บทที่ 8:

 

 

 

ทันทีที่เขาแหงนศีรษะขึ้น อวี้จื้อเจี่ยก็เห็นจีบกลีบริมฝีปากยักษ์ใหญ่คู่หนึ่งที่มุ่งตรงมาหาเขา แม้เขาจะไม่รู้ว่าหลิงเซี่ยวางแผนจะทำอะไร ความหวาดกลัวก็แล่นวาบขึ้นที่ไขสันหลัง กำปั้นเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่งกว่าความคิด

แขนขวาผอมบางเหวี่ยงออกมาเต็มแรง พลังของมันที่ระเบิดออกอย่างกะทันหันทรงพลังอย่างน่าตื่นตะลึง กำปั้นของอวี้จื้อเจี่ยกระแทกลงไปที่แก้มขวาของหลิงเซี่ย พลันส่งร่างของอีกฝ่ายกระเด็นห่างออกไปหลายฟุตแม้ว่าจะมีแรงดันน้ำคอยต้านอยู่

ตอนที่อวี้จื้อเจี่ยได้สติ หลิงเซี่ยก็กลายเป็นศพลอยนิ่งไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว หมดสติไปแล้ว

“…” หลังจากนิ่งไปพักหนึ่ง อวี้จื้อเจี่ยก็รีบว่ายไปหา คว้าคอเสื้อของหลิงเซี่ย และเริ่มเตะขาของเขากลับไปยังผิวน้ำ

ตอนที่เขาตื่นตระหนกเมื่อครู่ แรงในร่างของเขาที่เกือบจะหมดลงก็กลับมาเต็มเปี่ยมอย่างปาฏิหาริย์ ราวกับว่าสายน้ำมีกระแสพลังงานที่ไม่อาจมองเห็นจำนวนนับไม่ถ้วนไหลเข้ามาในร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง

แม้จะเป็นเช่นนั้น อวี้จื้อเจี่ยก็หอบหายใจอย่างหนักเมื่อพวกเขาขึ้นมาถึงผิวน้ำ เขาลอยตัวอยู่เหนือน้ำและตบหน้าหลิงเซี่ยอย่างรุนแรง คำรามใส่อีกฝ่าย “เฮ้ ตื่น! ไร้ประโยชน์จริง!”

หลิงเซี่ยเปิดเปลือกตาอย่างเชื่องช้าด้วยสีหน้าเหม่อลอย สิ่งแรกที่เขารับรู้คือความแสบร้อนบนแก้มของเขาที่ราวกับมีใครมาจุดไฟ เขารู้สึกงุนงงเล็กๆ ทว่าก็นึกถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของเขาได้ ไม่รอช้า ชายหนุ่มไล่ตามอวี้จื้อเจี่ยและเริ่มว่ายน้ำด้วยแรงทั้งหมดไปยังฝั่ง

อวี้จื้อเจี่ยช่วยดึงเขาครั้งแล้วครั้งเล่า หลิงเซี่ยกัดฟันกรอดและตะกายน้ำไปด้านหน้าราวกับว่าชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับมัน ผ่านไปนาน พวกเขาจึงไปถึงพื้นดินในที่สุด คนทั้งสองเหนื่อยล้าเกินสิ่งอื่นใด นอนนิ่งอยู่บนชายฝั่งโดยไม่หลงเหลือแรงกายใดๆ

หลิงเซี่ยจับใบหน้าของเขา เขาเสียสติไปเพราะความตื่นตระหนก ทว่าโชคดีที่เขาไม่ได้ไปแนบริมฝีปากกับผู้ยิ่งใหญ่นี่จริงๆ! ถ้าเขาทำแบบนั้น ต่อให้หน้าเขาบวมเป็นหัวหมูก็คงไม่พอกับหายนะระดับนั้น!

