Ep.689

ซู๊ดดดดด!

เผชิญหน้ากับการโจมตีอันน่าสยองขวัญที่ไม่เหมือนกันเลยจากรอบด้าน อู๋หยาจื่อลมหายใจย้อนกลับ ขนทั้งร่างลุกชัน

ณ ตอนนี้ เขากระจ่างแก่ใจ ว่าหากไม่ทุ่มเทด้วยกำลังทั้งหมดที่มี อาจตกตาย ณ ที่นี้จริงๆ

“สู้ก็สู้!”

อู๋หยาจื่อขบกรามแน่น โล่ทมิฬขนาดเล็ก 18 ใบปรากฏนอกร่างกายเขา หลังจากกระจายไปรอบตัว ก็ประสานกันเป็นหนึ่งเดียว มองไปราวกับกระดองเต่าสีดำก็มิปาน ห่อหุ้มเจ้าของไว้ข้างใน

ณ เวลานี้ การโจมตีทั้งหมดของซูเฉินมาถึงแล้ว

ตูม ตูม ตูม … แคร่ก แคร่ก กริ๊ก!

ท่ามกลางเสียงปะทะดังต่อเนื่อง ทั้งคนทั้งร่างของอู๋หยาจื่อถูกแรงกระแทกกดจมดิน

โล่ทั้ง 18 ใบ ปริร้าว ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง

อย่างไรก็ตาม ลมหายใจของอู๋หยาจื่อกลับยังมั่นคง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ [ทักษะต่อสู้หมื่นแสงสิบเงาสะท้อน] ของซูเฉิน ไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆแก่ตัวอู๋หยาจื่อมากนัก

หลังจากการโจมตีรวดเดียวผ่านพ้นไป ภูติเงาทั้ง 10 ก็ซูเฉินก็มลายหาย

[เทคนิคปลุกศูนย์รวมวิญญาณสวรรค์] ก็ถูกปลดออกเช่นกัน ร่างสูงใหญ่หดลงเหลือสภาพเดิม ยืนนิ่งอยู่กับที่ เฝ้ารออู๋หยาจื่ออย่างเงียบๆ

ไม่กี่อึดใจต่อมา เศษดินเศษหินรอบตัวอู๋หยาจื่อก็แตกเป็นเสี่ยงๆ กระโจนขึ้นมาจากหลุมลึก

เมื่อเขาเห็นความเสียหายมากมายบนโล่ขนาดเล็ก ใบหน้าก็แสดงถึงความเจ็บปวดมาก แต่ในขณะเดียวกันหัวใจก็สั่นสะท้าน

เพราะโล่ใบเล็กทั้ง 18 นี้ แม้คุณภาพของพวกมันยังไม่ถึงขั้นสิ่งประดิษฐ์เทวะ แต่หากเกาะกันเป็นหนึ่งเดียว พลังป้องกันไม่เลวร้ายไปกว่าสิ่งประดิษฐ์เทวะเลย

แต่ถึงอย่างนั้น ยังคงเกือบถูกทำลายโดยซูเฉิน

สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า กระบวนท่าของซูเฉินทรงพลังขนาดไหน เขาถึงขั้นจินตนาการไปว่า ซูเฉินไม่จำเป็นต้องไปถึงขอบเขตเสมือนเทวะหรอก ตราบใดที่อีกฝ่ายยกระดับเป็นขั้น 10 ก็คงสามารถฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย

“ผู้อาวุโส ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?”

เห็นสีหน้าอู๋หยาจื่อไม่ดีนัก ซูเฉินถูจมูกพลางเอ่ยถาม

“ไม่เป็นไร” อู๋หยาจื่อกระแอมอย่างหนัก ใบหน้าชราแดงระเรื่อ

ในฐานะเสมือนเทวะ แต่ถูกผู้ฝึกตนขั้น 9 ทุบตีจมดินแบบนี้  ช่างน่าขายหน้าจริงๆ

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ” ซูเฉินเผยรอยยิ้มจาง

อู๋หยาจื่อระบายลมหายใจอย่างช้าๆ เหม่อมองซูเฉินด้วยความว่างเปล่า เอ่ยปากว่า “ซูเฉิน เจ้าไปเอาสิ่งประดิษฐ์เทวะสองชิ้นนี้มาจากที่ใด?”

ไม่ว่าจะเป็น [ภูเขาหยวนเหออู่จี๋] หรือ [กระบี่แยกฟ้าแห่งความโกลาหล] ทั้งสองล้วนเป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะชั้นเลิศ

การได้มาสักชิ้นก็นับเป็นพรจากฟ้าแล้ว แต่นี่ซูเฉินกลับมีอยู่ถึงสองชิ้น แล้วเขาไปเอามันมาได้อย่างไร?

จุดนี้กระตุ้นความสนใจของ อู๋หยาจื่อเป็นอย่างมาก

“ผู้อาวุโส ที่มาของสิ่งประดิษฐ์เทวะเกี่ยวข้องกับความลับของผมเอง ต้องขอโทษด้วยที่ไม่สามารถบอกความจริงกับท่านได้” ซูเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

[ภูเขาหยวนเหออู่จี๋] และ [กระบี่แยกฟ้าแห่งความโกลาหล] ล้วนเป็นของที่ดรอปจากชิ้นส่วน แล้วจะบอกคนนอกได้อย่างไร?

