บทที่ 10:

 

 

การลากซ่งเสี่ยวหูที่ส่งเสียงดังโวยวายไม่ให้ความร่วมมือทำให้คุณหนูชุยอวี้ผู้สูงส่งรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก นางจับอีกฝ่ายมัดและโยนร่างของเขาเข้าไปในห้องเก็บฝืนของสำนักเฉาหยางอย่างไม่คิดอะไรมาก ซ่งเสี่ยวหูดิ้นหลุดออกจากเชือกด้วยตนเอง ทว่าเขาไม่อาจทำลายประตูโลหะที่ถูกล็อค ขณะที่เขาตะโกนขอความช่วยเหลือไม่หยุดนั้น ด้วยความโชคดี เด็กหญิงคนนั้นได้ยินเสียงเขาขณะที่เดินผ่าน หลังจากที่นางรับรู้ถึงสถานการณ์ของเขาและสาเหตุที่เขามาอยู่ที่นี่ นางก็พาเขาไปที่พื้นที่ทดสอบในทันที

เมื่อได้ยินคำอธิบายเรียบง่ายของซ่งเสี่ยวหู หลิงเซี่ยก็สังเกตเด็กหญิงที่สวมชุดสีเขียวมรกตอย่างละเอียด ด้วยคิ้วโก่งและผิวขาวนวล สามารถบอกได้แม้เพียงมองแค่ครั้งเดียวว่านางจะกลายเป็นสาวงามในอนาคต นอกจากนั้น การที่กล้านำซ่งเสี่ยวหูมาส่งที่พื้นที่ปิดกั้นเช่นนี้อย่างเปิดเผย สถานะของนางย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

เด็กหญิง ในทางกลับกัน เอ่ยแนะนำตนเองขึ้นมาอย่างผ่อนคลายและไร้ความกังวลอย่างคาดไม่ถึง นางบอกว่าชื่อของนางคือเฟิงโหรว

หลิงเซี่ยพลันจำนางขึ้นได้ในทันที นางคือสมาชิกคนแรกในฮาเร็มในอนาคตของตัวเอก! สมบัติล้ำค่าที่จ้าวสำนักเฉาหยางรักใคร่ที่สุด บุตรสาวของเจ้าเมืองฉงหมิง เขาอดที่จะเอ่ยเสียดสีอยู่ในใจไม่ได้ ทำไมเจ้าสำนักทุกคนต้องมีลูกสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานในช่วงวัยที่เหมาะสมกันทุกคนเลยด้วย?

ซ่งเสี่ยวหูมองไปรอบๆ ด้วยท่าทีไม่ยอมรับและเสียใจ “รอบแรกจบลงแล้วหรือ? ข้ายังมาช้าเกินไปอยู่ดี”

เฟิงโหรวแย้มยิ้ม “นั่นไม่ใช่ปัญหา ข้าสามารถพาเจ้าไปรับการทดสอบได้ในตอนนี้ ข้าจะอธิบายกับศิษย์พี่ของข้าเอง ไม่ต้องเป็นห่วง”

ปากของซ่งเสี่ยวหูแย้มออกเป็นรอยยิ้มกว้างขณะที่เขาเอ่ยขึ้นเสียงดัง “ขอบคุณเจ้ามาก!”

หลิงเซี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ มีท่าทีสนอกสนใจขณะที่เขาฟังบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความจริงใจของเด็กน้อยทั้งสองพลางทอดถอนใจอยู่ภายใน: แน่นอนอยู่แล้ว นี่คือสิ่งที่เด็กๆ ควรจะเป็น…

มองไปยังเฟิงโหรวที่นำซ่งเสี่ยวหูเดินไป หลิงเซี่ยเอ่ยขึ้นกับอวี้จื้อเจี่ยพร้อมด้วยรอยยิ้ม “จริงด้วย เฟิงโหรวนี่ไม่เลวเลย บางทีพวกเจ้าอาจจะกลายเป็นสหายที่ดีต่อกันได้”

