บทที่ 72 ภายในสุสานโบราณ

เย่เฟิงวิ่งตรงเข้าไปยังบริเวณภายในสุสานโบราณ พลันสายตาเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความมืดมิด ชายหนุ่มรู้สึกว่าทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเขากำลังเลือนหายไป นี่ถ้าเขามีวรยุทธ์ซัก10ปี เขาคงสามารถที่จะอาศัยทักษะเซียน “สัมผัสวิญญาณ” ในการมองเห็นท่ามกลางความมืดได้ แต่ตอนนี้เขายังไม่มีความสามารถมากพอที่จะทำเช่นนั้นได้

แต่โชคดีนัก ที่เขาได้ตระเตรียมการไว้เผื่อสำหรับเวลานี้แล้ว

เย่เฟิงคว้าไฟฉายออกมาจากกระเป๋าสีดำของเขา ซึ่งได้ถูกจัดไว้โดยจ้าวอี้เปย ทั้งยังมีถ่านอีกถึง 7 ก้อนไว้สำรอง ซึ่งมากพอที่จะใช้ได้เป็นเวลาหลายวัน มากไปกว่านั้นจ้าวอี้เปยยังทำให้ไฟฉายสามารถที่จะใช้งานได้นานขึ้น โดยการปรับไม่ให้ไฟสว่างมากเกินจำเป็นแต่ให้เพียงพอเหมาะสมต่อการใช้งานสำหรับเย่เฟิง

เมื่อแสงไฟในมือของเขาสว่างขึ้น ปรากฏให้เห็นถึงรอยแยกด้านหน้าของเย่เฟิง พอมองเข้าไป จะเห็นได้ว่ามันสามารถผ่านเข้าไปได้แค่ทีละคนเท่านั้น อย่างไรก็ตามข้างในนั้นกลับกว้างกว่า 100 เมตร เย่เฟิงก็รู้ได้ทันทีว่าเขาได้มาถึงทางเข้าของสุสานโบราณแล้ว

ร่องรอยและเงาของหลงหวางเอ๋อได้หายไปนานแล้ว แต่เย่เฟิงยังต้องรีบเข้าถึงตัวอีกฝ่ายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะถ้าเขาไม่มีแผนที่ มันเป็นไปได้ยากกับการที่เขาจะเข้าไปในสุสานนี้ต่อ เขาไม่ได้เป็นนักสำรวจโบราณสถาน เมื่อเทียบกับทักษะและเครื่องมือที่เขาเตรียมมาแล้ว มันยังห่างไกลจากจูไป่เหนี่ยวนัก

ชายหนุ่มเดินไปรอบๆ ก็พบว่ามันกว้างแค่ 32 ก้าวเดินเท่านั้น หลังจากนั้นเขาก็เจอห้องหินขนาดเล็ก ๆ ห้องหนึ่ง ด้านข้างของประตูมีร่องรอยความเสียหาย อาจเป็นไปได้ว่าจูไป่เหนี่ยวจะเป็นลงมือทำ

เนื่องจากไม่มีทางอื่นที่จะเข้าไปได้แล้ว เขาจึงตรงเข้าไปยังห้องหินและในที่สุดเขาก็มาถึงสุสานโบราณอย่างเป็นทางการเสียที ด้วยแสงสลัว ๆ ของไฟฉายในมือเขาที่อยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางความมืดมิด บนพื้นหินเผยให้เห็นเถาวัลปกคลุมตลอดทั้งเส้นทางลง แม้เขาจะมองไม่เห็นปลายทางก็เถอะ

“บรรยากาศชื้นหน่อยๆ เหมือนที่จูไป๋เหนี่ยวพูดไว้เลยแฮะ ถ้าอย่างงั้นก็ต้องมีทะเลสาบอยู่ตรงกลางสุสานแห่งนี้สินะ…..”

