บทที่ 85 การตายของจ้าวอี้เปย

รถฮัมเมอร์ H2 ของเย่เฟิงวิ่งแหวกอากาศมาด้วยความเร็วสูงก่อนจะหยุดที่ทางแยก

ที่ทางแยกโหมวจิ้นเฉียงแสดงสีหน้าราวกับว่ามาดักรอพวกเขาอยู่แล้ว  เย่เฟิงเห็นเช่นนั้นก็เข้าใจทุกอย่างในทันที  เขาเดาว่ามีคนจับตาดูพวกเขาอยู่เมื่อพวกเขาออกจากเมืองหลินเจียง  แล้วไปรายงานแก่ตระกูลมังกร

หลงโม่หรานไม่ใช่คนโง่  สำหรับเขาแล้วง่ายมากที่จะเดาได้ว่าบุรุษหน้ากากและหลงหวานเอ๋อร์จะต้องมีอะไรกันบางอย่าง  เขาจึงสั่งให้ตั้งจุดตรวจเพื่อยืนยันข้อสงสัยของเขา  และชัดเจนเลยว่าสิ่งที่เขาเดาไม่ได้แปลกแต่อย่างใด

“ลงมา”

โหมวจิ้นเฉียงกล่าวอย่างดุดันพร้อมทั้งโบกมือไปมา “พวกคุณต้องสงสัยว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับฆาตกรรมต่อเนื่อง  ช่วยให้ความร่วมมือในการตรวจค้นด้วย!”

ชายหน้าบากและจ้าวอี้เปยได้ยินดังนั้นก็หันมามองที่เย่เฟิงอย่างรอการตัดสินใจ

“ลงรถเถอะ”

สีหน้าของเย่เฟิงยามนี้บิดเบี้ยวยิ่งนัก  ด้านหนึ่งแก๊งอสรพิษสวรรค์กำลังมีเรื่องทรยศมาให้ปวดหัว  อีกด้านหนึ่งซูเหมิงหานก็อาจเป็นอันตรายได้ทุกขณะ  ในช่วงเวลาวิกฤตแบบนี้ยังมาเจอจุดตรวจงี่เง่านี่อีก  ช่างน่ารำคาญจริงๆ

แต่ต่อหน้าตำรวจฝ่ายปราบอาชญากรรมมากมายเขาจะใจร้อนได้อย่างไร  เขาต้องใจเย็น ต้องนึกถึงกฎหมาย และจะประมาทไปไม่ได้  ยิ่งไปกว่านั้นตัวตนของเขาที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์จะต้องไม่เปิดเผยออกมาไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม

คนทั้งสามทยอยลงจากรถทีละคน  ตำรวจกองปราบรีบตรงเข้ามาตรวจค้นตามคำสั่งของโหมวจิ้นเฉียง

แต่ตอนนั้นเองมีบางอย่างน่าสงสัย  จ้าวอี้เปยใจกระตุก หัวใจของเขาเต้นรัว ในมุมของเขาเขามองเห็นบางอย่างได้อย่างชัดเจน  คล้ายๆ เป็นเงาสะท้อนของดวงอาทิตย์ในพงหญ้าที่เขียวชอุ่มข้างทางหลวง

“แย่แล้ว!”

จ้าวอี้เปยตะโกนออกมา  พร้อมกับก้าวเท้าอย่างรวดเร็วแล้วกระโดดเข้าไปยืนขวางหน้าเย่เฟิงเอาไว้

ปัง!

เสียงปืนแผดดังกึกก้อง ตามด้วยเลือดสาดกระจายจากหน้าผากของจ้าวอี้เปย  ฉากสยดสยองที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ทุกคนในบริเวณนั้นช็อคอย่างแรง  รวมทั้งเย่เฟิงด้วย

มีบางคนต้องการซุ่มยิงเย่เฟิง  แต่จ้าวอี้เปยเห็นเสียก่อนจึงกระโดดเข้าขวาง!