แต่ถึงแม้จะพูดมันออกไป เกรงว่าอู๋หยาจื่อจะไม่เชื่อ

อู๋หยาจื่อไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก กล่าวต่อว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าตั้งใจจะแลกเปลี่ยนต้นผลจำลองจิตกับข้าด้วยหนึ่งในสองสิ่งประดิษฐ์เทวะนี้ใช่หรือไม่?”

ในความคิดเขา สิ่งประดิษฐ์เทวะทั้งสองชิ้นของซูเฉินมีค่ากว่าต้นผลจำลองจิตมาก หากใช้แลกกัน นับเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่

“ผู้อาวุโสเข้าใจผิดแล้ว” ซูเฉินหัวเราะ จากนั้นอธิบายว่า “ผมยังมีสิ่งประดิษฐ์เทวะอยู่อีกชิ้นหนึ่ง”

พูดไปพูดมา เขาก็หยิบกระบี่ยักษ์สีน้ำตาลดินออกมา

“มีสิ่งประดิษฐ์เทวะอีกชิ้นหนึ่ง?”

อู๋หยานจื่อตกใจมาก เพ่งสำรวจกระบี่น้ำตาลดิน

หลังจากสัมผัสได้ถึงคลื่นความผันผวนที่เล็ดลอดออกมาจากกระบี่ยักษ์ เขาเดาะลิ้นและกล่าวว่า “มันคือสิ่งประดิษฐ์เทวะจริงๆ ”

ซูเฉินเก็บกระบี่ยักษ์ เอ่ยเสียงเรียบ “ผู้อาวุโส ถึงเวลาที่เราต้องพูดเรื่องความร่วมมือกันแล้วถูกไหม?”

อู๋หยาจื่อพยักหน้าเล็กน้อย “เราต้องคุยกันแน่นอนอยู่แล้ว แต่ก่อนหน้านั้น เราผู้เฒ่ามีบางอย่างจะบอกเจ้า”

Ep.690

“ผู้อาวุโสเชิญกล่าว” ซูเฉินยิ้ม

ถึงอย่างไรอู๋หยาจื่อก็เป็นเสมือนเทวะ หากคิดเอ่ยขอบางสิ่งบางอย่างมันก็ยังสมเหตุสมผล

แน่นอน ว่าต้องอยู่ในเงื่อนไขที่พอรับได้

“เจ้าควรจะรู้สึกได้แล้ว ว่าข้ามิใช่เผ่ามนุษย์ของเจ้า ถูกไหม?” อู๋หยาจื่อเอ่ยปากอย่างช้าๆ

ซูเฉินพยักหน้า เอ่ยถามว่า “ไม่ทราบผู้อาวุโสมาจากเผ่าพันธุ์ใด?”

ระหว่างต่อสู้ ซูเฉินสังเกตเห็นว่ากลิ่นอายของอู๋หยาจื่อแตกต่างจากของมนุษย์มาก

แต่เรื่องที่ว่าเป็นเผ่าพันธุ์ไหน เขาไม่รู้

“เราผู้เฒ่ามาจากเผ่าคนแคระ” อู๋หยาจื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“โอ้”

ซูเฉินนึกออกทันที เมื่อตอนอยู่บนเกาะซูหวู เขาเคยเจอเผ่าคนแคระมาบ้างแล้ว ลักษณะที่โดดเด่นที่สุดของคนแคระคือรูปร่างเตี้ยแต่กำยำ จุดนี้ค่อนข้างคล้ายกับอู๋หยาจื่อ

อู๋หยาจื่อกล่าวต่อว่า “ส่วนเหตุผลที่เราผู้เฒ่ายังอยากมีชีวิตอยู่ มีเพียงจุดประสงค์เดียวเท่านั้น นั่นคือแก้แค้น!”

แก้แค้น?

สีหน้าของซูเฉินแข็งค้างไป เพราะเมื่อก้าวขึ้นสู่ระดับเดียวกับอู๋หยาจื่อ ศัตรูของเขา ไม่ต้องบอกก็รู้ ว่าคงเป็นเสมือทนเทวะหรือระดับเทวะอย่างแน่นอน

คล้ายกำลังรำลึกความหลัง อู๋หยาตื่อเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจยาว กล่าวเนิบนาบว่า “ข้ามีศิษย์น้องคนหนึ่งชื่อ จี้ชางจื่อ เดิมพวกเราทั้งคู่ร่วมกันปกครองทวีปเผ่าคนแคระ แต่จี้ชางจื่อกลับต้องการครอบครองทวีปแต่เพียงผู้เดียว จึงลอบทำร้ายข้า”

“ข้าจะตายมันก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ประเด็นก็คือกฏการปกครองของจี้ชางจื่อ มันเลือดเย็นและโหดร้ายมาก ข้าทนเห็นชีวิตและจิตวิญญาณของเผ่าถูกทำลายไม่ได้ ดังนั้นจึงสาบานว่าต้องสังหารจี้ชางจื่อ นั่นคือเหตุผลที่เราผู้เฒ่าอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ”

ได้ยินแบบนั้น หัวใจของซูเฉินสั่นไหวเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “ผู้อาวุโส จี้ชางจื่อคงเป็นระดับเทวะใช่หรือไม่?”

