บทที่ 9:

 

 

 

จะอย่างไรก็ตาม การทำงานในวงการการศึกษาหมายถึงการแบกรับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ในขณะที่เดินไปบนเส้นทางที่ยากลำบาก ดังนั้นนับตั้งแต่ตอนนี้ เขาไม่ควรจะที่จะสอนเรื่องที่กว้างและธรรมดาเกินไปจนดูเหมือนไร้สาระ แม้ว่าหลิงเซี่ยจะพูดประโยคเหล่านั้นออกไป ในสมองของเขากลับเต็มไปด้วยภาพใบหน้าแข็งทื่อราวเครื่องจักรของคุณนายหนี่ผิง

ทว่าเขาก็ยังคงมีความมั่นใจในการเปลี่ยนแปลงตัวร้ายอยู่ดี ในขณะที่อวี้จื้อเจี่ยอาจจะพูดเช่นนั้น เด็กชายก็ไม่ได้ทิ้งเขาเอาไว้ที่ทะเลสาบ ทั้งยังเป็นกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของซ่งเสี่ยวหู นี่เป็นหลักฐานว่าเขาไม่ได้ไร้หัวใจและเฉยชาเช่นที่ปากเกล่า และอย่างน้อยก็ยังคงมีมิตรภาพกับผู้อื่นอยู่บ้าง

ตำแหน่งการสมัครเข้าร่วมสำนักเฉาหยางไม่ได้หายาก เพียงแค่หาสถานที่ที่มีคนรวมอยู่หนาแน่นที่สุดก็พอ หลิงเซี่ยถามไถ่คนรอบๆ เล็กน้อยและรู้ว่าแขกรับเชิญพิเศษได้อาศัยอยู่ในห้องพิเศษด้านในของสำนักเฉาหยาง ตอนนี้ มันไม่มีทางที่พวกเขาจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปตามหาคนด้านใน

หลิงเซี่ยทำได้เพียงสมัครไปก่อน รับตราสามอันที่มีเลขเขียนอยู่ โชคดีที่มันไม่ต้องจ่ายค่าสมัคร

แต่การที่มีผู้คนจำนวนมากอยู่รอบๆ ทำให้พวกเขารู้สึกไม่ค่อยสะดวก ร่างที่ไม่มีเงินเลยสักแดงและไม่อาจกระทั่งหาเศษฟางได้ สุดท้ายแล้วทั้งสองจึงต้องซุกอยู่ในซอกและนอนหลับผ่านค่ำคืนไปอย่างยากลำบาก

กลางดึก หลิงเซี่ยสังเกตเห็นว่าร่างเล็กของอวี้จื้อเจี่ยที่ขดตัวซุกอยู่กับกำแพงน่าสงสารยิ่งนัก ดังนั้นเขาจึงค่อยๆ นำเคลื่อนย้ายร่างของเด็กชายมาไว้บนตักและให้อีกฝ่ายใช้ต้นขาของเขาเป็นหมอน เมื่อเขาตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืด เขาก็ได้รับการต้อนรับจากดวงตาคู่หนึ่งที่กลอกใส่เขา ชายหนุ่มตอบรับเจ้าเด็กเวรที่ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความอดทนและให้อภัยพร้อมกับนวดต้นขาที่ชาหนึบอย่างสมบูรณ์ของตนเอง

เช้าวันที่สองของพวกเขาเริ่มต้นขึ้นด้วยการคว้าเอาตราสมัครและมุ่งหน้าตรงไปยังพื้นที่ทดสอบด้วยท้องที่ว่างเปล่า หลิงเซี่ยทำจิตใจให้สงบนิ่ง จากนั้นจึงดึงร่างของอวี้จื้อเจี่ยตามคนกลุ่มใหญ่ไปยังจุดนัดพบ กวาดตามองหาร่างของซ่งเสี่ยวหูไปรอบๆ ไม่หยุด

มันมีคนมากกว่าพันคนที่สมัคร และอวี้จื้อเจี่ยถือเป็นหนึ่งในคนที่เด็กที่สุด ส่วนมากมีอายุอยู่ช่วงระหว่าง 15-20 ปี มีบางคนที่อายุ 30 ปี

