บทที่ 88: อุโรโบรอส (4)

 

 

 

ฮันซูยืนอยู่บนเกล็ดยักษ์พร้อมกับเริ่มดึงพลังงานออกจากภายในร่างกาย

เกล็ดใต้เท้าของเขานั้นขยับไหวไปมาราวขึ้นขณะที่พวกมันกระแทกเข้ากับข้อเท้าของชายหนุ่มราวกับคมมีด

‘… เวรเอ้ย เร็วกว่านี้’

ฮันซูที่รับการโจมตีของอูโรโบรอสด้วยเกราะไร้ลักษณ์ของรีลิคและทหารพันเกราะด้วยอาการขบฟันแน่น เหวี่ยงอาวุธฟาดลงไปยังเกล็ดที่ใต้เท้าพร้อมด้วยพลังจำนวนมหาศาล

ตูมมมม!

การโจมตีของฮันซูสร้างรอยแตกขึ้นบนเกล็ด ฉีกกระชากเนื้อด้านใต้อย่างโหดเหี้ยม

ฉัวะ

เส้นประสาทที่ปรากฏอยู่ระหว่างกระดูกไขสันหลังของมันมีขนาดราวๆ ทะเลสาบแห่งหนึ่ง ทว่าไม่อาจต้านทานพลังมหาศาลที่ชายหนุ่มปลดปล่อยออกมาได้

เมื่อเส้นประสาทขนาดยักษ์เริ่มหลอมละลาย อูโรโบรอสก็เริ่มฟาดร่างของมันเข้ากับต้นไม้โลกราวกับว่ามันกำลังโมโห

เพื่อที่จะกำจัดแมลงที่อยู่บนร่างของมัน

ตูมมม!

เมื่อร่างของมันกระแทกเข้ากับต้นไม้โลก แรงที่ราวกับอุกกาบาตตกลงมาก็ได้ปรากฏขึ้นบนร่างของมัน

‘อึ่ก’

ปรสิตบนร่างของมันได้ร่วงหล่นลงบนพื้นด้านล่างราวสายน้ำ

แรงที่มันใช้ในการฟาดร่างนั้นทำให้ฮันซูคิดถึงการตัดสินใจที่เสร็จสิ้นไปแล้วก่อนหน้า

‘ฉันควรจะเอามันมาเองรึเปล่า’

ชายหนุ่มคิดถึงสิ่งที่ซังจินน่าจะครอบครองไปหมดแล้วในตอนนี้

คนอื่นๆ อาจจะไม่รู้ แต่ฮันซูรู้ว่ามิยาโมโตะนั้นมีลักษณะพิเศษเป็นเศษเสี้ยววิญญาณทั้งเจ็ด

เมื่อเหยื่อของลักษณะพิเศษนี้ โซเฟีย วาจีร่า ได้บอกเขาหลังจากที่เธอขึ้นมา

<เขาเป็นไอ้สารเลว เราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับมันและมักจะรู้สึกขอบคุณเขาอยู่เสมอ>

โซเฟีย วาจีร่า

หนึ่งในเจ็ดเสี้ยววิญญาณ

และคนที่ค้นพบเสี้ยววิญญาณคนสุดท้ายที่ถูกแอบซ่อนไว้อย่างสิ้นหวัง

โซเฟียค้นพบสมบัติของมิยาโมโตะ และเข้าใจทุกอย่าง

จากนั้นเธอจึงได้ฆ่าผู้หญิงคนนั้นที่รวบรวมแรงที่เหลือน้อยนิดในการขอร้องให้หญิงสาวฆ่าเธอ นำทุกอย่างไป และทำลายการควบคุมของมิยาโมโตะก่อนจะปีนขึ้นไป

คังเต้ที่ได้ยินเรื่องนี้กัดฟันกรอดพร้อมกับเอ่ยขึ้น

<เจ้าของสิ่งพวกนั้นคือพวกเรา เมื่อนายกลับไปยังอดีตจงไปเอาพวกมันมาซะ มิยาโมโตะ ไอ้เวรนี่… เราเอาของพวกนั้นให้มันเพื่อให้มันใช้อย่างเหมาะสม>

