัตรู 23 คน ถ้าฉันสุ่มฆ่าไปซักห้าคน นั่นหมายความว่าฉันจะได้รางวัลเป็น 5 มิติมาครอง หรืออีกกรณีก็คือ ต่อให้ฉันไม่ฆ่าใครเลย แต่ตราบใดที่สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ฉันก็จะได้รับมิติที่ถูกประเมินแล้วว่าเป็นเลเวล S เป็นของตัวเอง รางวัลนี้มันน่าดึงดูดใจจริงๆ!”

‘มิติที่ได้รับการประเมินว่าเป็นเลเวล S’ ไม่ได้หมายความว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่นั่นจะเป็นเลเวล S เสมอไป มันแค่บ่งบอกว่าอย่างน้อยมิติแห่งนั้นสามารถให้กำเนิดเลเวล S ได้

ก็เหมือนกับมิติที่ฉินเฟิงอาศัยอยู่ อย่างน้อยก็ไม่ใช่มิติในระดับเขตแดนลับ แกนกลางโลกยังคงคุกรุ่นไปด้วยพลังงาน ตราบใดที่มันสามารถคงสภาวะนั้นเอาไว้ได้ บนโลกจะมีทรัพยากรปรากฏขึ้นอยู่เสมอๆ

เมื่อคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ ฉินเฟิงก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่เข้าร่วม

เขาคลิกเข้าร่วมอย่างไม่ลังเล

หลังจากตอบตกลง ฉินเฟิงก็เบนสายตาไปอ่านเงื่อนไขการทดสอบคัดตัว เขาพบว่ามันง่ายมากจริงๆ ก็เหมือนกับในตอนที่ฉินเฟิงเข้ารับการทดสอบเป็นสมาชิกพันธมิตรมนุษย์ในตอนแรกทุกประการ

มันคือการทดสอบพลังโจมตี!

23 คนที่สามารถติดอันดับสูงสุด จะผ่านเกณฑ์การคัดเลือดให้เข้าประลองเพื่อสันติภาพ

ฉินเฟิงมองดูกำหนดเวลา และพบว่าเหลืออีกแค่สามชั่วโมงเท่านั้น!

เขาต้องรีบเข้ารับการทดสอบเดี๋ยวนี้!

ฉินเฟิงลงมือทันที เชื่อมต่อกับพื้นที่ส่วนกลางผ่านประตูมิติในวิลล่า ก้าวเข้าสู่สนามทดสอบ

แม้จะบอกว่าเหลือเวลาอีกเพียง 3 ชั่วโมง แต่การทดสอบดำเนินมานานแล้ว อย่างไรก็ตาม มีคนจำนวนมากมารวมตัวกัน มุงดูสิ่งที่เกิดขึ้น

นั่นเพราะจนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย ยังไม่อาจทราบได้ว่าใครจะเป็นคนคว้า 23 ตำแหน่งไปครอง อันดับสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา

ฉินเฟิงเงยหน้าขึ้น ดูผลการทดสอบของอันดับหนึ่ง

หมิงเทียนห่าว : พลังโจมตี 95239!

ฉินเฟิงตกตะลึง!

ย้อนกลับไปในตอนนั้น ฉินเฟิงใช้ทักษะลับกลืนดารา ผสานกับดาราเก้าดวง เสริมด้วยศักยภาพของความแข็งแกร่งทางกายภาพระดับเทวะในเลเวล A1 เขายังโจมตีได้แค่ 28531 แต้มเท่านั้นเอง แต่ในความเห็นของฉินเฟิง นั่นคือขีดจำกัดของเลเวล S แแล้ว

“ยังมีคนอีกมากมายท่ามกลางมิตินับพันหมื่น เหนือฟ้ายังมีฟ้าจริงๆ!”

ฉินเฟิงทอดถอนหายใจด้วยอารมณ์

ประเด็นก็คือ ยอดมนุษย์ใน 23 อันดับแรก ล้วนมีพลังโจมตีมากกว่า 80,000 แต้มทั้งสิ้น ช่างน่าสะพรึงกลัวนัก