บทที่ 87: อูโรโบรอส (3)

 

 

 

เฮือก

“สักพักแล้วนะ”

ซังจินที่กำลังรักษาแผลที่ได้รับจากการต่อสู้ในวันนี้ของเขาสะดุ้งขึ้นกับเสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันจากด้านหลัง

เสียงที่คุ้นเคยและทำให้ความคิดของเขาวุ่นวายอยู่ในตอนนี้

“สักพักแล้ว ฮันซู”

ซังจินหมุนตัวและเอ่ยขึ้น

เขาได้ยินเสียงนี้เมื่อนานมาแล้ว แต่ความคิดที่น่ารำคาญได้ปรากฏขึ้นแทนที่จะเป็นความรู้สึกยินดี

ไม่ได้สงสัยว่าอีกฝ่ายมาที่นี่ได้อย่างไร

ในเมื่อคนคนนี้อาจจะมาด้วยวิธีที่เขาไม่อาจจะทำได้แม้แต่จะเข้าใจ

ช่องว่างระหว่างเขากับฮันซูมันเพิ่มขึ้นมากขนาดนั้น

“นายสบายดีไหม?”

ซังจินส่ายศีรษะเมื่อได้ยินคำพูดของฮันซูก่อนจะเอ่ยขึ้น

“มีบางอย่างที่ฉันอยากจะถาม”

“หืมม?”

“นายต้องการฉันจริงๆ เหรอ?”

เขารู้ว่าฮันซูต้องการเขา

แต่มันไม่ใช่ตัวเขาที่อีกฝ่ายต้องการ มันก็แค่เขาเป็นใครบางคนที่เหมาะสมกับหน้าที่นี้

อาจมีคนอื่นมาแทนที่เขาได้ตลอดเวลา

คนที่แข็งแกร่งกว่า และมีพรสวรรค์มากกว่า

อีกฝ่ายอาจจะใช้หนึ่งในเจ็ดเสี้ยววิญญาณแทนก็ได้

ฮันซูส่ายศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

ความแข็งแกร่งไม่ใช่ส่วนสำคัญ

เมื่อเขาสามารถมอบมันให้กับอีกฝ่ายได้

สิ่งที่เขาต้องการคือคนที่เขาสามารถเชื่อใจได้

“ฉันมาที่นี่เพราะเรื่องนั้น”

“…?”

ซังจินหรี่ตา

ฮันซูมองไปยังอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยขึ้น

“มันไม่สำคัญถ้านายจะเปลี่ยนใจเมื่อถึงตอนนี้แล้วแยกตัวไป ในเมื่อมันเป็นงานที่ค่อนข้างลำบาก”

“…”

“มีของจำนวนหนึ่งที่ฉันให้นาย แต่มันไม่อาจที่จะเทียบกับสิ่งที่นายทำให้ฉันได้ ฉันขอบใจสำหรับเรื่องพวกนั้นมาก”

คนคนนี้คือคนที่สามารถช่วยงานของเขาได้

เขาต้องขอบคุณอีกฝ่าย

ในเมื่อมันไม่ง่ายที่จะกำจัดคนที่อยู่ข้างหลังในโลกที่ยากแม้แต่จะดูแลตนเอง ไม่ว่าเขาจะมอบความแข็งแกร่งให้คนเหล่านั้นมากมายเพียงใด

ฮันซูเอ่ยต่อ

“แต่สิ่งที่ฉันจะมอบให้นายนับแต่ตอนนี้ไปมันต่างออกไป ถ้านายเอาของพวกนี้ไปแล้วเปลี่ยนใจทีหลัง งั้น… ฉันก็ต้องตามล่านายไปไม่ว่านายจะไปที่ไหน และเอาของพวกนั้นคืนมา”

เอาคืน

เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ฮันซูจะมอบให้กับเขานั้นเป็นสกิลหรืออาร์ติแฟค

แต่จากวิธีการพูดของอีกฝ่าย วิธีการเอาของพวกนั้นคืนอาจจะถูกกำหนดไว้แล้ว

“นี่เป็นทางแยก ฉันจะเคารพในการตัดสินใจของนาย”

ซังจินกลืนน้ำลายเหนียวหนืดขณะที่มองเข้าไปในดวงตาของฮันซูที่หนักหน่วงขึ้น

 

 