เมื่อพิจารณาถึงเรื่องที่ว่า ซูเฉินสามารถกำราบอู๋หยาจื่อลงได้แล้ว เช่นนั้นความคับข้องใจของอีกฝ่าย เขาก็ต้องช่วยสะสางให้เช่นกัน และเขาเองก็อยากจะรู้ถึงความแข็งแกร่งของจี้ชางจื่อเอาไว้ล่วงหน้า

“เป็นระดับเทวะขั้น 1 แต่บางทีตอนนี้อาจก้าวสู่ขั้น 2 แล้ว” อู๋หยานจื่อกล่าวด้วยสีหน้ามืดมน

“อาจอยู่ในระดับเทวะขั้น 2 ?”

ซูเฉินสูดหายใจลึก พยายามสงบสติอารมณ์ลง ถามต่อว่า “ผู้อาวุโส ทำไมจี้ชางจื่อถึงอยากครองทวีปคนแคระแต่เพียงผู้เดียวด้วย?”

เมื่อก้าวสู่ระดับเทวะ ตามหลักแล้วควรมุ่งเน้นสมาธิไปกับการฝึกตน แล้วจะมาแย่งชิงอำนาจปกครองทวีปเพื่ออะไร?

“เพื่อพลังแห่งศรัทธา!” อู๋หยาจื่อตอบอย่างไม่ลังเล

นี่เป็นครั้งแรกที่ซูเฉินได้ยินเรื่อง ‘พลังแห่งศรัทธา’ จึงอดไม่ได้ที่จะรวบรวมสติ แล้วตั้งใจฟังเงียบๆ

อู๋หยาจื่อกระแอมเบาๆ  พูดต่อว่า “เมื่อไปถึงระดับเทวะแล้ว หากต้องการฝึกตนให้ก้าวไปอีกขั้น มันยากพอๆกับการปีนป่ายขึ้นสวรรค์ และพลังแห่งศรัทธา ถือได้ว่าเป็นทางลัดในการเลื่อนขั้น ตราบใดที่พลังแห่งศรัทธาถูกรวบรวมมาถึงระดับหนึ่ง จะสามารถใช้เสริมความแข็งแกร่งได้ นอกจากนี้ยังใช้ในการโจมตีได้เช่นกัน”

“นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผู้แข็งแกร่งระดับเทวะถึงให้ความสำคัญกับพลังแห่งศรัทธาเป็นอย่างมาก”

“การได้รับพลังแห่งศรัทธาเกี่ยวข้องกับการปกครองทวีปยังไง?” ซูเฉินรู้สึกสับสน

อู๋หยานจื่อยิ้มและอธิบายว่า “หนทางที่จะได้รับพลังแห่งศรัทธา คือความเลื่อมใสและเชื่อฟังในตัวของผู้แข็งแกร่งระดับเทวะผู้นั้น และมันต้องมาจากใจจริง หรือไม่ก็ต้องฝังรากลึก”

คราวนี้ ซูเฉินเข้าใจแล้วว่าทำไมจี้ชางจื่อถึงอยากผูกขาดทวีปคนแคระแต่เพียงผู้เดียว เนื่องจากทั้งอู๋หยาจื่อและจี้ชางจื่อล้วนเป็นระดับเทวะกันทั้งคู่

ฉะนั้น ความศรัทธาเลยถูกแบ่งออกเป็นสองสาย ไม่อาจเทียบเท่ากับศรัทธาที่ถูกรวบรวมมาสายเดียวอย่างแน่นอน

จี้ชางจื่อไม่ยินยอม จึงลอบวางแผนสังหารอู๋หยาจื่อ

หลังจากที่ทวีปคนแคระถูกปกครองโดยจี้ชางจื่อ เขาย่อมต้องละเลงเลือดเหล่าผู้เลื่อมใสในตัวอู๋หยาจื่ออย่างแน่นอน เป็นผลให้หลายชีวิตและจิตวิญญาณถูกกำจัดออกไป

ซูเฉินย้อนคิด ในตอนอยู่ในทวีปเผ่าราชวงศ์อสูร เขาเคยใช้ชีวิตของชาวราชวงศ์อสูรมาข่มขู่บรรพชนราชวงศ์อสูร  และอีกฝ่ายถึงกลับยอมรามือจริงๆ

ตอนนั้นเขาค่อนข้างแปลกใจมาก ไม่รู้ว่าทำไมบรรพชนเฒ่านั่นถึงได้กังวลนัก

พอมาลองคิดดูอีกที อีกฝ่ายคงต้องการพลังแห่งศรัทธาอย่างแน่นอน

ลองจินตนาการดูสิ ว่าถ้าคนในเผ่าถูกฆ่า–

–แล้วจะไปรวบรวมพลังแห่งศรัทธามาจากที่ไหน?