บทที่ 98: เขตสีส้ม (4)

 

 

 

‘เขามีอะไรที่ทำให้เขาทำแบบนั้น?’

เคนที่เห็นสีหน้าของโซเฟียสะดุ้งไปเล็กน้อย ทว่าก็ผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว

‘ไม่มีเหตุผลให้ต้องกลัว’

และเขาไม่ได้อยู่คนเดียว

“พวกนายคิดเหรอว่าที่นี่คือเขตสีแดง? อย่ามายุ่งกับงานของพวกเรา”

เคนที่ได้ส่งพิราบสื่อสารออกไปเอ่ยขึ้นเมื่อเขาพบกับเจ็ดเสี้ยววิญญาณจากสักแห่งพร้อมกับยักไหล่

เคนได้เห็นสิ่งเหล่านี้มามากในอดีตขณะที่เดินทางไปทั่วเขตสีส้ม

เขาได้เห็นภาพจำนวนนับไม่ถ้วน ทว่าภาพที่ติดตาเขาที่สุดก็ยังคงเป็นสิ่งที่เขาเห็นเป็นครั้งแรกยามที่เขาขึ้นมา

มันไม่ใช่มาร์กอชตัวยักษ์นั่น

สิ่งที่สำคัญคือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น

ซึ่งเป็นเหตุผลให้พวกเขามาเฝ้ารอที่นี่

“อย่ามาขวางแล้วก็ดูอยู่เงียบๆ”

เคนเอ่ยพึมพำขณะมองไปยังโซเฟียที่มองไปยังพรรคพวกของเขาที่วิ่งตรงไปยังเหล่าคนมาใหม่ตามแผน

 

 

“ฮู่ว… นั่นมันน่ากลัวชะมัด”

กัปตันหน่วยแกะรอยของสหพันธ์สามแสง เอพิเลนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ส่งเสียงดังก่อนที่จะเดินจากไป

‘ไหนดูสิ’

เอพิเลนมองไปรอบกายจากนั้นจึงเดินไปข้างหน้าเล็กน้อย

‘อย่างที่คิด… พวกเขาถูกแยกกันหมด’

พวกเขาถูกแยกกันหมดด้วยกระแสพลังรุนแรงที่เกิดขึ้นพร้อมกับแสง

ทว่าเอพิเลนทำเพียงยักไหล่

‘เอาเถอะ มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรมาก’

เอพิเลนมองไปรอบๆ หลังจากที่ส่งพิราบสื่อสารไปยังลูกกิลด์ของเขาถึงตำแหน่งของเขา

คนที่นับว่าธรรมดาเมื่อเทียบกับเขา กัปตันของหน่วยแกะรอยแห่งสหพันธ์สามแสง ทว่ามีสิทธิ์ที่จะขึ้นมา

‘อืม อย่างน้อยในระหว่างทางก็คงไม่น่าเบื่อ’

ในเมื่อเขาสามารถสั่งคนพวกนั้นได้

“เฮ้! ตรงนั้นน่ะ!”

“หืมมม? ฉัน?”

เอพิเลนที่ตะโกนไปยังชายวัยกลางคนที่ยังคงดูไม่ตื่นดีนักพร้อมกับต่อยท้องของชายคนนั้น

พลั่ก

“อุก!”

“ไอ้เวรนี่ ออกไปตรวจสอบรอบๆ นายกับนายตรงนั้นด้วย”

ชายที่ถูกต่อยท้องอย่างไร้เหตุผลกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บปวด

ทำไมหมอนี่ถึงได้มาสั่งเขาในเมื่อพวกเขาไม่แม้แต่จะอยู่ในกิลด์เดียวกันด้วยซ้ำ?

แต่ชายคนนั้นเห็นสัญลักษณ์ของผู้ที่ต่อยเขาและแสยะยิ้มอย่างรู้ดีว่าเขาไม่อาจต่อต้านได้

‘เชี่ยเอ้ย… สหพันธ์สามแสง’

เขาค่อนข้างแข็งแกร่ง ทว่าหกขั้วอำนาจไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถต่อต้านได้

‘ไอ้เวรบัดซบ… พวกมันโดนกดอยู่ข้างล่างนั่น แต่หลังจากที่พวกมันขึ้นมา…’

แต่มันไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้

“นายคิดว่ามันจะมีอะไรเปลี่ยนไปหลังจากที่พวกเราขึ้นมาเหรอ? มาน่า เร็วเข้า”

คนที่แข็งแกร่งจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และช่องว่างระหว่างพวกเขากับคนอ่อนแอก็มีเพียงแต่จะขยายกว้างขึ้น