เขารู้สถานที่ซ่อนสมบัติของมิยาโมโตะเพราะแบบนี้

ของที่เหล่าผู้คนที่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะสร้างหกขั้วอำนาจทิ้งเอาไว้เบื้องหลังพร้อมกับบอกให้เขาปกป้องครอบครัวของพวกเขา

ของที่มิยาโมโตะคิดว่ามันอันตรายที่สุด และได้ซ่อนมันเอาไว้

แน่นอนว่ามูลค่าของมันมากอย่างน่าประหลาดใจ

เมื่อมันได้ทำให้โซเฟีย ผู้ที่มีพรสวรรค์แต่ขึ้นมาช้า สามารถกลายเป็นหนึ่งในกองพันสุดท้ายได้

ของที่ยากที่จะครอบครองแม้ว่าจะขึ้นไปข้างบน เมื่อพวกมันคือสิ่งที่สามารถเติบโตได้

และหนึ่งในนั้นเป็นของที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาทั้งหมด

<เวรเอ้ย! ถ้าฉันรู้ว่ามันมีสกิลแบบนั้น งั้นฉันก็คงไม่เอามันให้! ฉันคิดว่าจะมีคนที่ดีกว่านี้ขึ้นมาที่นี่!>

คังเต้ได้รับสกิลระดับเลขตัวเดียวในขณะที่เดินทางอยู่ในบทฝึกซ้อมและเขตสีแดงอย่างคาดไม่ถึง

ฮันซูที่คิดถึงสกิลนั้นมองไประหว่างรากที่ได้ตกอยู่ในความโกลาหล

 

 

คว้างง

เคล รอส หนึ่งในลูกกิลด์ของฮีคาริมคิดถึงคำสั่งที่เขาได้รับมา

<ฆ่าไอ้คนที่เหลือจากการปะทะกันในระหว่างรากที่สี่กับห้าเมื่อวานให้หมด แล้วก็ฆ่าพวกหน้าใหม่ที่มีความสัมพันธ์กับพวกเราที่เราใช้เมื่อวานด้วย>

ตัวหน้าที่นั้นง่ายดาย

ในเมื่อทีมแกะรอยทั้งสิบห้าทีมได้ถูกส่งออกไปเพื่อฆ่าเด็กใหม่แค่ไม่กี่คน

แต่สภาพแวดล้อมคือสิ่งที่เป็นปัญหา

‘แม่งเอ้ย ฉันกำลังทำอะไรอยู่ ทั้งๆ ที่แค่รักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ก็ยากพอแล้ว’

เคลที่กำลังค้นหาเป้าหมายด้วยตนเองมุ่นคิ้วเมื่อเขาเห็นปรสิตร่วงลงมาจากท้องฟ้า

‘เป็นแบบนี้ไม่ได้ อย่างน้อยฉันควรจะทำอะไรสนุกๆ สักหน่อยเมื่อฉันเจอพวกนั้นแทนที่จะฆ่าไปเลย’

นอกจากนั้น ผู้หญิงเอเชียที่ชื่อมิฮีเองก็ขึ้นชื่อในเรื่องความสวย

ถ้าพวกนั้นคือเด็กใหม่ งั้นพิษจากอีกโลกคงจะยังไม่หลอมรวมเข้ากับร่างกาย

มันคงจะสนุกถ้าเขาจะเล่นกับเธอ

เขาพบเป้าหมายของเขาห่างออกไปหลังจากที่วิ่งไปสักพัก

จากนั้นเขาจึงแสดงสีหน้าแปลกประหลาดออกมา

‘หือ? ยังไม่มีใครเจอพวกนั้นเลยเหรอ?’