มุมมองความรักของท่านตัวร้ายผู้ยิ่งใหญ่มาจากความสัมพันธ์ที่ทั้งรักทั้งชัง ทำลายกันเองของบิดามารดา ทว่าถ้าเขาสามารถพูดคุยกับเด็กหญิงที่ร่าเริงสดใสเช่นเฟิงโหรว มันก็เป็นไปได้ที่มุมมองเหล่านั้นจะเข้าที่เข้าทางในระยะเวลาสั้นๆ

ทว่าการตอบสนองของอวี้จื้อเจี่ยคือการขมวดคิ้วและหันหน้าหนีไป ภาษากายของเด็กชายสามารถสรุปได้ด้วยคำสองคำ: ไม่มีทาง

“…”

 

 

ในที่สุดซ่งเสี่ยวหูก็กลับมาก่อนที่การทดสอบรอบที่สองจะเริ่มต้นขึ้น แน่นอนว่าเขาย่อมผ่านการทดสอบรอบแรก รวมทั้งเขายังบอกว่าเฟิงโหรวสัญญากับเขาว่าเขาจะได้เข้าร่วมสำนักเฉาหยางอย่างแน่นอน

หลิงเซี่ยทอดถอนใจอยู่ภายในเงียบๆ: อ่า ตัวเอกนี่น่าประทับใจจริงๆ กับการที่เอาชนะใจผู้หญิงได้รวดเร็วขนาดนี้!

การทดสอบรอบที่สองคือการทดสอบความสามารถในทุกๆ ด้านของผู้เข้าร่วมการทดสอบ เงื่อนไขคือพวกเขาต้องผ่านป่าสมบัติพันอสูรของสำนักเฉาหยางภายในเวลา 20 ชั่วโมง จับสัตว์วิเศษระดับสามหรือมากกว่า หาหินปราณระดับสองหรือมากกว่า หรือรวบรวมสมุนไพรระดับสามหรือมากกว่า

อย่างที่ชื่อของมันบอก ป่าสมบัติพันอสูรมีสิ่งมีชีวิตอันตรายทุกรูปแบบ รวมทั้งมีสมุนไพรวิเศษและหินปราณล้ำค่าหายากจำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อพิจารณาจากระดับของผู้เข้าร่วมการทดสอบแล้ว ผู้อาวุโสจากสำนักเฉาหยางจึงสร้างเขตแดนที่ชายขอบของป่าสมบัติพันอสูรเพื่อที่พื้นที่ทดสอบจะไม่มีสัตว์วิเศษระดับสูงปะปนมา

แม้ว่าจะมีระบบรักษาความปลอดภัยเหล่านี้แล้ว การที่จะฝ่าป่าสมบัติพันอสูรที่กว้างกว่า 30 กิโลเมตรก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่พบเจอกับอันตราย

หลิงเซี่ยเป็นกังวลกับภารกิจที่ได้รับมากที่สุดเพราะเขาไม่มีความรู้ในการที่จะสังเกตพวกสมุนไพรวิเศษหรือสัตว์วิเศษเหล่านั้นเลย รู้ใช่ไหม? ผู้ที่เติบโตมาในป่าเขาแสนแห้งแล้งอย่างซ่งเสี่ยวหูก็คงไม่รู้เช่นกัน…

หลังจากที่รู้ว่าเขากังวลเรื่องอะไร อวี้จื้อเจี่ยก็เอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น “ข้ารู้ว่าพวกมันหน้าตาเป็นเช่นไร”

เขาไม่เคยลืมเลือนสิ่งที่เขาเห็น และแม้ว่าสตรีจากตำหนักเทพมารดรจะคอยขัดขวางเขาทุกวิถีทางยามที่เขาอยู่ที่นั่น เขาก็ยังคงเคยเห็นสมุนไพรวิเศษที่คนเหล่านั้นปลูกในทุ่งยา รวมทั้งยังลอบอ่านตำราเกี่ยวกับหินปราณและสัตว์วิเศษ แน่นอนว่าเขามีเพียงแค่ความรู้ขั้นพื้นฐานที่สุด ในเมื่อมันไม่มีทางที่เขาจะได้จับตำราโบราณล้ำค่าใดๆ ที่ถูกรวบรวมไว้ในตำหนักเทพมารดร ทว่ามันก็ยังคงเพียงพอ