ความจริงที่คนรวยมักจะรวยยิ่งขึ้น ในขณะที่คนจนจะจนลงเรื่อยๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในโลกนี้เช่นกัน

เอพิเลนมองไปยังสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ที่อ้วกเขาออกมาหลังจากที่สั่งงานให้คนจำนวนหนึ่งพร้อมกับเตะต่อยพวกเขาไปอีกครั้งสองครั้ง

กร๊าซซซซ

‘… ยอดเยี่ยม’

ก่อนหน้านี้เขาหัวเราะ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้สบายใจเช่นกัน

เขาจะสบายใจได้ยังไงหากไอ้ตัวที่เหมือนไดโนเสาร์ยักษ์นั่นยังคงเดินไปเดินมาอยู่รอบๆ?

มันกระทั่งเลวร้ายกว่าเก่าเพราะเขาเคยได้เห็นหายนะที่อูโรโบรอสและมัจฉาภัยพิบัติสร้างขึ้นข้างล่างมาแล้ว

ในขณะที่ความคิดของเอพิเลนมุ่งไปยังสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ กลิ่นอายแหลมคมรุนแรงก็ได้พุ่งมายังร่างของเขา

‘อะไร?’

ตูม!

ลูกศรสีดำลอยมาจากห่างออกไปก่อนจะโจมตีไปยังเอพิเลน

ด้วยความเร็วและความแม่นยำขั้นสุดยอด

เอพิเลนทำได้เพียงยอมรับการโจมตีนั้นโดยไม่มีแม้แต่โอกาสในการใช้สกิลใดๆ

‘อึก… เวรเอ้ย ใครกัน?’

เอพิเลนผงะไปก่อนจะรักษาสมดุลได้อย่างรวดเร็ว

จากนั้นเขาจึงมองไปยังทิศทางของการโจมตีที่มุ่งมายังเขา

ใบหน้าที่คุ้นเคย

เอพิเลนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ว่าเขาเคยเห็นคนคนนี้ที่โจมตีเขามาจากที่ไหน จากนั้นจึงเดาะลิ้น

“ดูนี่สิ?”

“มันสักพักแล้ว เอพิเลน”

คนที่เขาไม่แม้แต่จะจดจำชื่อ

แต่เขากลับสามารถคิดถึงสิ่งหนึ่งได้

ไอ้เวรตรงนั้นได้หนีมายังเขตสีส้มเพื่อที่จะหลบหนีจากเงื้อมมือของเขา

เขารู้สึกผิดหวังอย่างมากตอนที่หมอนั่นหนีเข้าไปในกระจกขณะที่เขากำลังไล่ล่า

เอพิเลนไม่อาจที่จะไล่ตามไปและจับหมอนั่นได้เพราะเขากำลังมีความสุขกับเขตสีแดงและไม่มีความคิดที่จะมุ่งหน้าขึ้นไปข้างบน

แม้ว่าหมอนั่นจะชดใช้ทั้งหมดด้วยคนรักของหมอนั่นก็ตาม

แต่สำหรับหมอนั่นที่ทำตัวมั่นใจขนาดนั้นทั้งๆ ที่มันเพิ่งจะผ่านมาเพียงแปดเดือน

มันไม่เหมือนกับว่าเขาทำเพียงนั่งเล่นอยู่ในเขตสีแดง

เอพิเลนผ่อนคลายร่างกาย

“ฉันเสียใจมากที่ไม่อาจจับนายได้ในตอนนั้น นี่มันดีชะมัด”

จะอย่างไรเขาก็กำลังต้องการใครบางคนที่รู้จักโลกใบนี้ดี ดังนั้นมันจึงนับว่าพอดี

คนที่อย่างน้อยก็รู้ถึงพื้นฐานไม่ว่าพวกเขาจะอ่อนแอแค่ไหนหากพวกเขาอยู่ที่นี่มาแปดเดือนแล้ว

‘ฉันแค่ต้องให้ปากของมันยังพูดได้เท่านั้น’

กีเตหัวเราะเสียงเย็นใส่เอพิเลน

 

 

เคนคิดถึงเมื่อปีก่อน

กลุ่มคนที่เพ่งเล็งไปยังคนที่แข็งแกร่งของหกขั้วอำนาจทันที่ที่พวกเขาข้ามมา

หกขั้วอำนาจและสิบสองรากที่กระทำตัวอย่างไม่รู้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแค่ไหน