ที่นี่ไม่ใช่เขตของเขา ดังนั้นแล้วเขาจึงคิดว่าคนอื่นๆ ได้เจอพวกนั้นไปแล้วและกำลังสนุกกับคนพวกนั้นอยู่

แต่ผู้หญิงที่ชื่อมิฮียังคงวิ่งไปมารอบๆ สนามรบพร้อมกับคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งเพื่อหาทางเอาชีวิตรอด

‘ดวงฉันดีจริงๆ’

ในตอนที่เคลหัวเราะและกำลังจะวิ่งตรงไปนั้น เขาก็รู้สึกถึงความหนาวเยือกที่แล่นไปตามไขสันหลัง

มันเป็นเวลาสี่ปีแล้วที่เขามายังอีกโลก

เคลรู้แม้ว่าจะไม่มีสกิลที่เกี่ยวข้อง ว่าหากเขาเมินเฉยต่อความรู้สึกนี้ คอของเขาก็จะหลุดออกจากบ่า

สีหน้าของเคลแข็งค้างขณะที่เขามองไปยังสถานที่ที่เป็นต้นกำเนิดความรู้สึกนั้น ไม่ใช่มิฮี

จากนั้นเขาจึงหัวเราะออกมา

‘พระเจ้า การรับรู้ของฉันมันจะสนิมเกาะไปหน่อยแล้วมั้ง?’

เขารู้จักไอ้โง่ตรงนั้นค่อนข้างดี

เมื่อหมอนั่นคือหนึ่งในเป้าหมายของเขาในคราวนี้

‘เขาชื่อว่าซังจินรึเปล่า?’

คนที่มีผ้าขี้ริ้วห่ออยู่ทั่วร่างและกำลังมองมายังเขาด้วยสีหน้าเย็นชา

เคลที่รู้สึกหงุดหงิดจนถึงจุดที่เขาไม่ต้องการแม้แต่จะเปิดปากชักมีดสั้นออกมา กัดนิ้วก้อยของเขาและนำเลือดที่ไหลออกมาเขียนตัวอักษรหนึ่ง

จากนั้นเขาจึงขว้างมันไปยังซังจิน

เลือดบนมีดสั้นนั้นสร้างสัญลักษณ์แปลกประหลาดขึ้นบนอากาศ

วินาทีที่มีดสั้นแปลกประหลาดนั้นไปอยู่ที่เบื้องหน้าของซังจิน ลูกบอลทรงกลมกว้างสองเมตรก็ได้ปรากฏขึ้นโดยที่มีซังจินเป็นจุดศูนย์กลาง

จากนั้นมันจึงบีบอัดทุกสิ่งลงให้กลายเป็นจุดเล็กๆ จุดหนึ่ง

วูบบบบ!

เคลแสดงสีหน้าพึงพอใจเมื่อบริเวณที่ควรจะเป็นศีรษะนั้นได้ถูกทำลาย

‘นั่นแหละ’

แต่เคลก็ต้องมุ่นคิ้ว

เมื่อบางอย่างได้พุ่งผ่านม่านฝุ่นออกมา

ความตื่นตัวของเคลระเบิดออกทันทีที่เขาเห็นซังจิน

เขาทำได้แค่นั้น

ทุกคนทำได้เพียงระแวดระวังเมื่อพวกเขาเห็นอาร์ติแฟคบนร่างของอีกฝ่าย

และโดยเฉพาะเมื่อพวกมันไม่แม้แต่จะมีรอยขีดข่วนเมื่อถูกโจมตีโดย <บอลบีบอัด> ของเขา

‘ไอ้ฉิบหายเอ้ย!’

เคลรีบสาดสกิลจำนวนมากออกไปขณะที่เขาล่าถอย ทว่าเขาไม่อาจหลบการโจมตีของอีกฝ่ายได้เมื่อดาบยาวของซังจินฟันมาที่เขา

‘เวรเอ้ย หมอนี่ไปเอาอาร์ติแฟคพวกนี้มาจากไหน… จะยังไงฉันก็ต้องเตรียมตัวรับการโจมตีต่อไป…’

ในขณะที่เคลกำลังหงุดหงิดและเตรียมรับการโจมตีระลอกต่อไป เขาก็มองไปยังซังจินที่ไม่ได้ไล่ตามเขามาอีกและแสดงสีหน้างุนงง

ทำไมหมอนั่นถึงไม่พุ่งเข้ามาโจมตีเขา?