หลิงเซี่ยพลันรู้สึกยินดีขึ้นมา ซ่งเสี่ยวหูมองไปยังอวี้จื้อเจี่ยด้วยความชื่นชมและเอ่ย “อาเจี่ย เจ้ายอดไปเลย”

ภายใต้สายตาที่จับจ้องของทั้งสอง อวี้จื้อเจี่ยพลันรู้สึกกระอักกระอวลขึ้นมาและหันหน้าหนีไปทางหนึ่งพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “มันไม่มีอะไรให้ต้องประหลาดใจเสียหน่อย คนอื่นๆ ที่นี่ก็คงจะรู้เช่นกัน”

ก่อนหน้าที่จะเข้าไปในป่า ทุกคนได้รับยันต์เคลื่อนย้ายระดับกลางคนล่ะชิ้น เมื่อคนเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตรายที่พวกเขาไม่อาจรับมือได้ พวกเขาสามารถเลือกที่จะยอมแพ้ได้ เมื่อฉีกยันต์เคลื่อนย้าย คนก็จะสามารถออกจากตำแหน่งนั้นจะกลับไปยังจุดเริ่มต้นได้

นี่นับเป็นสิ่งที่มีมนุษยธรรมไม่น้อยในเมื่อระหว่างการทดสอบ มันมีความเป็นไปได้สูงในการเผชิญกับสถานการณ์ที่อันตรายถึงชีวิต จะอย่างไร ที่นี่ก็ไม่มีกฎหมายบ้านเมือง กฎเกณฑ์ทั้งหมดคือสิ่งที่สำนักที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่กำหนดขึ้น

โลกเป็นแบบนี้ สถานที่ที่พลังและการเอาชีวิตรอดคือกฎเกณฑ์ และความแข็งแกร่งของผู้คนจะกำหนดทุกสิ่ง

หลิงเซี่ยเก็บยันต์เคลื่อนย้ายเอาไว้ในกระเป๋าที่แขนเสื้อของเขาอย่างระมัดระวัง ในขณะที่ซ่งเสี่ยวหูและอวี้จื้อเจี่ยต่างก็เก็บมันไว้ในปกเสื้ออย่างไม่ใส่ใจ หลิงเซี่ยส่ายหน้าเมื่อเห็นเช่นนั้น เขารีบช่วยซ่งเสี่ยวหูเก็บมันเอาไว้ในกระเป๋าอย่างปลอดภัย

ทว่าจากนั้นอวี้จื้อเจี่ยกลับทิ้งยันต์เคลื่อนย้ายของเขาลงไปที่พื้นแล้วเอ่ยออกมา “จะอย่างไร ข้าก็ไม่ใช้มันอยู่แล้ว”

ดวงตาของซ่งเสี่ยวหูเบิกกว้าง และเขาก็พลันกล่าวออกมาอย่างมาดมั่น “ข้าก็จะไม่ใช้มันเช่นกัน ถ้าข้ายอมแพ้เพราะเผชิญหน้ากับอันตราย เช่นนั้นข้าก็ไม่ไปเลยเสียจะดีกว่า”

“…” หลิงเซี่ยไม่คิดเลยจริงๆ ว่าท่านตัวเอกและตัวร้ายผู้ยิ่งใหญ่จะมีความคิดเดียวกันเมื่อเป็นเรื่องนี้ ดูเหมือนว่ามุมมองของคนในโลกใบนี้จะแตกต่างจากคนบนโลกมากมายนัก…

ภายใต้สายตาเหยียดหยามดูถูกของอวี้จื้อเจี่ย หลิงเซี่ยยังคงรีบหยิบยันต์เคลื่อนย้ายที่อีกฝ่ายโยนทิ้งและเก็บมันไปอย่างระมัดระวัง ชีวิตของพวกเขาสำคัญกว่าชัดๆ ดังนั้นนี่คือยันต์ช่วยชีวิตที่แสนสำคัญ!

ขณะที่พวกเขาออกเดินทาง การเคลื่อนไหวของอวี้จื้อเจี่ยพลันหยุดชะงักลง หลิงเซี่ยเอ่ยถามด้วยความงุนงง “มีอันใดหรือ?”