ครืดดด

คนจำนวนหนึ่งปีนขึ้นไปบนต้นไม้โลกที่มีร่างของอูโรโบรอสพันล้อมรอบอยู่

ทั้งหมด 8 คน

ฮันซูและเจ็ดเสี้ยววิญญาณรีบมุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่ที่กำหนดไว้อย่างรวดเร็วและระมัดระวัง ในเมื่อปรสิตอาจจะขัดขวางพวกเขาระหว่างที่พวกเขาตัดเส้นประสาทได้หากพวกเขาถูกค้นพบ

โชคดีที่ไอ้ตัวพวกนั้นถูกล่อไปด้วยกองอาหารที่อยู่ด้านล่าง ดังนั้นพวกมันจึงไม่ได้สนใจพวกเขามากเท่าไหร่

ฮันซูแตะไปยังต่างหูเล็กๆ ที่ใบหูก่อนจะสั่นศีรษะ

‘เขาควรจะมอบมันให้กับฉันก่อนหน้านี้ถ้าเขามีอะไรแบบนี้’

<รังนกพิราบ>

ต่างหูที่มีสกิลที่จะทำให้คนคนหนึ่งสามารถส่งนกพิราบสีฟ้าและสีแดงที่ถูกบันทึกไว้ด้านในออกไปได้

มันไม่ใช่ของที่หาได้อย่างง่ายๆ แต่แน่นอนว่าหกขั้วอำนาจย่อมมีของแบบนี้

พวกนั้นที่ไม่ได้มอบมันให้เขาก่อนที่กระจกจะปิดได้ส่งต่างหูมาให้กับเขาหลังจากที่เส้นทางหลบหนีของพวกเขาถูกปิดกั้น

‘พวกเขากำลังขอให้ฉันตั้งใจสู้มากกว่าเดิมงั้นสินะ’

ฮันซูที่กำลังจัดการความคิดของตนเองเกี่ยวกับหกขั้วอำนาจด้านล่าง เอ่ยขึ้นกับมิยาโมโตะที่กำลังปีนต้นไม้โลกอยู่ข้างๆ เขา

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”

ฮันซูมองไปยังมิยาโมโตะที่มีสีหน้าไม่พอใจสุดๆ อยู่ข้างๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น

สีหน้าของมิยาโมโตะไม่เปลี่ยนแปลงไปขณะที่เอ่ยพูด

“นายพูดแบบนั้นได้ยังไงในเมื่อนายเป็นคนบังคับให้ฉันสู้?”

ราวกับว่าเขาได้ยอมแพ้กับการรักษาหน้ากากที่เหลืออยู่ มิยาโมโตะเอ่ยตอบอย่างหยาบกระด้าง

ในเมื่อเขาเข้าใจหลังจากที่เรื่องนี้เกิดขึ้นว่าเขาต้องสู้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

‘เวรเอ้ย ฉันพุ่งเข้าไปแบบไร้สติ’

ตัวตนของเขาที่แท้จริงไม่อาจกักเก็บความโกรธเอาไว้ได้และได้เปิดเผยออกมา

‘ไม่สิ หมอนี่อาจจะรู้อยู่แล้ว’

คำพูดที่ฮันซูเอ่ยกับเขาก่อนหน้า

เอ่ยถามว่าเขาไม่ต้องการจะสู้

เขาได้ระเบิดออกจากท่าทีของฮันซูที่บอกเขาว่าอีกฝ่ายรู้อะไรบางอย่าง และปิดกั้นเส้นทางหลบหนีของเขา

ในเมื่อการที่เขาเต้นอยู่บนฝ่ามือของอีกฝ่ายได้ทำให้เขาโกรธเกรี้ยวอย่างมาก

แต่เขายังไม่ได้ยอมแพ้

‘ใช่ ในเมื่อมันเป็นแบบนี้แล้ว…’

เขาแค่ต้องการเปิดประตูมิติในตอนแรก แต่ตอนนี้ความคิดนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ

หากเขาสามารถขึ้นไปด้านบนได้ด้วยความแข็งแกร่งขนาดนั้น มันก็จะกลายเป็นตัวช่วยอย่างดีในเขตด้านบน

และเพราะแบบนั้น เขาจึงต้องการรีลิค

และการต่อสู้กับอูโรโบรอสนี่อาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงนั้น