เขาเหลือบมองไปยังอวี้จื้อเจี่ยอย่างระมัดระวังปนหวาดระแวง เรือนผมที่มักจะมัดเอาไว้อย่างเรียบร้อยของท่านตัวร้ายผู้ยิ่งใหญ่คลายตัวเพราะสายน้ำ เรือนผมนุ่มยาวสีดำสนิทเปียกโชกได้ตกลงแนบผิวไหล่ราวหยกของเขาด้วยสภาพที่ค่อนข้างยุ่งเหยิง ริมฝีปากที่เม้มแน่นอย่างน่าดึงดูดใจ ดวงตาที่หางตาตกราวอัลมอนด์ดูสง่างามรับกับปานสีแดงสดใต้มุมตาของเขา และแม้ว่าอีกฝ่ายจะยังเด็กอยู่มาก เขาก็ได้ให้ความรู้สึกของผู้ที่มีชะตาเหนือผู้อื่นออกมาแล้ว

อวี้จื้อเจี่ยมองกลับมา ด้วยรู้สึกผิดเล็กน้อย หลิงเซี่ยหลุบสายตาลงต่ำ

คนอื่นๆ ที่เรือแตกพร้อมๆ กับเขาได้ปีนขึ้นมาบนฝั่งนานแล้วและกำลังพักผ่อนอยู่ใกล้ๆ ทุกคนต่างสบถด่าออกมาไม่หยุด

หนึ่งในคนเรือวิ่งมา ชี้ไปยังหลิงเซี่ย และตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว “ไอ้หนูสกปรก! ข้าจำเจ้าได้! คืนเรือของข้ามา!”

หลิงเซี่ยคายน้ำออกไปสองสามคำ จากนั้นจึงเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายด้วยคำพูดหวานหูเยินยอจำนวนมหาศาลขณะที่หยิบเอาหินปราณที่เหลืออยู่สองสามก้อนออกมา แม้ว่าจะเป็นแบบนั้น คนเรือก็ยังคงค้นหาในเสื้อผ้าของเขาไม่หยุด และหลังจากที่มั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่มีเงินอีก เรื่องจึงจบลง

คนเรืออีกคนมุ่งหน้าไปยังอวี้จื้อเจี่ย ตั้งใจจะค้นตัวเด็กชายต่อ อวี้จื้อเจี่ยแหงนศีรษะของเขาอย่างเย็นชา มือกำแน่นเป็นการตอบสนองพร้อมกับที่ประกายความแค้นเคืองที่แล่นวูบผ่านดวงตาของเขา ภาพนั้นได้สร้างความหนาวเยือกขึ้นในใจของคนเรือและพวกเขาพลันลังเลขึ้น ด้วยอะไรบางอย่างทำให้พวกเขาไม่กล้าเดินหน้าต่อ

หลิงเซี่ยเองก็ผวาไปกับสายตาของอวี้จื้อเจี่ยที่โหดเหี้ยมดุร้ายยิ่งกว่าสุนัขป่าที่น่ากลัว เขารีบดึงร่างของเด็กชายไปไว้ด้านหลัง โดยไม่ต้องสงสัย ถ้าคนเรือพวกนี้ยังเดินหน้าต่อ อวี้จื้อเจี่ยย่อมตอบโต้อย่างแน่นอน!

นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงขอโทษและสัญญาครั้งแล้วครั้งเล่า เอ่ยจนกระทั่งลำคอแห้งผาก สุดท้ายแล้วเขาจึงเขียนสัญญาหนี้ด้วยชื่อของเขา ตอนนั้นจึงเป็นยามที่กัปตันเรือยอมปล่อยให้พวกเขาไป

ไม่ว่าจะอย่างไร สองคนนี้ก็ขึ้นเรือออกจากเมืองมาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าทั้งสองถูกรับเป็นศิษย์ของสำนักเฉาหยางจริงๆ เช่นนั้นกัปตันย่อมไม่ต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะไม่สามารถจ่ายหนี้คืนได้ ดังนั้นแล้วตอนนี้เขาจึงไม่ได้ไล่ต้อนเด็กทั้งสองรุนแรงนัก