กระสุนนัดนั้นโดนเข้าที่หน้าผากเต็มๆ จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จ้าวอี้เปยจะรอดชีวิต  ชายหน้าบาก โหมวจิ้นเฉียง เย่เฟิง และตำรวจฝ่ายปราบปรามอาชญากรรมหลายนายที่อยู่บริเวณนั้นได้แต่มองเขาล้มลงไปบนพื้นอย่างช้าๆ หลังจากโดนยิง

ส่วนเย่เฟิงนั้นทันทีที่เห็นเลือดสาดกระจายออกมาจากหัวของจ้าวอี้เปย  ภาพต่างๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัว  ย้อนไปตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาได้พบกับเด็กหนุ่มร่างสูงผู้นี้ที่ได้เตือนสติให้เขาหายโง่งมจากอาการหึงหวงของซูเหมิงหาน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและซูเหมิงหานดีขึ้น

ชายหนุ่มผู้นี้ยังนับถือเขาอย่างยิ่งหลังจาก ทริปหลางฝาง  นอกเหนือจากนั้นเย่เฟิงยังเข้าใจดีว่าชายหน้าบากส่งจ้าวอี้เปยมาเพื่อคุ้มครองตัวเขา

แต่เด็กหนุ่มวัยรุ่นรูปหล่อผู้เต็มไปด้วยชีวิตชีวากลับต้องมาจบชีวิตลงในสถานที่แบบนี้!

“แก….รนหาที่ตาย!”

โหมวจิ้นเฉียงต้องเป็นคนสั่งการสไนเปอร์แน่ๆ  ความคิดนี้พลันวิ่งเข้ามาในหัว ปลดสลักระเบิดความโกรธของเย่เฟิงในทันที ความสงบนิ่งใจเย็นหายไปจากดวงตา  คนผู้นี้ข่มขู่ผู้คนไปทั่วยังพออภัยได้ แต่การตายของจ้าวอี้เปย เขาจะไม่ยอมปล่อยไปเด็ดขาด!

ชายหนุ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเข้าไปรวบคอโหมวจิ้นเฉียงเอาไว้และบีบมันด้วยสองมือ  สำหรับเขาแล้วจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฆ่ามันให้ตาย

ทันใดนั้นเสียงตะโกนของหัวหน้าชุดกองปราบดังขึ้นจากอีกฝั่ง “มีพลซุ่มยิง! คุ้มกันผู้กำกับ! ทุกคนหาที่กำบัง…!”

ขณะที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา  เย่เฟิงมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็วโดยไม่ยอมเสียเวลาแม้วินาทีเดียว

เขาเคลื่อนที่เร็วมากจนหัวหน้าชุดสอบสวนไม่สามารถรู้ได้เลยว่าผู้กำกับการสำนักงานตำรวจเมืองเหยียนจิงถูกจับตัวไปแล้ว  อย่างไรก็ตามเป็นที่แน่นอนแล้วว่าสไนเปอร์ข้างทางนั้นไม่ได้เป็นแผนหนึ่งของตำรวจพวกนี้

ด้วยไหวพริบของเขา เย่เฟิงจับตัวโหมวจิ้งฉางไว้ด้านหน้า  เพื่อป้องกันตัวเองหากสไนเปอร์จะยิงเขาอีกครั้ง

อย่างแรก ระดับวรยุทธ์ของเขานั้นน้อยกว่า 10 ปี อย่างที่สอง เขายังฝึกทักษะ ‘สืบวิญญาณ’ไม่ได้ และอย่างสุดท้าย เขาต้องปกปิดเรื่องวรยุทธ์และห้ามไม่ให้ใครรู้ ด้วยข้อจำกัดมากมายเหล่านี้ เย่เฟิงไม่รู้ว่าตัวเขาถูกสไนเปอร์เล็งอยู่หรือไม่

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ชายหนุ่มจะหาคนกำบังได้แล้ว แต่มันก็ยังยากที่จะจับตัวสไนเปอร์คนนั้นได้

จนถึงเวลานี้ เหล่าตำรวจมากมายหันมองไปทั่วเพื่อหาตัวผู้กำกับการที่ถูกเย่เฟิงลักพาตัวไป เหตุการณ์นี้ทำให้พวกเขามึนงงไปชั่วครู่ว่าเหตุใดเจ้าหนุ่มนี่ถึงเร็วนัก?