ตอนแรกพวกเขาคิดว่าคนพวกนี้ต้องการที่จะเชือดพวกเขาทั้งหมดและขโมยอาร์ติแฟคและสกิลของพวกเขา ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงหวาดกลัว แต่คนพวกนี้ทำเพียงจัดการคนในรายชื่อของตนเองแล้วก็จากไป

<อืม พวกนายไม่ได้อยู่ในรายชื่อ ใช้ชีวิตให้ดีๆ แล้วก็อย่าไปสร้างความแค้นกับคนอื่นๆ เข้าล่ะ>

จากนั้นเคนจึงค้นพบถึงตัวตนของคนเหล่านั้นหลังจากที่เดินทางในเขตสีส้มในปีที่ผ่านมา

พวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่ยอดเยี่ยมอะไรอย่างนั้น

ความจริงแล้วพวกเขาเป็นเพียงกลุ่มคนที่คล้ายกับเขา

‘คนที่ถูกไล่ล่า’

เหล่าคนที่ปกครองเขตสีแดงคิดว่าความต่างหนึ่งหรือสองปีไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดังนั้นพวกเขาจึงรั้งอยู่ในเขตสีแดง

เพื่อที่จะชดเชยให้กับช่วงเวลาอันยากลำบากที่พวกเขาเคยเผชิญมา

เพื่อที่จะมีความสุข

และในระหว่างนั้น พวกเขาก็เหยียบย่ำคนอื่นๆ และมีช่วงเวลาอันสนุกสนาน

และคนเหล่านั้นที่ถูกเหยียบย่ำโดยคนเหล่านี้ก็ได้หลบหนีมายังเขตสีส้มเพื่อที่จะเอาชีวิตรอด

เหมือนตัวเขา

ตัวเลือกที่ปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันนั้น และเพราะตัวเลือกนั้นทำให้ช่องว่างระหว่างคนสองคนในสองเขตกว้างใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

แม้ว่าจะเป็นเวลาเท่ากัน ทว่าความแตกต่างในความเร็วที่คนจะแข็งแกร่งขึ้นในเขตสีแดงกับเขตสีส้มนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน

คนที่ไม่อาจรับมือกับอำนาจของหกขั้วอำนาจและสิบสองรากได้ จากนั้นจึงเติมเต็มข้อกำหนดอย่างเฉียดฉิวก่อนจะมาที่นี่จำต้องดิ้นรนเพื่อที่จะมีชีวิตรอด ในขณะที่คนเหล่านั้นในเขตสีแดงกำลังเอ้อระเหยลอยชาย

และแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนั้น

เคนเองก็เป็นแบบนั้น

เคนเกิดความคิดบางอย่างขึ้นขณะมองตนเองแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

ความคิดที่เขามายังที่นี่และแข็งแกร่งขึ้น เมื่ออามิล สตาดันที่ไล่ล่าเขามายังที่นี่ หมอนั่นก็จะแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน

ไม่สิ ในเมื่อหมอนั่นแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วในเขตสีแดง มันก็มีโอกาสสูงที่หมอนั่นจะแข็งแกร่งกว่าเขาเมื่อหมอนั่นมายังเขตสีส้มและได้ใช้เวลาไปบ้าง

และในเมื่อคนพวกนี้คือคนที่ใกล้ชิดกันข้างล่าง พวกเขาก็จะส่งพิราบสื่อสารออกไปแม้ว่าจะแยกกันเพียงเวลาสั้นๆ ก่อนจะรวมตัวกันอีกครั้ง