อวี้จื้อเจี่ยส่ายศีรษะอย่างเชื่องช้าก่อนเอ่ยตอบ “ไม่มีอะไร”

ประสาทสัมผัสที่ยอดเยี่ยมของเขาจับได้ว่ามีใครบางคนจ้องมองเขาจากด้านหลัง ทว่าเมื่อเขาเริ่มเพ่งความสนใจ ความรู้สึกราวกับถูกจ้องมองนั้นก็หายไปแล้ว

คนสามร้อยคนเข้าไปในป่าจากเส้นทางเล็กๆ จำนวนมาก แรกเริ่ม มันยังคงมีกลุ่มคนกระจุกตัวรวมกันบนถนน ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป จำนวนคนก็น้อยลงเรื่อยๆ จะอย่างไร ยิ่งคนมากเท่าใด ภารกิจที่พวกเขาได้รับมาก็ยิ่งทำให้สำเร็จได้ยากขึ้นเท่านั้น

สำหรับตำแหน่งของกลุ่มของพวกเขา หลิงเซี่ยคาดว่าพวกเขาอยู่ที่ครึ่งหลัง ใกล้ท้ายกลุ่ม ทว่าพวกเขายังคงต้องเดินไปอีกนาน และการรีบวิ่งออกไปตั้งแต่แรกเริ่มก็ไม่จำเป็นว่าจะนับเป็นการกระทำที่ดี

หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง นอกจากพวกเขาสามคนแล้ว รอบข้างของพวกเขาก็มีเพียงเสียงแมลงและใบไม้ที่เสียดสีกัน

ซ่งเสี่ยวหูปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ที่สูงนับสิบเมตรด้วยแขนขาที่คล่องแคล่ว เด็กชายมองห่างออกไปทุกทิศทาง อวี้จื้อเจี่ยตั้งอกตั้งใจดึงความทรงจำเกี่ยวกับข้อมูลในตำราว่าบริเวณไหนที่พวกเขามีโอกาสที่จะหาสิ่งที่พวกเขาต้องการได้และสั่งซ่งเสี่ยวหูจากด้านล่างให้มองหน้าแม่น้ำที่อยู่ใกล้ๆ

นิยายเองก็เขียนเกี่ยวกับป่าสมบัติพันอสูรของสำนักเฉาหยาง แม้ว่ามันจะด้อยกว่าในด้านของทรัพยากรเมื่อเทียบกับพื้นที่ของสำนักที่ใหญ่ที่สุดทั้งห้า มันก็มีลักษณะที่โดดเด่นเป็นของตัวเอง และเลื่องชื่อว่ามีหญ้าดาราทองที่มีสรรพคุณในการฟื้นฟูรักษาอยู่จำนวนมาก รวมทั้งแหล่งน้ำที่สามารถให้กำเนิดหินปราณธาตุน้ำได้ ดังนั้นแล้ว การค้นหารอบๆ แม่น้ำคือทางที่ง่ายที่สุดในการทำภารกิจของพวกเขาให้สำเร็จในตอนนี้

ด้วยความที่โตมาอย่างโดดเดี่ยวในป่าเขา สายตาและประสาทสัมผัสของซ่งเสี่ยวหูจึงอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าโกง ไม่ช้า เขาก็ค้นพบประกายแสงสีทองส่องประกายอยู่ห่างออกไปราวๆ 2 กิโลเมตร คนทั้งสามมุ่งหน้าไปยังทิศทางนั้นอย่างไม่รอช้า

แม่น้ำที่พวกเขาเจอนั้นใสเสียจนมองเห็นก้นแม่น้ำ มันเต็มไปด้วยพลังวิญญาณจนปลาในแม่น้ำตัวใหญ่กว่าปลาในแม่น้ำอื่นๆ เมื่อเห็นเช่นนี้ ท้องของซ่งเสี่ยวหูก็ร้องออกมาสองสามครั้ง แม้สภาพของหลิงเซี่ยและอวี้จื้อเจี่ยจะไม่ต่างไปมากนัก พวกเขาเองก็มาทดสอบโดยที่ไม่ได้กินอะไรเลย และหลังจากที่เวลาผ่านมานานขนาดนี้ พวกเขาต่างก็หิวโซกันมานานแล้ว

