Ep.140

“วันนั้นบิดาไม่ได้อยู่ในเมือง มิฉะนั้นมีหรือแกจะหนีรอดไปได้?” หวงคังคำราม สีหน้าเริ่มแดงก่ำ

ในความเป็นจริง วันที่เกิดเรื่องเขาก็อยู่ในเมืองจิงกังนั่นแหละ แต่เป็นเพราะหวาดกลัวในความแข็งแกร่งของซูเฉิน เลยไม่กล้าแสดงตัว

และเรื่องนี้ สำหรับเขาแล้ว มันคือความอัปยศอดสู รู้สึกอับอายทุกครั้งที่มีคนพูดออกมา

“อ้องั้นหรอ” ซูเฉินถูจมูกเขา เอ่ยยิ้มเยาะ  “งั้นวันนี้ฉันจะให้โอกาสแก มาสู้กันตัวต่อตัว แก้แค้นให้ลูกชายขยะนั่นซะ!”

“แก ..!” มุมปากของหวงคังสั่นเทาด้วยความโกรธ

หากมีความกล้าที่จะต่อสู้ตัวต่อตัวกับซูเฉิน เขาคงกระโจนเข้าใส่ซูเฉินตั้งแต่ในเมืองจิงกังแล้ว ไม่ต้องมาทำตัวเฉกเช่นเต่าหัวหดแบบนี้หรอก

และในครั้งนี้ เหตุผลที่กล้าออกมาล่าซูเฉิน นั่นเพราะเขาได้เชิญผู้วิวัฒนาการเลเวล 3 มาด้วยถึงสองคน

หากเขาและอีกสองคนรวมพลังกัน ก็น่าจะมากพอที่จะสังหารซูเฉินได้

“อ้าวทำไมไม่ตอบเล่า? เกิดกลัวขึ้นมารึไง? นี่น่ะหรือศักดิ์ศรีในฐานะเจ้าเมือง ที่แท้ก็เป็นเต่าหัวหดจริงๆ” ซูเฉินกล่าวล้อเลียน

ใบหน้าของหวงคังเริ่มกลายเป็นสีเขียว ต่อหน้าผู้คนมากมาย วาจาของซูเฉินดั่งสองมือที่เปลื้องเสื้อผ้าเขาจนล่อนจ้อน เปลือยกายเผยความจริงอันน่าอัปยศออกมา ตอนนี้เขาแทบรอไม่ไหวที่จะฉีกร่างซูเฉินออกเป็นชิ้นๆ

อย่างไรก็ตาม แม้ความโกรธของเขาจะเดือดปุดๆถึงขีดสุด แต่เขาก็ยังไม่มีความกล้าที่จะสู้กับซูเฉินตัวต่อตัว

“ไอ้หนู แกมันบ้า! มาวัดกันเลยดีกว่าว่าฝีมือแกจะแน่เหมือนฝีปากรึเปล่า!”

เมื่อเห็นว่าหวงคังถูกซูเฉินไล่ต้อนจนอับจนคำพูด ชายวัยกลางคนในเสื้อคลุมเหลืองก็ก้าวออกมายืนเคียงข้างเขา

ซูเฉินเหลือบมองด้วยความเย็นชา เมื่อเห็นแววตาอีกฝ่ายแฝงไปด้วยความรังเกียจ เขาก็แค่นเสียงเย็น “ไอ้หมู แกคิดจะออกหน้าแทนเขาหรือ?”

“ปากรนหาที่ตาย!”

ไขมันบนใบหน้าของชายชุดคลุมเหลืองสั่นตุบๆไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าโกรธมากกับคำพูดของซูเฉิน

แม้เขาจะอ้วน แต่ก็เกลียดที่สุดเมื่อมีคนอื่นเปรียบเทียบกับหมู

ตบอดเวลานี่ผ่านมา ไม่เคยมีใครกล้าล้อเลียนเขาเช่นนี้

หรือต่อให้มี ไม่ว่าจะบังเอิญหรือตั้งใจ ทั้งหมดล้วนถูกลากไปฆ่าทั้งสิ้น

“ไอ้หมู แน่จริงก็มา ฉันรออยู่ มาฆ่าฉันเลย มาสิ มาสิ~” ซูเฉินหัวเราะอย่างไม่แยแส

ชายในชุดคลุมเหลืองอดไม่ไหวอีกต่อไป กระทืบเท้าดุดัน ทะยานไปข้างหน้าดั่งรถศึก พุ่งเข้าใส่ซูเฉิน

“ผู้วิวัฒนาการเลเวล 3 ? ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมถึงหวงคังถึงได้กล้าออกจากกระดอง ที่แท้เอาพรรคพวกมาด้วยนี่เอง”