‘ไอ้พวกกระจอกก็ททำได้แค่นี้สินะ’

เคลหัวเราะเย็นเยียบ

หมอนั่นควรที่จะลอบโจมตีเขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ทำแบบนั้นเพราะความกลัว

เคลที่กระโดดลงบนพื้นพร้อมกับหัวเราะรู้สึกว่าภาพเบื้องหน้าเริ่มเอนเอียงไปขณะที่เขาล้มลง

หรือพูดให้แม่นยำ ไม่ใช่ภาพเบื้องหน้า แต่เป็นตัวเขาที่ล้มไปข้างๆ

“หืม? หืมมม?”

เคลที่หวาดกลัวได้ตรวจสอบร่างกายของเขาก่อนจะแสดงสีหน้าเหลือเชื่อออกมาเมื่อเห็นขาขวาที่กลิ้งออกไป ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้าน

‘ไม่มีทาง! ฉันแค่ถูกมันถากๆ!’

จากนั้นเขาจึงตกลงสู่ความสิ้นหวังเมื่อเห็นมานาสีม่วงที่กำลังกลืนกินร่างกายของเขา

จากนั้นเขาจึงตระหนักได้

ว่าทำไมเขาถึงเจอยายเด็กมิฮีเป็นคนแรก

มันไม่ใช่ว่าเขาพบเธอเป็นคนแรก

คนที่เจอก่อนเขาได้เผชิญชะตากรรมเดียวกัน

‘เวรเอ้ย…’

เคลปิดเปลือกตาลงขณะที่มองไปยังดาบที่พุ่งตรงมายังลำคอของเขา

 

 

 

‘ทิ้งของแบบนั้นเอาไว้…’

ฮันซูพึมพำขณะที่เขาคิดถึงสกิลที่คังเติทิ้งเอาไว้

ความจริงแล้ว รางวัลของมิยาโมโตะค่อนข้างน่าอึดอัดสำหรับเขา

เมื่อพวกมันไม่มีประโยชน์สำหรับเขาที่ใช้รีลิคมากนัก

และสกิลที่มีคุณภาพสูง ทว่าไม่ดีพอสำหรับเขาที่สามารถเรียนรู้สกิลได้เพียงเจ็ดอย่าง

ทว่ามีสิ่งหนึ่ง สิ่งนั้นมันต่างออกไป

<เจ้าแห่งความตาย>

สกิลหมายเลขเดี่ยวที่ทำให้ผู้ครอบครองสามารถปลุกคนที่เขาฆ่าขึ้นมาเป็นผีดิบได้ในยามค่ำคืน และใช้สกิล <ความตาย> ในเวลากลางวัน

หมายเลขเดี่ยวนั้นเป็นบางอย่างที่ถูกตัดสินขึ้นหลังจากที่มันไปยังเขตสีม่วง

ดังนั้นแล้ว คังเต้จึงไม่รู้ว่าสกิลนั้นดีมากแค่ไหนเมื่อพบมันที่เขตสีแดง

ไม่สิ จริงๆ แล้วหมอนั่นได้รับอาร์ติแฟคและสกิลมาอย่างง่ายดายจนหมอนั่นรู้สึกว่าสกิลที่ดีกว่านี้จะออกมา ดังนั้นแล้วหมอนั่นจึงทำแค่ทิ้งอันที่แย่ที่สุดที่มีเอาไว้

สกิลที่ถูกสร้างขึ้นจากดวงที่ไม่อาจหัวเราะเยาะได้

สกิลนี้เป็นสิ่งที่กระทั่งเขาเองก็ไม่อาจมองเมินมันได้

แต่ฮันซูส่ายศีรษะ

‘มันไม่ใช่… สิ่งที่ฉันจะใช้’