เหมือนกับคำกล่าวที่ว่าต้องลับขวานก่อนตัดไม้ หลิงเซี่ยเสนอขึ้นว่า “จับปลามากินก่อนเถอะ ตอนที่ท้องอิ่มแล้วเราจึงจะมีแรงกัน” อวี้จื้อเจี่ยและซ่งเสี่ยวหูไม่คัดค้าน ดังนั้นพวกเขาทั้งสามจึงพลันขยับตัวออกไปจับอาหารของพวกเขาในทันที

ในตอนที่พวกเขาจุดไฟขึ้น สายลมก็พลันพัดมารุนแรงเสียจนพวกเขาแทบจะยืนไม่อยู่โดยที่ไม่โซเซ ท้องฟ้าเริ่มมืดทะมึนราวยามราตรี ประกายไฟฟ้าจำนวนมากส่งเสียงครืนครางอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล แล่นผ่านก้อนเมฆดำทะมึน ส่งให้หัวใจของคนต้องสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว

“ดูเหมือนว่าฝนจะตกในไม่ช้า! เราควรจะหาที่หลบฝน!” หลิงเซี่ยเรียกเด็กทั้งสอง เขาแทบจะลืมตาไม่ขึ้นภายใต้สายลมที่รุนแรงนี้ จะอย่างไร เขาก็คุ้นเคยกับการอาศัยอยู่ในเมืองที่สร้างขึ้นด้วยคอนกรีต แม้ว่าเขาจะเดินทางในป่ากับเด็กสองคนนี้มาสองสามวัน เขาก็ยังไม่เคยได้มีประสบการณ์กับสภาพอากาศน่าพรั่นพรึงของภูเขาแบบนี้มาก่อน

ไม่ว่าจะเป็นซ่งเสี่ยวหูหรืออวี้จื้อเจี่ยต่างก็ไม่มีสีหน้าเป็นกังวลหรือหวาดกลัว แม้ว่าสภาพอากาศเลวร้ายนี่จะปรากฏขึ้นโดยไร้ซึ่งสัญญาณเตือนใดๆ พวกเขาก็คุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไปแล้ว ผ่านไปเพียงไม่นาน พวกเขาก็เจอถ้ำแห่งหนึ่งที่สามารถใช้หลบฝนได้ และในตอนที่พวกเขารวบรวมใบไม้จำนวนมากมาปิดปากถ้ำ สายฝนก็เริ่มเทลงมาที่ด้านนอก

หลิงเซี่ยปาดหยดน้ำบนใบหน้า สำรวจถ้ำแคบๆ แห่งนี้อย่างระมัดระวัง ภายในเต็มไปด้วยความมืดมิด เขาจึงไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจนนัก ทว่ามันกลับดูลึกอย่างคาดไม่ถึง ความคิดของเขาเริ่มปรากฏภาพของหมี งู และสัตว์ต่างๆ ขึ้นและพลันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในใจไม่น้อย เสียงฟ้าร้องด้านนอกยังคงดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า สายฝนเองก็ไม่ซาลงเลยแม้แต่น้อย

ด้านในถ้ำมีใบไม้แห้งอยู่จำนวนหนึ่ง พวกเขาทั้งสามคลำไปรอบๆ และพบไม้แห้งที่ใช้เป็นเชื้อไฟได้จำนวนหนึ่งและใช้หินที่พวกเขานำมาจุดไฟ หลังจากที่เห็นแสงสว่าง หลิงเซี่ยก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาในที่สุด ค่อยๆ รู้สึกผ่อนคลายลง แม้ว่าก่อนหน้าจะวุ่นวายกันไปบ้าง พวกเขาก็ยังคงถือปลาที่จับได้เอาไว้อยู่ ดังนั้นพวกเขาทั้งสามจึงล้อมรอบกองไฟและทำอาหารต่อ

ใบไม้ที่ใช้ปิดทางเข้าพลันส่งเสียงออกมา อวี้จื้อเจี่ยผุดตัวลุกขึ้นและตวาด “นั่นผู้ใด?”

