บทที่ 68

 

“ศิษย์ข้า กระบี่เจ้ามันยังไงกัน?” บนยอดเขาเทียนหยุน เทียนหยุนเอ่ยถามอย่างสงสัย มิใช่ว่าเขาโอ้อวด แต่กล้าบอกเลยว่าในโลกใบนี้ สิ่งที่ทำให้เขาไม่เข้าใจนั้นมีน้อยมาก

 

แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่เข้าใจ กลับดันมาอยู่ในมือศิษย์ของตัวเอง+

 

ฉินห่าวพอได้ยิน ก็หยิบกระบี่ไร้เงาออกมาโดยไม่ขัดขืนใดๆ สำหรับอาจารย์แล้ว เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำร้ายหรือช่วงชิงสมบัติของตัวเอง

 

“นี่ … พอลองมองใกล้ๆ รอยหักของใบกระบี่เรียบเนียนมาก ราวกับว่ามันเชื่อมต่อกับอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น”

 

เทียนหยุนหยิบกระบี่ไร้เงาขึ้นมามองเผินๆอยู่พักหนึ่ง แล้วก็อุทานออกมา “นี่ไม่ใช่รอยหัก! แต่เป็นรอยที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ!”

 

“อาจารย์สนใจลองดูไหม?”

 

ฉินห่าวเสนออย่างใจกว้าง

 

“งั้นข้าขอลองดูหน่อย”

 

เทียนหยุนกระปรี้กระเปร่ามาก เขาอยากรู้ว่าบาดแผลตรงหน้าอกของฟ่านเจิ้นนั้นมาจากไหน ระหว่างพูดก็ชูกระบี่ขึ้นและปัดมันลงไปทางโต๊ะโดยไม่ใช้พลังปราณ

 

ฟุฟฟฟ!

 

โต๊ะถูกผ่าเป็นรอยตัดอย่างประณีตโดยไม่ติดขัดใดๆ ไม่ต่างจากการหั่นเต้าหู้

 

ฟุ่มมม!

 

ยังไม่พอ ปราณกระบี่ที่มองไม่เห็นหวดกระทบพื้น และสร้างรอยร้าวขึ้นทันที

 

“นี่มันปราณกระบี่? กระบี่เล่มนี้มีปราณกระบี่ในตัวเอง?” เทียนหยุนตกใจมาก หากกระบี่เล่มนี้สร้างพลังปราณได้เอง เช่นนั้นก็เรื่องใหญ่แล้ว

 

เพราะยังไงซะ ปราณกระบี่เกือบทั้งหมดล้วนมาจากผู้บำเพ็ญเพียร หากต้องการให้มันมีพลังงานปราณในตัว จำเป็นต้องใช้ค่ายกลขนาดใหญ่ แล้วสลักมันลงไปเท่านั้น

 

ขณะที่กระบี่เล่มนี้เหมือนจะไม่มีการติดตั้งค่ายกลไว้เลย แถมปราณกระบี่ของมันยังถูกปล่อยออกมาอย่างเงียบเชียบ อะไรแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครในโลกจะหลอมได้!

 

“น่าทึ่งนัก! เป็นกระบี่ที่ดี!”

 

เทียนหยุนอุทานด้วยความชื่นชม

 

“เจ้าได้กระบี่เล่มนี้มาจากไหน?”

 

หลังจากนั้นไม่นาน เทียนหยุนก็ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

 

“เอ่อ … ข้าบังเอิญเก็บมันได้”

 

ฉินห่าวลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยออกไป 

 

เทียนหยุนได้ฟังก็ไม่ซักไซ้อะไรซักคำ ประโยคนี้ช่างคุ้นเคยสำหรับเขา เขาคืนกระบี่ให้ฉินห่าวและอธิบายว่า “กระบี่นี้ไม่ธรรมดา เจ้าไม่ควรมอบให้คนอื่นตรวจสอบโดยง่าย มิฉะนั้นจะนำมาซึ่งภัยพิบัติใหญ่หลวง”

 