‘ฉันควรจะดูแลของอย่างอื่นนอกจากรีลิคด้วยก่อนที่ฉันจะขึ้นไป’

ความลับที่ไม่มีใครรู้นอกจากเขา

‘โอ้ คนพวกนั้นเป็นข้อยกเว้น’

จากนั้นมิยาโมโตะจึงคิดถึงบทสนทนาของเขากับผู้ก่อตั้งขั้วอำนาจคนอื่น

<ฉันจะอยู่ที่นี่ แต่พวกนายก็ช่วยด้วย ในเมื่อมันควรจะมีสมบัติที่ไม่อาจเทียบเคียงได้ในสถานที่แห่งนี้ถ้าพวกนายขึ้นไปใช่ไหม? ถ้าฉันถูกกำจัด งั้นเขตสีแดงก็จะถูกกวาดล้างโดยอาคุมะ ฉันวางแผนที่จะป้องกันมัน แต่ฉันคงจะทำไม่ได้ถ้าฉันไม่มีพลัง ทิ้งของที่มันจะช่วยฉันได้เอาไว้ ฉันจะผลักดันคนอื่นๆ ขึ้นมา>

ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน เขาก็ไม่อาจป้องกันสถานที่แห่งนี้ได้ด้วยตนเอง

และมิยาโมโตะก็เกลียดความจริงข้อนี้เช่นกัน

เขาไม่อาจติดอยู่ที่นี่ได้ตลอด

ดังนั้นแล้ว เขาจึงต้องการผู้คนที่มีประโยชน์เพียงพอที่จะทำหน้าที่ของเขาได้เมื่อเขาไป

เหล่าคนที่จะสามารถป้องกันผนึกของอาคุมะได้

และเขาเองก็ยังต้องการสิ่งที่จะทำให้คนพวกนั้นมีประโยชน์

ทุกคนรวมทั้งแอรีสผงกศีรษะ

พวกเขาได้เห็นเด็กใหม่ข้ามมาทุกปีขณะที่เดินทางไปรอบๆ เทือกเขาต้นไม้โลก

และเห็นว่าจำนวนได้เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง

พวกเขาต้องรักษาผนึกของอาคุมะไว้ให้ได้เพื่อคนเหล่านั้น และครอบครัวของพวกเขาที่อาจปะปนอยู่กับคนพวกนั้น

แต่พวกเขาไม่อาจมองเมินมันไปได้

<นายพูดถูก แต่ถ้านายเอาของพวกนี้ไปเอง… แล้วขึ้นไปล่ะ? ดังนั้นมาสร้างเงื่อนไขกันเถอะ>

ผู้นำคนแรกของสหพันธ์สามแสง เปาเหริน เอ่ยขึ้น

ลักษณะพิเศษของเขาคือ <สนธิสัญญา>

สัญญาจะถูกสร้างขึ้นเมื่อทั้งสองฝ่ายยอมรับ

จากนั้นทั้งสองฝ่ายจะต้องรักษาสัญญานั้นไว้

บทลงโทษนั้นแตกต่างออกไปตามระดับ

หากระดับมันรุนแรง ฝั่งที่ผิดสัญญาก็อาจกระทั่งสูญเสียชีวิตได้

ลักษณะพิเศษที่สามารถใช้ได้เมื่อคนผู้หนึ่งมีความมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเองโดยไร้ซึ่งข้อโต้แย้ง

หากพวกเขาอ่อนแอกว่าศัตรู ลักษณะพิเศษนี้ก็จะกลายเป็นยาพิษแทน

‘เวรเอ้ย ถ้าฉันผิดสัญญา งั้นฉันก็จะตาย’

เขารู้ แม้ว่าเขาจะไม่เห็นมันก็ตาม

โซ่ไร้รูปลักษณ์ที่ได้มัดอยู่ที่หัวใจของเขา

มันอาจจะต่างออกไปในอดีต แต่หัวใจของเขาจะถูกบดขยี้ถ้าเขาผิดสัญญาในตอนนี้

สัญญาก่อนหน้านั้นมีสองสิ่ง

<หนึ่ง รักษาผนึกของอาคุมะเอาไว้จนกว่าจะมีสถานการณ์ที่นายไม่อาจทำได้อีกต่อไปเกิดขึ้นโดยที่ไม่ขึ้นไป>