เคนรู้หลังจากที่คิดถึงจุดนี้

ว่าทำไมคนอื่นๆ ถึงได้ลงมือล้างบางใกล้ๆ มาร์กอช

วินาทีที่มาร์กอชคายพวกเขาออกมา

หากมันเป็นตอนนี้ มันก็มีโอกาส

คนพวกนี้แยกกันเพราะคลื่นมิติจากกระจก

และพวกเขาจะสับสนด้วยสิ่งมีชีวิตอย่างมาร์กอชและจะอ่อนแอลง

คนพวกนั้นมีรูนสีส้ม 0.01

พวกเขามีมากกว่า 30% เพราะพวกเขาล่ามาทั้งปี

อามิล สตาดันในวันเก่าๆ เป็นสิ่งที่เคนมีปัญหาแม้แต่จะมองอีกฝ่าย

แต่ตอนนี้เคนมั่นใจแล้ว

ว่าเขาสามารถบดขยี้อามิล สตาดันได้ 99 จาก 100 ครั้งหากพวกเขาต่อสู้กันในตอนนี้

เมื่อคิดถึงตอนนี้ เคนก็ออกไปค้นหา

เพื่อที่จะเข้าร่วมในการล้างแค้น

คนที่รวมตัวกันเพื่อที่จะย้อนคืนความเจ็บปวดที่พวกเขาได้รับยามที่อยู่ในเขตสีแดง

ไม่สิ ความจริงแล้วมันคือคนที่รวมตัวกันเพื่อที่จะตัดไฟแต่ต้นลม

ในขณะที่พวกเขาเกลียดคนพวกนั้นมาก คนที่ขึ้นมาเองก็ไม่ได้ชอบพวกเขาเช่นกัน

และเมื่อคนพวกนั้นแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นข้างล่างก็จะเกิดขึ้นอีก

เพราะแบบนั้น พวกเขาจึงต้องบั่นคอคนพวกนั้นในช่วงเวลานี้ ยามที่ประตูเปิดขึ้นหนึ่งครั้งต่อเดือน

ดังนั้นมันจึงเป็นกลุ่มคนที่รวมตัวกันหนึ่งครั้งต่อเดือน

เคนมองไปยังเหล่าผู้เข้าร่วมที่เริ่มการฆ่าล้างไปรอบๆ

 

 

“ไอ้บัดซบเอ้ย! มึงคิดเหรอว่ามึงจะรอดหลังจากที่ฆ่าเพื่อนกู?”

“ตาย! ไอ้เวรเอ้ย! มึงคงไม่รู้หรอกว่าทุกอย่างจะกลายเป็นแบบนี้!”

ทุกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย

ทันทีที่มาร์กอชสร้างระยะห่างออกไปจากคนที่กำลังยืนคอยเหล่าลูกกิลด์มารวมตัว

เอพิเลนก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกกวาดไปพร้อมกับคลื่นลูกยักษ์นี้

เอพิเลนแทบไม่อาจทำใจให้เชื่อได้

‘นี่มันบ้าไปแล้ว… มันแค่แปดเดือนเอง’

เอพิเลนที่แขนทั้งสองถูกฉีกออกมองไปยังคนที่กำลังพุ่งเขามาหาเขาด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ

กิเตที่ร่างโชกเลือดยืนอยู่หน้าเอพิเลน ทว่าสภาพของเขาดีกว่าเอพิเลนนัก

เอพิเลนขบฟันแน่นและตะโกนไปรอบกาย

“ไอ้พวกเวรเอ้ย! มัวทำบ้าอะไรอยู่! มาช่วยสิวะ!”

ขณะที่ผู้คนที่อยู่รอบๆ มองมาด้วยสีหน้าลำบากใจ กิเตก็ตะโกนออกไปเสียงเย็น

“ถ้าพวกนายไม่ได้มีส่วนในเรื่องนี้ก็อย่าเข้ามายุ่ง! มันไม่มีอะไรเกี่ยวกับพวกนาย! ดูสิ! เป้าหมายของพวกเราคือคนพวกนี้เท่านั้น!”

จากนั้นผู้คนที่มองสถานการณ์อยู่จึงตระหนักได้ว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นความจริงและล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว

พวกเขารู้แม้ว่าจะเห็นไม่นาน

ว่าคนที่พุ่งเข้ามาหาพวกเขาได้เพ่งเล็งไปยังเป้าหมายของพวกเขาเท่านั้น

และมันไม่มีเหตุผลอะไรให้คนจากหกขั้วอำนาจและสิบสองรากที่กำลังถูกโจมตีดูเหมือนคนที่จะสามารถสร้างความปลอดภัยให้พวกเขาได้

ไม่สิ ความจริงแล้วมันให้ความรู้สึกดีไม่น้อย

การที่คนที่กดขี่พวกเขาและทำตัวเย่อหยิ่งจองหองถูกกระทืบและเชือด

“ไอ้เวรนี่…”

เอพิเลนแสดงสีหน้าสิ้นหวังออกมาขณะที่เขามองไปยังกิเตที่เดินมาหาเขาอย่างเชื่องช้า

 

 

เคนที่กำลังชื่นชมภาพการล้างบางรอบกายแสยะยิ้มไปยังโซเฟีย

โลกใบนี้คือโลกที่ซื่อตรงนัก

ในบางด้าน มันกระทั่งมากกว่าโลกสมัยใหม่ที่พวกเขาเคยอยู่เสียอีก

ในสังคม เมื่อช่องว่างถูกสร้างขึ้น การที่จะร่นระยะห่างนั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นไปไม่ได้