“ขอรับ ศิษย์จะจดจำไว้”

 

ฉินห่าวรับมัน พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม และกลับไปยอดเขาเซียวเหยา

 

หลังจากกลับมายอดเขาได้ไม่นาน หวังจุนก็รีบวิ่งเข้ามาและพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่! ศิษย์พี่หลิวเฮ่อแวะมาหาท่าน”

 

“ให้เขาเข้ามา”

 

ฉินห่าวเอ่ยประโยคหนึ่งสั้นๆ และหลังจากนั้นไม่นาน หลิวเฮ่อก็เข้ามา บุคลิกยังคงดูดีเหมือนเดิม

 

“ยินดีที่ได้พบศิษย์น้องฉิน”

 

“ยินดีที่ได้พบศิษย์พี่หลิว”

 

ทั้งสองฝ่ายทักทายกันด้วยความสุภาพ

 

“ศิษย์น้องเก่งจริงๆ ในเวลาเพียงหกเดือน สามารถก้าวข้ามขอบเขตรวบรวมลมปราณมาถึงแก่นทองคำ ความเร็วในการฝึกฝนเช่นนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อน!”

 

หลิวเฮ่อนั่งลงและถอนหายใจ

 

“เอ่อ … ขอบคุณศิษย์พี่”

 

ฉินห่าวตื่นตระหนก เขาไม่เคยผูกมิตรกับอีกฝ่าย แล้วเหตุใดอีกฝ่ายจึงจงใจยกย่องตนเช่นนี้?

 

“อย่างไรก็ตาม ศิษย์น้องฉิน ในตอนที่สู้กัน ข้าเห็นศิษย์น้องใช้กระบวนท่ากระบี่ มันเหนือชั้นมาก ข้าอยากรู้ว่ามันมีชื่อว่าอะไร?” 

 

หลิวเฮ่อเอ่ยอีกสองสามประโยคก็เข้าประเด็น แต่ก็ยังย้ำต่อว่า “แน่นอน การสอบถามเรื่องทักษะฝึกของผู้อื่นเป็นเรื่องต้องห้าม หากศิษย์น้องไม่ต้องการตอบก็ไม่เป็นไร”

 

จู่ๆฉินห่าวก็นึกขึ้นได้ ว่าสาเหตุที่เขาไม่เคยคิดหลีกเลี่ยงการใช้กระบวนท่านี้ เป็นเพราะตำราที่เจอมันบันทึกวิชาไว้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เมื่อเทียบกับวิชาที่เขาใช้ซึ่งระบบเติมเต็มให้สมบูรณ์แล้ว มันสมควรไม่เหมือนกัน

 

แต่นึกไม่ถึงว่าหลิวเฮ่อจะจดจำบางอย่างได้ 

 

อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายน่าจะระบุได้ไม่ชัด มากสุดแค่คุ้นเคย ไม่งั้นคงไม่ถ่อมาถามถึงที่นี่

 

“อ้อ กระบวนท่านี้ข้าได้มาจากในคลังสมบัติของสำนักเซี่ยเจี้ยน ส่วนชื่อและต้นกำเนิดของมันข้าไม่รู้ แต่ข้าเรียกมันว่าเคล็ดกระบี่เงา”

 

ฉินห่าวไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเชื่อหรือไม่ เพียงแค่พูดเรื่องไร้สาระไปเรื่อย

 

“โอ้ เป็นเช่นนี้เอง ขอบคุณศิษย์น้องที่ไขข้อสงสัย” หลิวเฮ่อทำหน้าคล้ายว่าเข้าใจ

 

ฉินห่าวเฝ้าดูอีกฝ่ายเดินจากไป และส่ายหัวอย่างน่าเสียดาย คนผู้นี้ก็พอใช้ได้อยู่หรอก อันที่จริงเขาทำไม่ผิดถ้าอิงตามกฏแห่งป่าในโลกแห่งผู้บำเพ็ญเพียร แต่สำหรับฉินห่าว เขาทำใจคบหลิวเฮ่อไม่ได้จริงๆ