การปกครองของโลกใบนี้คือผู้แข็งแกร่งควบคุมผู้อ่อนแอ และยิ่งแข็งแกร่งเท่าใดก็ยิ่งมีชีวิตยืนยาวได้มากเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ตอนที่บิดามารดาของอวี้จื้อเจี่ยตาย ตาแก่นั่นอายุราวๆ 200 ปีในขณะที่มารดาของเขาอายุมากกว่า 60 เล็กน้อย ถ้านั่นไม่เรียกว่าวัวแก่กินหญ้าอ่อน เขาก็ไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไรแล้ว คนปกติที่ไม่ได้ฝึกวรยุทธ์จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างมาก 70-80 ปี และโดยปกติแล้ว คนจะเหมาะสมกับการฝึกวรยุทธ์หรือไม่นั้นจะแน่นอนก่อนอายุ 30 ปี ครั้งนี้ ข้อจำกัดอายุของสำนักเฉาหยางคือต่ำกว่า 35 ปี

มันไม่มีงานเปิดอะไร และทุกคนแบ่งกลุ่มและถูกนำไปโดยศิษย์ผู้ดูแลอย่างง่ายๆ พวกเขาสองคนถูกแบ่งออกไปคนล่ะกลุ่ม แต่หลิงเซี่ยไม่กังวลในเมื่อเขารู้ว่ารอบแรกเป็นแค่การทดสอบแก่นพลังพื้นฐานและความสามารถ อย่างเช่นว่าร่างกายของคุณมีพลังธาตุหรือว่าร่างกายแข็งแกร่งแค่ไหน เหมือนกับการตรวจร่างกาย แต่แม้ว่ามันจะปลอดภัยขนาดนี้ หลิงเซี่ยก็ยังอดที่จะพูดย้ำกับอวี้จื้อเจี่ยสองสามคำไม่ได้ และแม้ว่าอีกฝ่ายจะมีสีหน้ารำคาญ ความพยายามของเขาก็ไม่ได้ถูกปฏิเสธ

ทุกกลุ่มมีทั้งหมด 50 คน และศิษย์ของสำนักเฉาหยางได้นำพวกเขาไปยังจุดตรวจสภาพที่แตกต่างกัน กระบวนการฝึกวรยุทธ์ของโลกใบนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ธาตุทั้งห้า ดังนั้นแล้วตราบเท่าที่คุณมีความสามารถในด้านใดด้านหนึ่ง คุณก็สามารถผ่านบททดสอบได้

เพราะหลิงเซี่ยมีพลังกายภาพ เขาจึงผ่านรอบแรกไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนั้น ตอนที่เขาสัมผัสเครื่องตรวจสอบพลังธาตุ พลังธาตุที่อยู่ในร่างของเขาก็ได้ตอบสนอง และเมล็ดพันธุ์เล็กๆ ได้ปรากฏขึ้นในถ้วยราวกับเวทมนต์ก่อนที่มันจะผลิใบอ่อนออกมาสองใบ

เขารู้สึกยินดีอย่างมาก ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าร่างนี้จะมีพลังธาตุไม้อยู่ด้วย

แม้ว่าพลังธาตุไม้จะไม่ได้มีพลังโจมตีรุนแรงเหมือนธาตุสายฟ้า ไฟ หรือว่าน้ำ ทว่ามันแสดงให้เห็นถึงชีวิตและเป็นธาตุที่หายาก ผู้ฝึกยุทธ์ธาตุไม้ระดับสูงไม่เพียงแค่สามารถทำให้ระยะเวลาการเติบโตของพืชวิเศษลดลง ทว่าพวกเขายังสามารถเพิ่มโอกาสมีชีวิตรอดและฟื้นฟูของพวกมันได้ด้วย หรืออีกนัยหนึ่ง ผู้ฝึกยุทธ์ธาตุไม้ระดับสูงทุกคนสามารถพึ่งพาการขายพืชวิเศษจนกลายเป็นพ่อค้ารายใหญ่ผู้ร่ำรวยได้!