เย่เฟิงครุ่นคิดอยู่ในใจ เขาก้มหน้าลงเพื่อจะมองหาเบาะแสจากร่องรอยที่ยังหลงเหลืออยู่ของหลงหวางเอ๋อ จากนั้นชายหนุ่มจึงก้าวเท้าของเขาออกไปตามทาง แล้วเร่งความเร็วจากเดินกลายเป็นวิ่งลงไปตามทางลงบันไดทันที และก็ได้มาถึงถนนสายหนึ่ง

แสงไฟเฉิดฉายไปทั้งสองข้างทาง เย่เฟิงพบว่าหลังจากเดินมาได้ระยะหนึ่งกำแพงทั้งสองข้างของทางเดินมีไฟแฟลชไลท์อยู่ น่าเสียดายที่มันดับไปหมดแล้ว
ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มยังเห็นแสงของมัน เพราะฉะนั้นไม่มีใครอื่นนอกจากหลงหวางเอ๋อที่ทำให้แสงไฟเหล่านี้ดับได้

“คุณหนูคนนี้ก็ฉลาดใช้ได้เลยนะ…”

เย่เฟิงลอบชมเชยหญิงสาวในใจแต่ก็ภูมิใจตนเองใช่กัน เห็นได้ชัดเลยว่าหลงหวางเอ๋อไม่ใช่คู่กรณีที่ต่อกรได้ง่ายๆเลย

หลังจากที่ชายหนุ่มวิ่งมาตลอดทางเดินกว่าครึ่งกิโลเมตร เขาเริ่มรู้สึกว่าเรื่องชักจะยุ่งยากขึ้นมาแล้ว ตรงหน้าของเย่เฟิงมีทางแยกอยู่

เย่เฟิงใช้ไฟฉายส่องกวาดไปทั่วพื้นที่เพื่อมองหาร่องรอยจนสังเกตพบบางอย่าง ฝุ่งที่จับอยู่ตรงทางแยกด้านซ้ายดูไม่เป็นระเบียบและยังมีรอยเท้าจางๆอยู่บนพื้น

“ทางนี้มันไม่ใช่ทางเข้าห้องโถงสุสานไม่ใช่เหรอ มันน่าจะเป็นทางตันรึเปล่านะ?”

เย่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยและคิดถึงอีกฝ่ายหนึ่ง เธอไม่ใช่คนโง่แถมยังมีแผนที่อยู่ในมือ มันแปลกมากที่เธอจะตรงเข้าไปยังทางตันข้างหน้านี้?

ชายหนุ่มยังคงจำได้ถึงแผนที่ส่วนต้นจนถึงทางเข้าไปยังทะเลสาบใต้ดิน แต่รายละเอียดอื่นๆเขาไม่ทันได้ดูก็ถูกหลงหวางเอ๋อฉกไปเสียแล้ว

อย่างไรก็ดีทางแยกนี้ดูไม่ได้ยาวนัก เย่เฟิงจึงตัดสินใจลองเข้าไปสำรวจดู เขาวิ่งเข้าไปยังทางแยกด้านซ้ายมืออย่างรวดเร็ว ตลอดทางสังเกตเห็นหินผารอบๆยังคงมีสภาพสมบูรณ์ ดูมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ถ้าเกิดมีนักประวัติศาสตร์สักคนหลุดเข้ามาที่นี่ละก็พวกเขาคงต้องดีใจจนคลั่งเป็นแน่ น่าเสียดายสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เย่เฟิงสนใจแม้แต่น้อย

ชายหนุ่มมาถึงปลายทางอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นรอบนอกของห้องโถงสุสาน

“บ้าเอ้ย ฉันถูกหลอกหรือเนี่ย”

เย่เฟิงสำรวจสุสานเล็กๆแต่ไม่มีร่องรอยของหลงหวางเอ๋อ มีแต่ความเงียบกริบรายล้อมอยู่บริเวณนั้น ในกลางของสุสานมีหลุมที่ไม่มีใครรู้ว่าอะไรที่ถูกฝังอยู่ เย่เฟิงเริ่มตรึกตรองคิดขึ้นมาอีกครั้ง