เสียงตอบรับดังขึ้นจากฝั่งของมิยาโมโตะ

มันไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ

ในเมื่อเป้าหมายแต่เดิมของเขาคือความสงบสุข ไม่ใช่การเติบโต

‘ถึงสถานการณ์ที่ฉันไม่อาจรับมือได้อีกต่อไปจะปรากฏขึ้นก็เถอะ ฉิบหายเอ้ย’

และอย่างที่สอง

<สอง นายจะไม่ใช่สิ่งที่เราทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง และมอบมันให้กับคนที่จะรักษาผนึกกับนาย>

<…>

<ทำไมล่ะ? มันไม่น่ามีปัญหานะจากที่นายพูด>

แน่นอนว่ามันไม่สำคัญ

‘ไอ้พวกโง่’

หมอนั่นอาจจะกำหนดข้อจำกัดไว้แบบนั้นเพื่อที่จะรักษาสมดุลและป้องกันไม่ให้เขาใช้ของพวกนั้น กลายเป็นราชาเขตสีแดง และทำให้ทุกอย่างวุ่นวาย

ในเมื่อสิ่งที่คนพวกนั้นทิ้งเอาไว้มันทรงพลังแบบนั้น

ทำไมพวกนั้นจะทิ้งของกากๆ เอาไว้ในเมื่องานของเขาคือการปกป้องครอบครัวของคนพวกนั้น

แต่พวกเขาไม่รู้ว่าเขามีอีกลักษณะพิเศษหนึ่ง

ลักษณะพิเศษที่เขาปกปิดมันไว้จากทุกคน

<เศษเสี้ยวแห่งเจ็ดวิญญาณ>

เขาสามารถส่งต่อความทรงจำ ข้อมูล สกิล ลักษณะพิเศษ และประสบการณ์ต่อสู้ให้กับผู้อื่นได้มากเท่าที่เขาต้องการ

ส่งต่อได้มากที่สุดเจ็ดคน

มันเป็นเหตุผลให้อีกหกเสี้ยววิญญาณสามารถใช้สกิลระดับสูงที่ยากจะได้รับได้อย่างอิสระ

ในเมื่ออีกหกคนสามารถใช้ได้หากเขามีมัน

แม้ว่าจะแค่เหลือบตามองก็เห็นได้ว่ามันมีประสิทธิภาพกว่าหลายเท่า

‘และอีกอย่างหนึ่งที่ฉันไม่ได้บอกกับใคร’

ตวามลับที่เขาไม่ได้บอกอีกหกเสี้ยววิญญาณ

ถ้าความแตกต่างในระดับของพวกเขาค่อนข้างมาก เขาจะสามารถกระทั่งควบคุมทั้งหกคนได้

ใครจะยอมให้คนอื่นกินข้าวฟรีในโลกแบบนี้กัน?

หกเสี้ยววิญญาณได้รับความสามารถในการต่อสู้ระดับสูงจากเสี้ยววิญญาณของมิยาโมโตะ แต่เขาสามารถควบคุมร่างกายของคนอื่นๆ ได้บ้างด้วยลักษณะพิเศษของเขาหากเขาต้องการ

ดังนั้นแล้วแม้ว่าพวกเขาจะถูกเรียกว่าเจ็ดเสี้ยววิญญาณ มันก็มีความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างมิยาโมโตะและอีกหกคน

ในเมื่ออีกหกคนจะเป็นเพียงทาสหากมิยาโมโตะเป็นเจ้าของ

มิยาโมโตะนำคนที่ดูค่อนข้างมีพรสวรรค์มาและมอบเสี้ยววิญญาณทั้งเจ็ดให้ จากนั้นจึงผลักดันพวกเขาด้วยรูนสกิลหรืออาร์ติแฟคที่แอรีส เคลเดียน เปาเหริน หรือคังเต้ทิ้งเอาไว้

จนถึงจุดที่พวกเขาสามารถควบคุมผนึกของอาคุมะได้ แต่ว่าไม่อาจต่อต้านการควบคุมของเขาได้

หากคนพวกนั้นไปถึงจุดที่สามารถต่อต้านการควบคุมของเขาได้ งั้นแค่นั้นก็สามารถคุกคามเขาได้แล้ว มิยาโมโตะที่ยึดมั่นในความปลอดภัยเป็นหลักไม่อาจปล่อยให้เกิดความเสี่ยงเช่นนั้นได้ และอีกอย่างหนึ่ง