เมื่อพวกเขาเข้าไปในเมืองฉงหมิงอย่างเป็นทางการ ทั้งร่างกายและจิตใจของหลิงเซี่ยก็เหนื่อยล้าอย่างมาก เขาไม่รู้สึกถึงความตื่นเต้นหรือพลังงานเลยแม้แต่น้อย

กังวลเกี่ยวกับซ่งเสี่ยวหู เขารีบถามว่าร้านอาหารที่ดีที่สุดในเมืองฉงหมิงอยู่ที่ไหน จากนั้นจึงรีบมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งนั้นพร้อมกับลากอวี้จื้อเจี่ยไปด้วย

คนจำนวนหนึ่งบนถนนหันไปมองหลิงเซี่ยอย่างตื่นตระหนก ทว่าคนในความสนใจนั้นไม่ได้รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าผิวของเขาในยามนี้อาจจะเทียบกับผิวที่ขาวราวหิมะและละเอียดราวกระเบื้องเคลือบของอวี้จื้อเจี่ยไม่ได้ มันก็ยังคงเรียบเนียนกว่าคนทั่วไป ดังนั้นแล้ว รอยมือแดงก่ำบนแก้มของเขาจึงโดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ

อวี้จื้อเจี่ยครุ่นคิดไปชั่วขณะก่อนจะเปิดปากเอ่ยขึ้นในที่สุด น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย “ก่อนหน้านี้ ที่ใต้น้ำ เจ้าพยายามจะทำอันใด?”

ฝีเท้าเร่งรีบของหลิงเซี่ยเชื่องช้าลงอย่างกะทันหัน หัวใจที่ตื่นตระหนกของเขาเต้นแรงและรัวขึ้นจนกระแทกกับซี่โครง

เขาควรจะพูดยังไงดี? เพื่อที่จะช่วยชีวิตตนเอง เขาเลยพุ่งไปจะกัดปากอันสูงส่งล้ำค่าของท่านตัวร้ายผู้ยิ่งใหญ่? เขาจะยังมีโอกาสเห็นพระอาทิตย์ขึ้นวันต่อไปหลังจากนั้นรึเปล่า?…

ไอ้หัวข้อที่ไม่เหมาะต่อเด็กแบบนั้น แน่นอนว่าเขาไม่อาจเปิดเผยต่อเจ้าวายร้ายตัวจ้อยนี่ได้! นอกจากนั้น เขาจะอธิบายถึงการที่เขารู้ว่าอวี้จื้อเจี่ยมีพลังธาตุน้ำในร่างได้อย่างไร?

ดังนั้นแล้ว เขาจึงโกหกอย่างเคร่งขรึม “ปลาว่ายเข้ามาในปากข้า ข้าอยากจะคายมันออก”

“…” อวี้จื้อเจี่ยนึกภาพนั้นอยู่ชั่วขณะ มุ่นคิ้วเข้าหากันด้วยความขยะแขยง จากนั้นจึงเว้นระยะห่างระหว่างเขากับหลิงเซี่ยในทันที

เมืองฉหมิงใหญ่โตมาก และร้านอาหารที่เลื่องชื่อที่สุดของมันมีนามว่าปะรำชมเมฆา ยามที่หลิงเซี่ยเห็นว่ามันถูกสร้างขึ้นให้ดูราวกับลอยสูงอยู่ท่ามกลางก้อนเมฆและถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอก เขาก็นิ่งตะลึงไปชั่วขณะ บางอย่างแบบนี้ควรค่าแก่ชื่อเสียงของมันแล้วจริงๆ! เพียงแค่ว่าผู้ที่เดินเข้าออกร้านอาหารแห่งนี้ล้วนเป็นบุตรหลานของชนชั้นสูง ตระกูลมากอำนาจ หรือศิษย์ของสำนักที่เลื่องชื่อ ดังนั้นแล้ว กระทั่งก่อนที่หลิงเซี่ยและอวี้จื้อเจี่ยจะสามารถเข้าไปด้านในได้ ใครบางคนก็ออกมาและขวางทางของพวกเขาไว้ กั้นพวกเขาเอาไว้ด้านนอก

หลิงเซี่ยพลันเผยรอยยิ้มเป็นมิตรแบบมาตรฐานออกไปแล้วเอ่ยถามว่า “ท่าน ข้าขอบังอาจถามได้หรือไม่ว่าคุณหนูที่ขี่อาชาซ้ายอยู่ที่นี่ตอนนี้หรือไม่?”