มันไม่เหมาะที่จะให้เขาใช้เพราะมันเป็นสิ่งที่ใช้กับมนุษย์

ไม่สิ เพื่อที่จะใช้มันได้ เขาต้องเพิ่มจำนวนคนที่เขาฆ่าขึ้นจำนวนมหาศาล

เมื่อความสามารถที่แท้จริงของมันจะปรากฏขึ้นในเวลากลางคืน

หากมันสามารถปลุกชีพคนตายได้แม้แต่ในเวลากลางวัน งั้นระดับของสกิลก็คงจะมากกว่านี้

จะยังไง มันก็จะกลายเป็นสิ่งที่ประกาศว่าเขาเป็นพวกที่ฆ่ามนุษย์ด้วยกัน

‘มันจะวุ่นวาย’

และเพราะแบบนั้น เพื่อที่จะเอามันคืน เขาต้องมอบมันให้กับเอนบิ เอริน ที่เขาจะชักชวนให้มาเป็นผู้พิพากษาในเขตสีส้ม หรือคนอื่นๆ

ในเมื่อเป้าหมายหลักของสถานที่แห่งนี้คือห้าภัยพิบัติ และในเมื่อมันมีโอกาสในการปะทะกับมนุษย์มากกว่าที่ด้านบน

แต่เขาได้รับผู้พิพากษามาแล้วหนึ่งคน และมันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของแผนเขา และหมอนั่นก็ทำได้ค่อนข้างดี ดังนั้นมันจึงดีกว่าที่เขาจะใช้มันในตอนนี้และเลี้ยงดูหมอนั่น

‘ถ้าฉันสร้างเขาขึ้นมาดีๆ ตั้งแต่ตอนนี้ งั้นเขาก็จะดีกว่าเอนบิ เอริน จะยังไงฉันก็ควรจะทำในสิ่งที่ต้องทำ’

กิ้งงง

พลังงานที่ทรงพลังในมือของฮันซูทะลุทะลวงเข้าไปในเส้นประสาท

ราวกับทะเลสาบขนาดยักษ์ที่แห้งเหือดจากเปลวเพลิงที่ทรงพลัง คลื่นมานาที่ออกมาจากมือของฮันซูได้หลอมละลายเส้นประสาทลง

ครืดดดด

‘เสร็จแล้ว’

เมื่อเส้นประสาทที่หนึ่งที่เขารับผิดชอบถูกทำลาย ฮันซูก็รีบส่งพิราบสื่อสารสีแดงออกไปเพื่อสื่อสารว่าเขาทำหน้าที่เสร็จแล้ว

พั่บ พั่บ พั่บ

พิราบสื่อสารตัวแล้วตัวเล่าเริ่มที่จะบินมาจากสถานที่ห่างออกไปนับกิโล

ซึ่งหมายความว่าทุกคนทำหน้าที่ส่วนของตนเองเสร็จสิ้นแล้ว

‘ดี’

ตอนนี้มันก็จะอันตรายยิ่งขึ้น

เมื่อพวกเขาจะต้องข้ามผ่านร่างของอูโรโบรอสที่เคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่งและทำลายเส้นประสาทที่เหลืออีกสี่เส้นลง

ตูมมม!

ฮันซูมองไปยังร่างขนาดยักษ์ที่อาละวาดไปรอบๆ ขณะที่เขาหลบซ่อนอยู่ระหว่างเกล็ดของมัน

แรงที่ราวกับการโจมตีของเผ่าพันธุ์ในอบิสได้กระแทกเข้าที่ร่างของชายหนุ่ม

มันคงจะอันตรายถ้าหากเขาไม่ได้หลบอย่างรวดเร็ว

‘อย่างที่คิด… แรงของมันเยอะมาก มันเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุด’

หากพวกเขาไม่ได้ทำลายเส้นประสาทแปดเส้นลงในเลาเดียวกัน มันก็จะรวดเร็วกว่านี้จะอันตรายยิ่งกว่านี้

มันช้าลงมาก แต่ก็ยังคงมีพลังและความเร็วที่ทรงพลัง

‘เร็วเข้า… เราต้องทำลายอีกสี่เส้นที่เหลือ’

เขาต้องการที่จะเข้าไปในร่างของมัน แต่มันจะใช้เวลานานเกินไปสำหรับเขาในการที่จะทะลวงผ่านเกล็ดชั้นในที่แข็งแกร่งและชั้นกล้ามเนื้อที่หนากว่าร้อยเมตร