“โอ้ มีคนอยู่ที่นี่ด้วยหรือ? ข้าเองก็มาหาที่หลบฝนเช่นกัน” เงาร่างหนึ่งเดินเข้ามาด้านในอย่างเชื่องช้า ร่างนั้นไม่ได้สูงมากนัก และจากแสงไฟ เด็กชายหน้าตาธรรมดาอายุราวๆ 12-13 ปีคนหนึ่งที่ดูจะไม่ได้พกพาอาวุธใดๆ มาก็ได้ปรากฏตัวขึ้น

หลิงเซี่ยพ่นลมหายใจที่เขากลั้นเอาไว้ออกไป ก็แค่เด็กคนหนึ่ง… เขาขยับตัวให้เกิดที่ว่างและผงกศีรษะพร้อมด้วยรอยยิ้ม “มานั่งสิ”

เด็กชายคนนั้นไร้ซึ่งความเกรงใจ พลันเดินไปยังมุมหนึ่งและนั่งลงใกล้กับเงามืด ไม่เอ่ยคำพูดใดออกมาอีก

ซ่งเสี่ยวหูอดที่จะถามออกไปไม่ได้ “เจ้ามาทดสอบผู้เดียวหรือ?”

เด็กชายคนนั้นส่งเสียงออกมาสั้นๆ และเหลือบมองซ่งเสี่ยวหูราวกับไม่คิดจะใส่ใจอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เขามองไปรอบๆ อย่างเชื่องช้า ทว่าเมื่อเห็นอวี้จื้อเจี่ย สายตาของเขาก็สั่นระริก หลิงเซี่ยเพียงคิดว่าเด็กคนนี้เป็นเพียงคนนิสัยประหลาดที่หาได้ยากและไม่ได้ใส่ใจนัก จะอย่างไร ตอนนี้พวกเขาก็เป็นคู่แข่งกันอยู่

กลิ่นของปลาย่างแพร่กระจายออกไป ท้องของหลิงเซี่ยปรากฏเสียงคำรามอย่างหิวโหย หลังจากที่ส่งปลาให้กับซ่งเสี่ยวหูและอวี้จื้อเจี่ย เขาก็เอ่ยถามเด็กชายอีกคนตามมารยาท “เจ้าอยากกินไหม?” ผู้ใดจะคิดว่าเด็กนั่นจะยื่นมือออกมาอย่างคาดหวังเข้าจริงๆ ดังนั้นหลิงเซี่ยจึงทำได้เพียงยื่นปลาที่เขาถือเอาไว้ออกไปด้วยท่าทีเสียดายเล็กๆ

เว้นเสียแต่ว่าก่อนหน้าที่มือของเด็กคนนั้นจะยื่นมาถึง อวี้จื้อเจี่ยพลันยื่นขาออกไปเตะถ่านร้อนๆ ใส่ร่างของอีกฝ่ายและรีบคว้ามือดึงร่างของหลิงเซี่ยกลับไปในเวลาเดียวกัน

หลิงเซี่ยสีหน้าว่างเปล่า ทว่าซ่งเสี่ยวหูตั้งป้อมแล้วเช่นกัน เขาเอ่ยถามขึ้น “เจ้าถืออะไรไว้ในมือ?” ตั้งแต่ยามที่เขายังเยาว์ เขาสามารถรับรู้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไปรอบๆ คนได้ ดังนั้นเมื่อจิตสังหารของคนคนนี้แพร่ออกมา เขาเองก็รับรู้ได้ในใจ

เด็กชายคนนั้นหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย “ประสาทสัมผัสไม่เลวนี่” เขาพลิกข้อมือ ประกายแสงเย็นเยียบปรากฏวูบ เผยให้เห็นรูปลักษณ์ของมืดสั้นขึ้นลางๆ

หลิงเซี่ยได้สติ พลันรู้สึกว่าแผ่นหลังสะท้านหนาวเยือก พยายามฝืนตัวเองสุดชีวิตให้แสดงท่าทีเยือกเย็นสงบนิ่งออกไปขณะที่เขาเอ่ยถาม “เจ้าวางแผนจะทำอันใด?”

เวรเอ้ย ในที่สุดไอ้ออร่าโคนันของตัวเอกก็เผยตัวออกมาแล้วเหรอ?

 

 


TL: ตอนนี้ยาวมากๆ เลยล่ะค่ะ…