บริกรของปะรำชมเมฆาต่างก็มีวรยุทธ์กันในระดับหนึ่ง และดูจากสภาพของหลิงเซี่ยกับอวี้จื้อเจี่ยแล้ว เขารู้ว่าทั้งสองเป็นเด็กจากครอบครัวยากจนที่มาที่นี่เพราะต้องการสมัครเข้าร่วมสำนักเฉาหยาง เมื่อมองไปยังใบหน้าของหลิงเซี่ยที่ปรากฏรอยนิ้วมืออยู่ ความดูแคลนในใจของเขาก็เพิ่มขึ้นขณะที่เขาเอ่ยตอบอย่างเกียจคร้าน “ถูกต้อง มีคุณหนูที่ขี่อาชาซ้ายมาที่นี่จริงๆ แต่นางไปตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วยามที่แล้ว”

หลิงเซี่ยกระพริบตา จากนั้นจึงขอบคุณอีกฝ่ายอย่างสุภาพขณะที่บริกรเดินกลับไปด้านในโดยไม่แม้แต่จะชายตามองพวกเขาเป็นครั้งที่สอง หากข้อสันนิษฐานของหลิงเซี่ยถูกต้อง คนจากเมืองอวิ๋นเซียวคงจะมาถึงแล้ว ไม่ว่าชุยอวี้จะไร้มารยาทเอาแต่ใจเพียงใด นางก็หวาดกลัวการลงโทษของผู้เป็นบิดา ดังนั้นแล้วมันจึงมีความเป็นไปได้สูงที่นางจะไปพร้อมกับศิษย์พี่ของนางแล้ว ในเมื่อพวกเขามาที่นี่เพื่อที่จะสนับสนุนสำนักเฉาหยาง เขากฌทำได้เพียงแค่ไปยังสำนักเฉาหยางเพื่อตามหาต่อไป

ในตอนที่เขากำลังใคร่ครวญอยู่นั้น อวี้จื้อเจี่ยพลันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ปรากฏความเสียดสีอย่างเห็นได้ชัด “ตอนที่พวกมันทำกับเจ้าเช่นนี้ เจ้ายังยิ้มแย้มกลับไปแบบนั้นได้เช่นไร?”

โดยไม่ต้องคิดให้มากความ หลิงเซี่ยเอ่ยถามกลับ “พวกมัน?”

“คนเรือสองคนก่อนหน้านี้” อวี้จื้อเจี่ยเอ่ยตอบขณะที่สังเกตท่าทีอีกฝ่ายอย่างละเอียด “แล้วก็บริกรเมื่อครู่”

รวมทั้งเขาที่ตบหน้าหลิงเซี่ยไปหลายรอบก่อนหน้านี้ เหตุใดอีกฝ่ายจึงไม่โกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย?

เมื่อมองไปยังดวงตาหรี่เล็กที่ส่องประกายด้วยความเคร่งเครียดถึงที่สุดของท่านตัวร้ายผู้ยิ่งใหญ่ หลิงเซี่ยก็รีบตั้งสติ จากนั้นจึงเอ่ยตอบอย่างเชื่องช้า “ที่เรือนั่นจมก็เป็นเพราะพวกเราด้วยส่วนหนึ่ง ถ้าคนเรือพวกนั้นใช้มันในการดำรงชีวิต พวกเขาจะไม่โกรธได้อย่างไร? การที่พวกเขายอมให้พวกเราจากมาก็ถือเป็นสิ่งที่น่าซาบซึ้งแล้ว ในขณะเดียวกัน บริกรก่อนหน้านี้ใช่ว่าไม่ยอมให้ข้อมูลที่เราถามหรือ? พวกเขาก็มีชื่อเสียงของร้านที่ต้องคอยดูแล…”