ในโลกใบนี้ แม้ว่าการกินยาจะไม่ได้ผลมากเท่านิยายกำลังภายในเรื่องอื่นๆ มันก็ยังคงให้ผลประโยชน์มากมายในความก้าวหน้าของวรยุทธ์

แน่นอนว่าการมีพลังธาตุไม่ได้หมายความว่าคุณจะมีพลังในการสร้างตำนานทิ้งเอาไว้ให้คนรุ่นหลัง ทว่าด้วยความมองโลกในแง่ดี หลิงเซี่ยจึงมองข้ามจุดนี้ไป

ทุกๆ 50 คนในหนึ่งกลุ่ม จะมีเพียงราวๆ 10 คนที่ผ่าน และหลังจากที่หลิงเซี่ยรายงานชื่อและเลขสมัครของเขาแล้ว เขาก็มุ่งหน้าตรงไปยังพื้นที่พักผ่อนเพื่อไปหาอวี้จื้อเจี่ยในทันที หลังจากนั้น ใครบางคนก็ได้มาหาพวกเขาและบอกถึงรายละเอียดของบททดสอบรอบต่อไป

ตอนที่หลิงเซี่ยเห็นอวี้จื้อเจี่ยจากห่างออกไป ขนหัวของเขาก็พลันลุกซู่ ตอนนี้อวี้จื้อเจี่ยกำลังจ้องหน้าแข่งกับเด็กหนุ่มอายุ 15-16 ปีที่สวมใส่เสื้อผ้าหรูหราและห้อยดาบไว้บนหลัง รอบกายโอบล้อมไปด้วยฝูงชนที่อยากรู้อยากเห็น

ปกเสื้อของอวี้จื้อเจี่ยขาดออกไปเป็นแนวยาว และตัวคนเองก็ดูเหมือนกำลังจะลงมือแล้ว…

หลิงเซี่ยรีบพุ่งไป แทรกตัวเองผ่านฝูงชนและนำร่างของตนเองไปอยู่ด้านหน้าอวี้จื้อเจี่ย เขาประสานมืออย่างสุภาพก่อนจะเอ่ยถาม “สหาย นี่คือน้องชายข้าเอง เกิดอันใดขึ้นหรือ?”

เด็กหนุ่มคนนั้นหันมามองรูปลักษณ์และเครื่องแต่งกายของหลิงเซี่ยอย่างดูแคลน คาดเดาว่าอีกฝ่ายมากจากครอบครัวยากจนไม่มีคนหนุนหลังและพลันเค้นเสียงเย้ยหยันออกมา “เหตุใดเจ้าจึงไม่ถามน้องชายที่น่ารักของเจ้าดูเล่า? เสื้อผ้าเช่นนั้น มันจะมีค่าเท่าหินปราณระดับหนึ่งสักกี่หินกัน? ถ้าแค่นี้ไม่พอ เช่นนั้นข้าจะเพิ่มให้เจ้าอีกหน่อยก็ได้”

ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็โยนหินปราณระดับสองไปยังเท้าของหลิงเซี่ยอย่างไร้ความใส่ใจ หลิงเซี่ยมองลงไป แน่นอนว่าหินปราณ 7-8 หินกำลังกลิ้งไปมาบนพื้น

หินปราณระดับสองเท่ากับหินปราณระดับหนึ่งสิบหิน เจ้าหมอนั่นเป็นคนใจกว้างเรื่องเงินเสียจริง

แม้ว่าเขาจะไม่มั่นใจนักว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทว่าดูจากสภาพแล้ว มันไม่น่าจะเป็นความผิดของอวี้จื้อเจี่ย กระทั่งสำหรับหลิงเซี่ยแล้ว น้ำเสียงเหยียดหยามและท่าทีน่าหงุดหงิดนั่นยังทำให้เขาขุ่นเคืองสุดๆ แล้วเมื่อเป็นอวี้จื้อเจี่ยที่ความหยิ่งยโสเทียบชั้นได้กับฟินิกซ์ มันจะต่างออกไปได้อย่างไร?