ต้นไม้โลกอาจจะถูกทำลายลงจากการอาละวาดของอูโรโบรอส

‘ไม่มีวัน’

ฮันซูกัดฟันกรอด จากนั้นจึงหลบเกล็ดที่ถาโถมเขามาเพื่อที่จะหั่นเขาเป็นชิ้นและเริ่มที่จะออกวิ่ง

 

 

‘แฮ่ก แฮ่กกก’

โซเฟียที่ทำลายเส้นประสาทลงได้อย่างยากลำบากกัดฟันกรอด

เธอถูกส่งมาที่บริเวณที่ปลอดภัยที่สุดเพราะเธออ่อนแอที่สุด

ถ้าตำแหน่งของฮันซูคือปลายหาง สถานที่ที่รวดเร็วที่สุด งั้นตำแหน่งของเธอก็คือโคนหาง สถานที่ที่เชื่องช้าที่สุด

ทว่าทั่วทั้งร่างของเธอกลับรู้สึกราวกับจะถูกฟาดจนเละจากอูโรโบรอสที่กำลังอาละวาด

‘ฉันจำเป็นต้องยืมพลัง’

โซเฟียใช้เศษเสี้ยววิญญาณที่มิยาโมโตะมอบให้เธอ เธอแทบจะไม่ได้ใช้มันเพราะศักดิ์ศรีของเธอ

กิ้งงง

ทันใดนั้น สกิลป้องกันแปดชนิดก็ได้ปรากฏขึ้นบนร่างของหญิงสาว

โซเฟียที่ตรวจสอบสภาพร่างกายของตัวเองที่ค่อนข้างปลอดภัย คิดถึงฮันซูที่อยู่ห่างออกไปก่อนจะแสดงสีหน้าขมขื่น

‘เวรเอ้ย ฉันก็คงแข็งแกร่งขึ้นเหมือนกันถ้าฉันขึ้นไป… ฉันไม่ควรที่จะมายุ่งกับมิยาโมโตะก่อนหน้านี้’

สิ่งที่โซเฟียนับเป็นทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งของตนเอง

เธอเป็นคนที่ชอบการแข่งขันอย่างมาก

เธอตอบรับข้อเสนอของมิยาโมโตะตรงๆ เมื่อเธอได้ยินว่าเธอจะสามารถแข็งแกร่งขึ้น แต่ราวกับว่าโลกบี้กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีสิ่งใดได้มาโดยเปล่าๆ การต่อต้านคำพูดของมิยาโมโตะได้กลายเป็นสิ่งที่ยากขึ้นเรื่อยๆ

<ขึ้นไป? ฉันให้เธอทำแบบนั้นไม่ได้ เธอต้องดูแลอาคุมะที่นี่>

เธอสามารถมีชีวิตอยู่อย่างภาคภูมิใจว่าไม่มีผู้ใดสามารถแข็งแกร่งเทียบเท่าเธอได้เป็นเวลาสามปี ทว่าฮันซูที่ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่นี้ได้จุดไฟในตัวเธอขึ้นอีกครั้ง

‘ฉัน… ฉันแข็งแกร่งได้กว่านี้’

เธอโซเฟียส่ายศีรษะและโยนความคิดเหล่านี้ทิ้งไป

นี่ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องแบบนี้

พวกเขาต้องฆ่าอูโรโบรอสให้เร็วที่สุด

เมื่อเธอเองก็ต้องการให้คนตายน้อยที่สุด

เธอไม่ได้โง่จนถึงจุดที่เธอตามืดบอดและถูกความต้องการแข่งขันกลืนกิน

โซเฟียขบฟันแน่น ใช้สกิลจากเศษเสี้ยววิญญาณที่มิยาโมโตะมอบให้พร้อมกับเริ่มออกวิ่ง

เศษเสี้ยววิญญาณนั้นค่อยๆ กลืนกินร่างของโซเฟียอย่างเชื่องช้า