สกิลและอาร์ติแฟคที่อาจคุกคามเขาได้ที่เหล่าผู้ก่อตั้งขั้วอำนาจได้ทิ้งเอาไว้ได้ถูกมอบไว้ให้กับคนผู้หนึ่งและหลบซ่อนมันเอาไว้

ให้กับบุคคลที่ได้รับเสี้ยววิญญาณสุดท้าย

‘ฉันไม่ได้ผิดสัญญา’

เขาไม่ได้ใช้พวกมัน

และเขาได้มอบพวกมันให้กับคนที่ช่วยเขาในการรักษาผนึก

เว้นเสียแต่เขาได้ทำให้คนเหล่านั้นให้อยู่ในจุดที่ไม่อาจคุกคามเขาได้

ในตอนแรก เขาคิดว่าเขาสามารถควบคุมคนพวกนั้นได้ ดังนั้นเขาจึงพยายามผลักดันคนพวกนั้นด้วยเสี้ยววิญญาณ

หากพวกเขาเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง พวกเขาก็จะอยู่ในระดับที่สามารถปฏิเสธการควบคุมของเขาได้

หากเขาไม่อาจใช้พวกมันได้ งั้นคนอื่นก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน

มิยาโมโตะที่จัดการความคิดของตนเอง มองไปยังฮันซูและเอ่ยขึ้นอย่างห้วนๆ

“เริ่มกันเถอะ อย่าทำให้มันยืดเยื้อ ฉันอยากจะทำไอ้งานบัดซบนี่ให้เสร็จให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

พวกเขาต้องรีบเริ่ม เพื่อที่จะทำมันให้เสร็จเร็วๆ

‘ไม่มีความจำเป็นให้ฉันต้องเสี่ยง’

ในกรณีเลวร้าย เขาก็จะมองหาโอกาส หรือกระทั่งเรียกเสี้ยววิญญาณคนอื่นๆ มา ใช้พวกนั้นแทนหน่วยกล้าตายด้วยลักษณะพิเศษที่สองของเขา

ในเมื่ออะไรแบบนั้นมันเป็นไปได้ แม้ว่าการควบคุมคนพวกนั้นนานๆ จะยากก็ตาม

ฮันซูจ้องไปยังมิยาโมโตะก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ออกไปเถอะ ทำตามแผน”

พวกเขาจะตัดเส้นประสาทเส้นที่หนึ่งถึงสี่ และเส้นที่เก้าถึงสิบสอง

จากนั้นพวกเขาจะรวมตัวกันระหว่างกระดูกสั้นหลังที่ห้าและแปดเพื่อเตรียมตัวต่อสู้

แม้ว่าพวกมันจะถูกตัดออก พื้นรอบๆ บริเวณที่เส้นประสาทถูกตัดออกไปก็ไม่ได้หยุดทำงาน

มันก็แค่จะช้าลงและอ่อนแอขึ้น

แต่หากนับถึงขนาดใหญ่โตของมัน งั้นมันก็ยังคงอันตรายอยู่ดี

ไม่ช้า ทุกคนก็แยกตัวออกไปและมุ่งตรงไปยังร่างของอูโรโบรอสด้วยความเร็วสูง

 

 

 

วูบบบบ

ลำแสงสว่างจ้าได้พุ่งขึ้นจากเหนือร่างของอูโรโบรอสที่อยู่ห่างออกไป

จากสถานที่แปดแห่งพร้อมๆ กัน

กร๊อบบบ!

ในเวลาเดียวกัน ต้นไม้โลกก็สั่นสะท้านพร้อมกับเสียงแตกหัก

หรือพูดให้ถูกต้อง มันไม่ใช่ต้นไม้โลก แต่เป็นร่างของอูโรโบรอสที่พันอยู่รอบต้นไม้โลกที่รัดลำต้นใหญ่โตนั้นแน่นขึ้น

มันอาจจะรู้สึกเหมือนถูกเข็มจิ้มเมื่อเทียบกับขนาดของมัน แต่การถูกเข็มจิ้มก็ยังคงเจ็บอยู่ดี

มันกระทั่งดึงศีรษะของมันที่กำลังดื่มน้ำทะเลพิษออกมาจากความเจ็บปวดที่มันไม่ได้รับรู้มาเป็นระยะเวลายาวนานพร้อมกับที่มันเริ่มบิดร่างของมันไปมา

“เวรเอ้ย! อพยพไปที่ระหว่างรากต้นไม้โลก! อพยพ!”