เหมือนกับว่าไม่ว่านักธุรกิจทั่วไปจะสร้างเงินได้มากเท่าใด พวกเขาก็ไม่อาจที่จะร่ำรวยไปกว่าเหล่าเจ้าของที่ดินที่แทบจะทำเพียงนั่งเฉยๆ ได้

แต่สถานที่นี้มันแตกต่างออกไป

วินาทีที่พวกเขาแข็งแกร่งและเริ่มผ่อนคล้าย มันคือโอกาสที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเหล่าผู้ที่กำลังดิ้นรน

ผู้คนที่กำลังล้มตายอยู่ตรงนั้นคือข้อพิสูจน์

คนพวกนั้นดูยอดเยี่ยมยามที่พวกเขาอยู่ด้านล่าง ทว่ามันแตกต่างออกไปเมื่อพวกเขาขึ้นมาที่นี่

‘พวกนายก็แค่… เสี้ยววิญญาณ ก็แค่ฉายา’

ท่าทีของพวกเขาคือปัญหา ไม่ใช่ความแข็งแกร่ง

คนคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังแม้ว่าพวกเขาจะแค่ขี้เกียจไปปีหรือสองปี

คนที่ทำตัวผ่อนคลายไปแปดเก้าปียิ่งถูกทิ้งห่าง

เหล่าผู้ที่มายังอีกโลกในเวลาเดียวกับพวกเสี้ยววิญญาณอาจจะสามารถฆ่าพวกเสี้ยววิญญาณได้แม้เพียงแค่กดนิ้วโป้งลง

ในตอนนั้นเองที่นักพิราบสื่อสารตัวหนึ่งบินมายังเคน

‘คำตอบของพิราบสื่อสารก่อนหน้ามาแล้ว’

คนคนเดียวไม่อาจที่จะมองไปยังปากของมาร์กอชทุกตัวได้ในพื้นที่เปิดอันกว้างใหญ่เช่นนี้

ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงแบ่งปันข้อมูลกัน

เมื่อคนคนหนึ่งในรายชื่อปรากฏตัวขึ้น พวกเขาจะส่งพิราบสื่อสารไปยังผู้ที่มีความแค้นต่อคนคนนั้น

หรือไม่ก็ฆ่าคนคนนั้นให้แทน

มันมีพิราบสื่อสารจำนวนหนึ่งที่เป็นของหกขั้วอำนาจในบรรดานกพิราบที่กำลังบินอยู่ด้านบน ส่วนมากเป็นของพวกเขา

มันมีสองสิ่งที่ถูกเขียนไว้บนพิราบสื่อสาร

อย่างแรกคือพวกเขาเจออามิล สตาดันที่เขามีความแค้นด้วยแล้ว

อย่างที่สอง

‘โซเฟีย วาจิร่า… เธอเองก็อยู่ในรายชื่องั้นเหรอ’

ยามที่เคนกำลังพึมพำ ดวงตาของโซเฟียก็กระตุกขึ้นในเสี้ยววินาที

สถานะของเขาเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะพิเศษของเธอ

จากตั้งรับเป็นศัตรู

แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้แสดงมันออกมาที่ด้านนอก หมอนั่นก็อาจจะพุ่งตัวมาทันทีที่มีโอกาส

‘ดูไอ้เด็กนี่สิ’

เธอไม่ได้อารมณ์ร้ายถึงจุดที่เธอจะกระทืบคนเหล่านั้นลงเพราะเธอถูกเมิน แต่ความเป็นศัตรูนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

แม้ว่าเธอจะต้องการเปลี่ยนให้อีกฝ่ายกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งในตอนนี้ แต่การปะทะกันทันทีที่เธอขึ้นมาไม่ได้เป็นสิ่งที่เธอต้องการนัก

ในเมื่อกลิ่นอายของเหล่าผู้ที่พุ่งเข้ามานั้นไม่ได้ธรรมดา

และอีกเรื่องหนึ่ง

‘เจ้าฮันซูนี่คงมีแผนล่ะมั้ง’

มันอาจจะต่างออกไปหากเธอมาคนเดียว แต่เมื่อมีพรรคพวก เธอไม่อาจที่จะทำตามอำเภอใจได้

โซเฟียสะกิดฮันซูด้วยข้อศอกของเธอก่อนที่จะกระซิบ

“นายจะทำอะไร?”

ฮันซูมองไปยังเคนที่อยู่เบื้องหน้าเมื่อได้ยินเช่นนั้น

 

 


TL: ปู่ยังค่าตัวแพงเสมอต้นเสมอปลายเลยนะเนี่ย… ตอนนี้ยังไม่ได้พูดสักประโยค//หัวเราะ