“อี้เปย!”

ชายหน้าบากร้องเสียงหลง เมื่อเห็นน้องชายของภรรยาเก่าต้องมาตายแบบนี้ นี่ทำให้น้ำตาของเขาไหลนองทันที

ชายหน้าบากรีบวิ่งเข้าไปคว้าของจ้าวอี้เปยที่นอนอยู่บนพื้นขึ้นมากอดไว้แน่น พร้อมกับเขย่าตัวชายหนุ่มเพื่อหวังว่าเขาจะตื่นขึ้นมา แต่เมื่อเห็นว่าจ้าวอี้เปยไม่มีปฏิกิริยาอะไรแล้ว ชายหน้าบากรีบหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อโทรไปยัง 120 เพื่อขอความช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม ทุกๆคนรู้ว่าชายหนุ่มคนนั้นถูกยิงเข้าที่หน้าผาก ดังนั้นตอนนี้ เขาไม่มีทางรอดชีวิตและแม้แต่เง็กเซียนฮ่องเต้ก็ช่วยเขาไม่ได้แล้ว

เวลานี้ ตำรวจส่วนใหญ่ยุ่งอยู่กับการหาที่กำบัง โดยซ่อนตัวหลังรถตำรวจและรถฮัมเมอร์ของชายหน้าบาก เพราะกลัวถูกยิงเหมือนกับชายหนุ่มคนนั้น

ขณะเดียวกัน ตำรวจอีกหลายนายก็ล้วงเอาปืนพกขึ้นมา แล้วเล็งไปยังเย่เฟิง หากเกิดอะไรขึ้นกับผู้กำกับโหมว พวกเขาจะเปิดฉากยิงเย่เฟิงทันที

สำหรับพวกเขาแล้ว ปฏิกิริยาเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติมาก เพราะอย่างแรก เย่เฟิงเคลื่อนที่ได้รวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ จนพวกเขาไม่อาจเข้าไปช่วยโหมวจิ้นเฉียงได้ และอย่างที่สอง การคุกคามของสไนเปอร์นั้นมีมากมายอย่างยิ่ง จนเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าไปจับตัวสไนเปอร์ที่หลบซ่อนตัวอยู่

คำสั่งที่ได้รับมอบหมายมาคือแค่จับตัวเย่เฟิงและอีกสองคนที่เหลือเท่านั้นเพื่อพาพวกเขาไปยังสถานีตำรวจ ใครจะคิดว่าอยู่ๆจะมีสไนเปอร์ปรากฏตัวขึ้นมา แล้วมันคิดจะเอาชีวิตเด็กหนุ่มคนนั้นงั้นหรือ?

“เย่เฟิง ปล่อยฉันซะ!”

โหมวจิ้นเฉียงที่ถูกเย่เฟิงจับตัวโดยการคว้าลำคอเอาไว้อยู่ ถึงแม้ว่าว่าเขาจะรู้สึกอึดอัด แต่ก็ยังคงพยายามพูดออกมา

“หึ ตามผมมา”

เย่เฟิงเห็นชันเจนว่าตำรวจเหล่านั้นไม่มีทางไปจับตัวสไนเปอร์อย่างแน่นอน เพราะพวกมันกลัวว่าจะจับตัวชายหนุ่มไม่ได้ ดังนั้น เย่เฟิงจึงพาร่างของโหมวจิ้นเฉียงไปด้วย ด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า เขาเคลื่อนที่ไปยังที่ๆสไนเปอร์หลบซ่อนตัวอยู่ ซึ่งชายหนุ่มรับรู้ได้จากการที่มันยังคงพยายามยิงใส่ตัวเขา

มันเป็นไปไม่ได้ 100% สำหรับคนธรรมดาที่จะพาร่างของโหมวจิ้นเฉียงซึ่งหนักราว 160-170 ปอนด์เคลื่อนที่ไปด้วยแม้แต่เพียงครึ่งนิ้ว แต่นี่เป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่งสำหรับเย่เฟิง

ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว แต่เย่เฟิงก็ไม่ได้จะพุ่งตัวไปด้วยทักษะ ย่างก้าวไร้เงา เพราะเขาไม่ต้องการให้โหมวจิ้นเฉียงรู้ว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช้ทักษะเซียน ความเร็วของเขาก็ยังเร็วมากกว่าคนทั่วไป

เมื่อกลุ่มตำรวจเห็นเย่เฟิงวิ่งเข้าไปในสนามด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อพร้อมกับพาผู้กำกับโหมวไปด้วย พวกเขาก็พลันตัวแข็งถือ เจ้าเด็กนี่ใช่มนุษย์จริงหรือ

หลังจะหลบหลีกกิ่งไม้ใบหญ้าอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเย่เฟิงก็สามารถเข้าพงหญ้าและพบว่ามีร่องรอยของคนซึ่งเคยนอนอยู่ตรงนี้ อย่างไรก็ตาม สไนเปอร์คนนั้นได้วิ่งหนีไปแล้ว แต่กลับทิ้งร่องรอยเอาไว้มากมาย

“คิดจะหนีงั้นรึ? อย่าหวังเลย”

เย่เฟิงเค้นเสียงและล่วงเอามีดออกมา ทันใดนั้น เขากรีดไปที่ลำคอของโหมวจิ้นเฉียง ซึ่งทำให้ผู้กำกับโหมวคนนี้สิ้นสติทันที

หลังจากนั้น ตามแผนของเขา ชายหนุ่มใช้ทักษะย่างก้าวไร้เงาพร้อมกับพาของไร้สติของโหมวจิ้นเฉียงไปด้วย และในพริบตา ความเร็วของเย่เฟิงสูงขึ้นอย่างยิ่งยวด ซึ่งทำให้เขาสามารถค้นหาตัวสไนเปอร์ได้อย่างไม่ยาก

และในที่สุด เขาก็พบตัวมันแล้ว!

ห่างออกไปหนึ่งกิโลเมตร มีชายร่างกายกำยำคนหนึ่งในชุดอำพรางอยู่ที่นั่น ซึ่งมันกำลังพยายามหลบหนีไปทางอุโมงค์ โดยเพียงแค่สองถึงสามนาที สไนเปอร์คนนั้นสามารถวิ่งไปไกลได้ถึงหนึ่งกิโลเมตร ยิ่งกว่านั้นมันยังขุดอุโมงค์เตรียมไว้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประสบการณ์ในการลอบสังหารของชายคนนั้นสูงยิ่ง

น่าเสียดายที่เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เฟิงแล้ว ทุกๆสิ่งนั้นล้วนไร้ค่า

“กัวลา กัวลา?”

ชั่วขณะที่ชายร่างกำยำมองเห็นเย่เฟิงวิ่งเข้ามาหามันพร้อมกับพาร่างของคนๆหนึ่งมาด้วย มันก็รู้สึกราวกับเห็นผี นี่มันเห้อะไรกันว่ะ

ชายคนนั้นไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าเหตุใดเย่เฟิงถึงตามมันมาได้รวดเร็วขนาดนี้

“แกพูดจีนได้ไหม? ใครเป็นคนส่งแกมา?”

เย่เฟิงถามเสียงเย็น พร้อมกับระดมต่อยหมัดใส่หน้าของมัน ผลก็คือชายคนนั้นล่วงลงไปนอนกับพื้นพร้อมกับเลือดกบปาก

“กัวลา…….กัวลา………”

ชายคนนี้พูดภาษาที่แปลกมากซึ่งน่าจะเป็นภาษาชาติอื่น แต่น่าเสียดาย ทักษะภาษาอังกฤษของเย่เฟิงนั้นห่วยแตกสิ้นดี เขาจึงไม่อาจเข้าใจได้

แต่ขณะที่เย่เฟิงกำลังขมวดคิ้ว ทันใดนั้น ชายคนนี้ก็พลันล่วงมีดสั้นออกมาจากข้างเอว แล้วแทงเข้าใส่เย่เฟิงเต็มแรง!

…………………….

แปลโดยทีมงาน GSI

Solar Spark: กัวลาๆ นี่หมายถึง กลัวแล้วๆ รึเปล่า XD