คิ้วของซูเฉินย่นเข้าหากัน พลังแห่งจิตวิญญาณที่ไร้รูป รส กลิ่น สี แพร่กระจายออกมา

พิจารณาจากความเร็วของอีกฝ่าย สมควรเป็นผู้วิวัฒนาการเลเวล 3 อย่างแน่นอน

แม้ซูเฉินจะไม่เคยสู้กับผู้วิวัฒนาการเลเวล 3 มาก่อน แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเขา ที่ต่อให้เป็นผู้วิวัฒนาการเลเวล 4 ก็ยังสามารถฆ่าได้ ฉะนั้นอาศัยแค่ผู้วิวัฒนาการเลเวล 3 ไม่พอที่จะอยู่ในสายตาเขา

“เด็กเหลือขอ ตายซะ!”

ชายในชุดคลุมเหลืองพุ่งเข้าหาซูเฉิน เห็นซูเฉินยังคงนิ่งงันไม่ไหวติง หัวใจเขาก็เบิกบานด้วยความสุขอันเหลือล้น กำหมัดขนาดเท่าชามใหญ่ เหวี่ยงออกไปสุดแรง กะเอาคืนให้สาแก่ใจ

แต่ขณะที่กำปั้นกำลังจะสัมผัสลงบนตัวเป้าหมาย พริบตานั้นเอง ราวกับจมลงไปในบ่อโคลน ทุกการเคลื่อนไหวเชื่องช้าลงจนเกือบหยุดนิ่ง

“พลังจิต … แกเป็นปรมาจารย์พลังจิตเลเวล 3 !”

ชายชุดคลุมเหลืองเบิกตากว้าง มองไปที่ซูเฉินด้วยสายตาไม่ต่างจากกำลังมองสัตว์ประหลาด

สิ่งเดียวที่สามารถสะกดเขาซึ่งอยู่ในเลเวล 3 ได้ชะงัดโดยไร้สรรพเสียงใดๆ มีเพียงปรมาจารย์พลังจิตเลเวล 3 ขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถทำได้

แต่จากรูปลักษณ์ของซูเฉิน เขาดูเหมือนคนอายุแค่ราวๆ 20 ปีเท่านั้นเอง

คนๆหนึ่งจะสามารถกลายเป็นปรมาจารย์พลังจิตทั้งๆที่อายุ 20 ได้อย่างไร?

นี่มันเรื่องเหลวไหลเป็นไปไม่ได้!

ต้องรู้นะว่า ในบรรดาสามอาชีพหลัก ปรมาจารย์พลังจิตเป็นอาชีพที่ฝึกฝนได้ยากที่สุด

แม้แต่ปรมาจารย์พลังจิตเลเวล 1 กว่าจะเจอซักคน ยังหาได้ยากยิ่ง ดังนั้นปรมาจารย์พลังจิตเลเวล 3 จึงไม่ต่างจากมนุษย์ที่ติดปีกหงส์และสวมเขากิเลน

“เขาทำได้อย่างไรกัน!” สีหน้าของชายชุดคลุมเหลืองกลายเป็นซับซ้อนอย่างถึงที่สุด

เขาไม่อยากยอมรับว่าซูเฉินเป็นปรมาจารย์พลังจิตเลเวล 3 แต่ข้อเท็จจริงอยู่ตรงหน้าเขา ต่อให้เขาไม่ต้องการ ก็จำเป็นต้องยอม

“นี่เขาเป็นปรมาจารย์พลังจิตเลเวล 3 ด้วยหรือ?”

หลังจากได้ทราบข้อมูลนี้ ใบหน้าของหวงคังแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก

เมื่อเทียบกับชายชุดคลุมเหลืองแล้ว เขารู้ข้อมูลของซูเฉินมากกว่าเยอะ

ตอนที่ซูเฉินอาละวาดในเมืองจิงกังในวันนั้น ลูกน้องของเขาเห็นกับตา ว่าซูเฉินสามารถใช้เวทมนต์ของปรมาจารย์มนตรา และพละกำลังของผู้วิวัฒนาการได้

แล้วเหตุใด ไม่เจอกันครู่เดียว อีกฝ่ายถึงกลายเป็นปรมาจารย์พลังจิตเลเวล 3 ไปได้?

อย่าบอกนะว่าเขาสามารถฝึกฝนทั้งสามอาชีพในตัวคนเดียว แถมทั้งหมดยังขึ้นไปถึงเลเวล 3 แล้ว?

ยิ่งขบคิดก็ยิ่งมีความเป็นไปได้!

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หัวในของหวงคังก็คล้ายจมลงสู่ห้วงหุบเหวลึกอันเย็นเยียบ