“อ๊ากกก! ปรสิตกำลังร่วงลงมาจากท้องฟ้า”

เมื่ออูโรโบรอสขยับร่างกายของมัน ปรสิตก็ได้ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าราวกับสายฝน

พวกเขาได้ทำให้พื้นที่ต่อสู้เล็กลงและชักนำการต่อสู้ แต่ตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้แล้ว

ไม่สิ พวกเขาจะถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ ถ้าพวกเขาแค่เพียงถูกแตะจากหางของมันขณะที่พยายามรักษาแนวรบเอาไว้

ตอนนี้มันได้กลายเป็นการต่อสู้แบบตัวใครตัวมันแล้ว

ตอนนี้พวกเขาต้องหลบอยู่ระหว่างรากและต่อสู้กับปรสิต

จุงม่ากัดฟันกรอดเมื่อเห็นเช่นนั้น

‘เวรเอ้ย นี่มันคือจุดเริ่มต้น’

เขาได้คิดถึงวิธีการหลบหนีไม่ว่ามันจะเป็นอะไรจนถึงตอนนี้ แต่ตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้แล้ว

และเขากำลังโกรธกับเรื่องนั้นมากกว่าเดิม

ในสถานการณ์ปัจจุบัน ถูกขยับโยกไปมาโดยคนเพียงคนเดียว

และเขาต้องแสร้งทำเป็นมีความสุขและสนับสนุนการกระทำของฮันซู

‘นี่มันน่าหงุดหงิดจริงๆ’

จุงม่าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่

ฮันซูบอกเขาให้หยุดงานของเขา ดังนั้นเขาจึงหยุดมัน

แต่เขาทำแบบนั้นเพราะเขาสนใจคนพวกนั้นอยู่เล็กน้อย

‘ฉันควรจะไประบายอารมณ์สักหน่อย’

รอบกายของเขาเริ่มวุ่นวายมากขึ้นจากปรสิตและอูโรโบรอส

อาจพูดได้ว่ามันเป็นหายนะ

ซึ่งหมายความว่ามันเป็นเวลาที่สมบูรณ์แบบในการโจมตีหมอนั่น

มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนจำนวนหนึ่งจะตายไปในสถานการณ์วุ่นวายแบบนี้

มันไม่มีเหตุผลให้หลงเหลือหลักฐานอยู่เช่นกัน

‘ไหนดูสิว่านายจะมีสีหน้ายังไงหลังจากที่ทุกอย่างจบลง’

จุงม่าหัวเราะเสียงเย็นขณะที่เริ่มส่งข้อความไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง

 

 

น้ำลายของซังจินไหลย้อยออกจากปากเมื่อมาถึงจุดหมายที่อยู่ลึกในต้นไม้โลก

‘หมอนั่นหาสถานที่แบบนี้เจอได้ยังไง…’

ปลายทางแห่งนี้เป็นสมบัติที่ฮันซูได้เอ่ยเอาไว้

อาร์ติแฟคหายากและสกิลรูนที่น่ามหัศจรรย์ที่ไม่ว่าใครก็สามารถบอกถึงความหายากของพวกมันได้ตั้งแต่เหลือบมองครั้งแรก

ซังจินมุ่นคิ้วเล็กๆ ใส่ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีของเหล่านั้นอยู่บนร่าง

‘ใครทำเรื่องแบบนี้…’

ผู้หญิงที่ไร้สติคนหนึ่งถูกตัดแขนขาออกและมีชีวิตอยู่อย่างใกล้จะตายด้วยท่อน้ำแร่ธาตุที่อยู่ในปาก

ซังจินกลืนน้ำลายกับภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีอุปกรณ์ที่แข็งแกร่งสุดๆ อยู่บนร่าง และสกิลรูนจำนวนมหาศาลอยู่บนแขนที่หลงเหลืออยู่เพียงข้างเดียว ทำให้ภาพนั้นดูน่าสงสารขึ้นไปอีก

 


TL: มีคนรนหาที่ตายอีกแล้วล่ะค่ะ