มีท่าทีโง่เง่าเช่นนี้ เจ้าหมอนั่นต้องเป็นตัวประกอบยิ่งกว่าตัวประกอบอย่าง ‘เอ้อตัน’ แน่ๆ…

เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ความโกรธของหลิงเซี่ยก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว เขาแย้มยิ้มตอบกลับ “นั่นไม่จำเป็นหรอก เสื้อของน้องชายข้ามีค่าแค่ไม่กี่หินปราณระดับหนึ่ง เงินเจ้าควรจะเก็บไว้ในกระเป๋าเจ้าให้ดีๆ จะดีกว่า นอกจากนั้น เราจะกลายเป็นศิษย์ร่วมสำนักกันนับตั้งแต่ตอนนี้ ดังนั้นแล้วไม่ว่าอย่างไรเราก็คงไม่กล้ารับหินปราณเหล่านั้นเอาไว้”

เมื่อเอ่ยจบ หลิงเซี่ยก็คว้าอวี้จื้อเจี่ยและเตรียมจะเบียดออกไปจากสถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนนี่

ในระหว่างการสอบรอบแรก อวี้จื้อเจี่ยอยู่ด้านหน้าเด็กหนุ่มคนนั้นในแถว เขามีความสามารถหายากระดับสูงในรอบร้อยปีและได้รับการประเมินสูงสุดในการทดสอบแทบทั้งหมด เด็กหนุ่มคนนั้นชื่อสวี่เอี๋ยนและมายังสำนักเฉาหยางจากคำแนะนำของสำนักที่เล็กกว่า การที่เขาเข้าร่วมการทดสอบนี้เพียงเพื่อแสดงความยอดเยี่ยมเท่านั้น จริงๆ เบื้องหลังเขาได้มีอาจารย์เป็นผู้ฝึกดาบที่โด่งดังของสำนักเฉาหยางอยู่แล้ว

สวี่เอี๋ยนมักจะเย่อหยิ่งและดูแคลนผู้อื่นจากด้านบนอยู่เสมอ ดังนั้นเมื่อเห็นว่าเด็กชายตรงหน้าเขาที่เด็กกว่ามาก ทว่ามีพรสวรรค์เหนือกว่าตัวเขามาก ความรู้สึกอิจฉาก็ระเบิดออกมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ดังนั้นในระหว่างหนึ่งในการทดสอบ เขาจึงจงใจทำให้เสื้อผ้าของอวี้จื้อเจี่ยได้รับความเสียหาย

แม้ว่าอวี้จื้อเจี่ยจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจ ทว่าเมื่อคิดกลับไปถึงภาพของหลิงเซี่ยที่ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อหาเงินมาซื้อเสื้อผ้าให้เขากับซ่งเสี่ยวหู เขาก็รู้สึกโมโหขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ตอบโต้ สวี่เอี๋ยนจึงจงใจแสดงท่าทียั่วยุยิ่งกว่าเก่าเพื่อล่อให้อวี้จื้อเจี่ยลงมือกลับ ตราบเท่าที่อวี้จื้อเจี่ยชกออกมา ผู้ดูแลความเรียบร้อยของสำนักเฉาหยางย่อมไล่อีกฝ่ายออกจากพื้นที่ทดสอบอย่างแน่นอน สำหรับตัวเขา เขาได้มีทางผ่านไปยังประตูหลังซึ่งรักษาอนาคตของเขาเอาไว้อยู่แล้ว

เขามองหลิงเซี่ยลากอวี้จื้อเจี่ยไป ทว่าตอนนี้ กระทั่งเขาก็ไม่มีความกล้าที่จะทำตัวเยอะเกินไป จะอย่างไร มันก็มีสายตาจำนวนมากคอยจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาอยู่ เมื่อนึกถึงสีหน้าดุดันโหดเหี้ยมของอวี้จื้อเจี่ยก่อนหน้า หัวใจของเขาก็สั่นสะท้านเล็กๆ ด้วยความหวาดกลัว เขาได้สร้างความขุ่นเคืองให้อีกฝ่ายไปแล้ว ดังนั้นแล้วถ้าทั้งสองฝ่ายอยู่ในสำนักเฉาหยาง เช่นนั้นในอนาคต…

การหาที่ที่เงียบสงบเป็นเรื่องที่ยากเย็นยิ่งนัก ทว่าเมื่อพวกเขาไปถึง หลิงเซี่ยก็พลันสำรวจร่างกายของอวี้จื้อเจี่ยในทันทีพร้อมถามอย่างเป็นกังวล “นอกจากเสื้อผ้าเจ้า เจ้าได้รับบาดเจ็บที่ใดอีกหรือไม่?”