เมื่อสังเกตเห็นว่าท่านตัวร้ายผู้ยิ่งใหญ่ยังคงมองเขาด้วยสายตาเคลือบแคลง เขาก็รีบแย้มยิ้มอบอุ่นและเอ่ยต่อ “แม้ว่าผู้อื่นจะปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดี เจ้าก็ยังคงต้องมอบรอยยิ้มให้พวกเขา หากทำเช่นนี้ สักวันก็จะมีใครบางคนมอบรอยยิ้มกลับมาให้เจ้าในที่สุด! แม้ว่าเรื่องอยุติธรรมหลายอย่างจะมีอยู่บนโลกใบนี้ เรื่องราวและมนุษย์ส่วนมากก็ยังคงน่าหลงใหลนัก…”

หลิงเซี่ยนึกถึงหนังสือปรัชญาอี้ลินที่เขาเคยอ่านอย่างระมัดระวัง ในเมื่อเสียงของร่างนี้ไม่เลว เขาจึงตัดสินใจใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนและนุ่มนวลกว่าเพื่อที่จะทำให้การชี้แนะของเขายิ่งดูน่าฟัง

… อ้า วายร้ายตัวน้อยที่รักของข้า แค่ติดตามตัวเอกและโลดแล่นไปท่ามกลางแสงอาทิตย์ด้วยกันเถอะ! นั่นคือเส้นทางที่แท้จริงของชีวิต เจ้าก็รู้!

ยิ่งหลิงเซี่ยสั่งสอนมากเท่าใด เขาก็ยิ่งเต็มไปด้วยความรุ่มร้อน เกือบจะถึงจุดที่หลั่งน้ำตาออกมาจากดวงตาของตนเองแล้ว

ทว่าแม้เขาจะพูดจนลำคอแห้งผาก ทันทีที่เขาเลื่อนสายตากลับไปมองท่านตัวร้ายผู้ยิ่งใหญ่อย่างจริงจัง สีหน้าของเขาก็บิดเบี้ยว

ทั่วทั้งใบหน้าของอวี้จื้อเจี่ยเต็มไปด้วยความเหยียดหยามดูแคลน มองมายังเขาราวกับว่ากำลังมองคนที่ปัญญาอ่อนได้อย่างไม่น่าเชื่อขณะที่เค้นเสียงเย้ยหยัน “เจ้าบอกไม่ได้จริงๆ เหรอ แม้ว่าเจ้าอาจจะแก่กว่าข้า แต่สมองของเจ้าเต็มไปด้วยสิ่งที่โง่เง่าและไร้ประโยชน์ยิ่งกว่าซ่งเสี่ยวหูเสียอีก!”

เขาเอ่ยต่อไป “ถ้าคนอื่นๆ ปฏิบัติต่อข้าไม่ได้ สิ่งที่ข้าต้องทำก็คือการกระทำเลวร้ายกับพวกมันให้มากกว่าเป็นพันเป็นหมื่นเท่า… และเรื่องที่ผู้อื่นจะยิ้มให้ข้าหรือไม่ ดีต่อข้าหรือไม่ ทำไมข้าจะต้องใส่ใจด้วย?”

“…” หลิงเซี่ยลูบรอยนิ้วมือที่ยังคงชาหนึบบนใบหน้าของเขาอย่างไม่รู้ตัวพร้อมกับที่ประโยคที่เขาไม่อาจลืมเลือนได้ปรากฏวาบขึ้นในสายตาของเขาอีกครั้ง:

ไอ้โลกน่ารังเกียจนี่… ควรจะถูกทำลาย…

ทำ -ไม – นาย – ถึง – ได้ – เป็น – แบบ – นี้!

 

 


TL: น่าสงสารเขานะคะ