อวี้จื้อเจี่ยถอยหลังหนีไปสองสามก้าวด้วยความไม่คุ้นเคยกับการได้รับการเอาใจใส่ กำหมัดแน่น และเอ่ยโต้อย่างเย็นชา “อย่างกับมันจะทำได้! ฮึ่ม ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้ามา…”

หลิงเซี่ยเต็มไปด้วยความกลุ้มใจ เคาะศีรษะของอีกฝ่ายอย่างเป็นธรรมชาติพร้อมกับติเตียน “เจ้าเด็กโง่! ถ้าข้าไม่มา เจ้าคิดจะสู้กับเจ้านั่นหรืออย่างไร? เขาสูงกว่าเจ้าเกือบหนึ่งช่วงศีรษะ แล้วดูดาบที่หลังของเจ้านั่นสิ เจ้าคงรู้ว่าเจ้านั่นเป็นผู้ฝึกดาบใช่ไหม? เจ้าอยากจะถูกยกเลิกคุณสมบัติแล้วถูกไล่ออกจากพื้นที่ทดสอบหรืออย่างไร?”

เขาถอนหายใจอย่างจนใจ นวดขมับ จากนั้นจึงถอนหายใจอีกครั้ง “การตอบโต้ด้วยกำลัง โดยเฉพาะการชกต่อย ถือเป็นวิธีการที่โง่เง่าที่สุดในบรรดาวิธีทั้งหมด! อย่าบอกข้าเชียวว่าเจ้าไม่รู้?”

อวี้จื้อเจี่ยจบหน้าผากที่ถูกเคาะด้วยท่าทีที่ไม่รู้จะทำเช่นไร เด็กชายจ้องหลิงเซี่ยด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ “เจ้า เจ้ากล้า…”

เมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองที่มีประกายความผิดหวังซ่อนอยู่ของอวี้จื้อเจี่ย หลิงเซี่ยก็รู้สึกตลกขึ้นมาไม่น้อย

ความเป็นเด็กของท่านตัวร้ายผู้ยิ่งใหญ่ตอนนี้ช่างน่ารักจริงๆ!

ไอ้หนูตัวเล็กหน้ากลมดั่งซาลาเปาตอนนี้เป็นเพียงแค่เจ้าเด็กโง่เขลาคนหนึ่งที่รู้จักเพียงแค่การใช้กำลัง ก็เท่านั้น เมื่อเทียบกับทรราชโหดเหี้ยม ชั่วร้าย โลภโมโทสัน เสียสติในนิยาย ความแตกต่างของพวกเขามันราวกับกลางวันและกลางคืน…

อวี้จื้อเจี่ยเติบโตขึ้นในตำหนักเทพมารดร สถานที่ที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์โบราณเคร่งครัด และเป็นสถานที่ที่มารดาเพียงแค่ในนามและศิษย์คนอื่นๆ กระทำราวกับเขาเลวร้ายเสียยิ่งกว่าเศษฝุ่น ถ้าคนเหล่านั้นไม่ทุบตีเขา คนเหล่านั้นก็จะตวาดดุด่าเขา และกระทั่งหลังจากที่เขาหนีออกมา เขาก็เดินทางเพียงคนเดียวเสียส่วนมาก หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่ง อวี้จื้อเจี่ยไม่ได้มีโอกาสในการเรียนรู้สัมผัสถึงวิธีการตอบโต้กับคนอื่นแบบปกติเท่าใดนัก

เมื่อนึกถึงจุดนี้ หลิงเซี่ยก็รู้สึกผิดเล็กๆ และรั้งมือกลับ กระแอมไอออกมาครั้งหนึ่ง “ที่ข้าพยายามจะบอกคือ เจ้ายังมีอีกหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้ แม้ว่าคนจะน่าชังยิ่งนัก ถ้าเจ้าแสดงความรู้สึกออกมาบนใบหน้าเจ้าง่ายๆ เช่นนั้นมันก็มิใช่ว่าเจ้ากำลังให้โอกาสอีกฝ่ายระแวงเจ้าหรอกหรือ?”

…ฉิบหาย! มันไม่ได้ฟังดูเหมือนอะไรที่นายควรจะสอนเด็กน้อยที่แสนดีเลยนะโว้ย!

อวี้จื้อเจี่ยลดมือลง ท่าทีครุ่นคิด “ข้าเข้าใจแล้ว เป็นเช่นนั้นเอง แม้ว่าเจ้ามักจะแย้มยิ้มอยู่เสมอ มันก็มิใช่ว่ารอยยิ้มทั้งหมดนั่นจะเป็นของจริง ถ้าเจ้าปล่อยให้ผู้อื่นล่วงรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของเจ้า ในทางกลับกัน มันจะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ตนเองเสียเปรียบ ทางที่ดีที่สุดคือการปกปิดเจตนาของตนเองเอาไว้และหาโอกาสที่เหมาะสมที่สุด จากนั้นจึงคิดถึงวิธีการทำให้เป้าหมายสำเร็จใช่หรือไม่?”

เมื่อเผชิญหน้ากับท่านตัวร้ายผู้ยิ่งใหญ่ที่ขยายคำแนะนำสองประโยคด้วยอีกสี่ประโยค หลิงเซี่ยก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดีไปชั่วขณะ

อย่างที่คิด คนแบบเขาที่รู้แค่เพียงทฤษฎีจากหนังสือไม่มีคุณสมบัติมากพอในการรับตำแหน่งที่สูงส่งงดงามทรงเกียรติในการสั่งสอนตัวร้ายได้!

เชี่ยเอ้ย! TT_TT

หลังจากผ่านไปพักหนึ่งเขาจึงผงกศีรษะอย่างแข็งๆ แล้วตอบว่า “ก็ไม่ได้ถูกไปซะทั้งหมด… แต่โดยแก่นแล้ว ถ้าคนไม่สร้างความขุ่นเคืองให้เจ้า เจ้าก็ไม่ควรไปหาเรื่องผู้อื่น ถ้าผู้ใดพยายามเอาเปรียบเจ้า เจ้าก็ไม่ควรจะใจอ่อนไปเสียทั้งหมดหรือไร้หัวใจไปเสียทั้งหมด เจ้าต้องจำไว้ให้ดีว่ามันมีหลายครั้งที่การเข้าหาตรงๆ ไม่แข็งแกร่งและได้ผลเท่ากับการเข้าหาแบบอ้อมๆ และการตอบโต้ความรุนแรงด้วยความรุนแรงตรงๆ นั้นคือการกระทำที่โง่เขลาที่สุด นอกจากนั้น แม้ว่าเจ้าจะยืนอยู่เหนือผู้อื่น เจ้าก็ต้องจดจำเอาไว้ว่าทุกคนมีข้อผิดพลาดและจงให้อภัยหากเป็นไปได้ นี่ยังช่วยทำให้เจ้ามีคนคอยหนุนหลังเพิ่มด้วย…”

อวี้จื้อเจี่ยหลุบตาลงอย่างเหม่อลอย ชั่วครู่ต่อมาเด็กชายก็เงยหน้าขึ้นและแย้มยิ้มบางให้กับหลิงเซี่ยก่อนจะเอ่ย “ข้าเข้าใจแล้ว”

เมื่อเห็นรอยยิ้มที่หาได้ยากของอวี้จื้อเจี่ย หลิงเซี่ยก็ผ่อนคลายลงในที่สุดพร้อมกับถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก เขาตบไหล่อวี้จื้อเจี่ยและแย้มยิ้มกลับ “เช่นนั้นก็ดีแล้ว”

“พี่ใหญ่หลิง อาเจี่ย!”

เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย หลิงเซี่ยก็สะบัดหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าร่างเจ้าของผมสั้นชี้ราวกับเม่นของซ่งเสี่ยวหูกำลังมุ่งหน้าฝ่าฝูงชนมาหาพวกเขาอย่างตื่นเต้น ลักยิ้มทั้งสองบนแก้มส่องประกายไปกับทุกรอยยิ้ม ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือเด็กหญิงน่ารักสดใสที่ดูจะอายุราวๆ 11-12 ขวบด้านหลังซ่งเสี่ยวหู ใครบางคนที่แตกต่างจากคุณหนูผู้สูงส่งชุยอวี้อันชั่วร้ายและไร้มารยาทก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง

ให้ตายเถอะ อย่างที่คาดสำหรับตัวเอกที่ดึงดูดผู้หญิงได้เร็วยิ่งกว่าน้ำผึ้งดึงดูดผึ้ง!

 

 


TL: มันจะดีจริงๆ เหรออาหลิง