จากนั้นเขาไม่กล้าประมาทหลงหวางเอ๋ออีก การสร้างร่องรอยปลอมแปลงหลอกให้เขามาทางตันนี้เริ่มทำให้ชายหนุ่มไล่ตามหญิงสาวยากขึ้นไปเรื่อยๆ

“ฉันต้องไปที่ทะเลสาบใต้ดินก่อนเป็นอันดับแรก”

เมื่อเย่เฟิงตัดสินใจได้เขาออกตัวทันที

จูไป่เหนี่ยวบอกว่าช่วงเวลาแรกของสุสานยังไม่มีทะเลสาบใต้ดินนี้ แต่หลังจากนั้นมันเกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติ น้ำไหลมาสู่ใจกลางสุสานจนก่อให้เกิดทะเลสาบขึ้น

สถานที่ที่จูไป่เหนี่ยวพบหลิงชี่ (หินจิตวิญญาณ) เป็นสถานที่เดียวกันกับรูปถ่ายที่เขาเห็นแผ่นหลังของใครบางคนที่คล้ายกับซูเฟยหยิ่ง!

ดังนั้น ในเมื่อเย่เฟิงไม่สามารถหาตัวหลงหวางเอ๋อได้เขาได้แต่เลือกไปที่ทะเลสาบใต้ดินแล้วสำรวจอย่างสุ่มๆแทน หลังจากนั้นชายหนุ่มจะใช้เส้นทางเดินกลับ การไต่กินพวกกลับขึ้นไปทางเดิมยังเป็นไปได้ แต่ดูจากระดับพลังของเขาตอนนี้แล้วน่าจะลำบากพอสมควร

ได้แต่หวังว่าที่ทะเลสาบใต้ดินจะต้องมีผลลัพท์ที่ดีสักอย่างเกิดขึ้นแล้ว

ตลอดทางเดินกลับ เย่เฟิงเจอทางเลี้ยวมากมาย เขาไปตามทางในแผนที่ที่ยังพอจดจำไว้ได้ ชายหนุ่มเริ่มเข้าใกล้ทะเลสาบใต้ดินที่อยู่กลางสุสานโบราณทีละก้าว

หัวใจเขาเต้นระรัว ยิ่งใกล้มากเท่าไหร่เย่เฟิงเริ่มเก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่อยู่มากเท่านั้น

อาจารย์คนสวยของเขาซูเฟยหยิ่งเคยมาที่นี่จริงๆน่ะหรือ? แต่ถ้าไม่ใช่ทำไมรูปถ่ายนั่นถึงเหมือนเธอได้มากขนาดนี้กันล่ะ? แล้วถ้าเป็นเธอจริงๆทำไมเธอถึงมาที่สุสานโบราณแห่งนี้กัน?

คำถามมากมายเดือดพล่านยู่ในใจ เย่เฟิงได้แต่หวังว่าหลังจากไปถึงทะเลสาบใต้ดินจะมีคำตอบให้กับทุกสิ่งที่เขาสงสัย

เหลือระยะทางอีกไม่ไกลมาก

ไฟแฟลชไลท์ยังคงมีตลอดทาง เย่เฟิงใช้เวลาเดินทางไปกว่าสิบนาที ตอนนั้นเองเขาก็มาถึงจุดหมายปลายทางจนได้ ชายหนุ่มหันไปตรงหัวมุม ไฟฉายของเขาดับลง แต่ก็มีแสงสลัวสีขาวปรากฎขึ้นมาครอบคลุมแทนที่แสงไฟที่หรี่ลงจากไฟฉายเขา

“ถึงแล้ว!”

เย่เฟิงปิดไฟฉายแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ ไฟสีขาวสลัวๆที่ล่อยล่องไปทั่วบริเวณนี้เป็นไปตามที่จูไป่เหนี่ยวบอกไว้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน ที่จริงแล้วแสงไฟเหล่านี้มาจากไข่มุกรัตติกาลเรืองแสงในตำนานที่อยู่ในกลางสุสานโบราณ แต่น่าเสียดายที่มันจมไปใต้ก้นทะเลสาบแล้วจึงทำได้เพียงแค่ส่องแสงสลัวๆเท่านั้น

เย่เฟิงก้าวไปอีกสองก้าวเพื่อจับภาพสุสานจากขอบนึงไปยังอีกขอบด้านหนึ่ง

ชายหนุ่มเห็นเพียงแค่ห้องโถงทรงสี่เหลี่ยมที่กว้างหลายร้อยตารางเมตร หลุมตรงกลางห้องถูกเติมเต็มไปด้วยน้ำจากทะเลสาบใต้ดินที่ใสชัด แต่บริเวณรอบทะเลสาบใต้ดินมีต้นเถาวัลย์กระจายอยู่ ภายใต้แสงสลัวสีขาวทำให้ภาพที่เห็นตรงหน้าดูวิจิตรตระการตาราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์

ภายในทะเลสาบ มีหมู่ปลาแหวกว่ายอย่างคล่องแคล่วและมีชีวิตชีวา พืชน้ำเจริญเงอกงามอย่างอุดมสมบูรณ์ แสงจากไข่มุกรัตติกาลเรืองแสงในตำนานส่องผ่านทะลุพืชเหล่านั้นมายังผิวน้ำ ดูราวกับเป็นชั้นแสงสีขาวบางที่โอบอุ้มไปทั่วสถานที่แห่งนี้

หลังจากมาถึง เย่เฟิงรู้สึกถึงความสดชื่นและความรู้สึกสบาย ทันใดนั้นเขารับรู้ถึงอำนาจจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในทะเลสาบแห่งนี้!

ถึงแม้ว่ามันจะน้อยมากแต่ว่ามันเคยมีอยู่จริง ไม่แปลกใจเลยที่จูไป่เหนี่ยวสามารถหาหินจิตวิญญาณเจอที่นี่ได้ แต่จูไป่เหนี่ยวก็ยังไม่ใช่มืออาชีพนัก ทันทีที่เขาเห็นหินจิตวิญญาณเขาไม่ได้สนใจอะไรมันมากมาย เพียงแค่เก็บมันมาและนำไปฝากขายต่อให้อู๋เอ จนโชคตกมาถึงเย่เฟิงที่สามารถซื้อมันในราคาถูกอย่างเหลือเชื่อ

เย่เฟิงที่เดินมาถึงขอบทะเลสาบกำลังคิดบางอย่างอยู่ ทันใดนั้นเรือนร่างที่สวยงามกระโจนเข้ามาหาชายหนุ่มจากอีกด้าน

“ใครกันน่ะ?”

เย่เฟิงร้องตะโกนอย่างตกใจ ทันใดนั้นเขาได้กลิ่นหอมหวนลอยเข้ามาแตะจมูก จากนั้นชายหนุ่มก็ล้มลงกับพื้นอย่างรุนแรง

ความรู้สึกอันนุ่มนิ่มกระจายไปทั่วร่างของเขา กลิ่นหอมนี้ นี่มันหลงหวางเอ๋อไม่ใช่งั้นเหรอ?

เขาถูกหลงหวางเอ๋อจับกดลงอย่างไม่ทันตั้งตัว!

ท่ามกลางแสงสลัวจากไข่มุกทำให้การมองเห็นภาพเป็นไปอย่างไม่ชัดนัก แต่เย่เฟิงก็ยังสังเกตุเห็นได้ว่าสภาพของเธอตอนนี้ย่ำแย่มาก ตลอดทั้งร่างร้อนรุ่ม เสื้อผ้ายุ่งเหยิงดูไม่เรียบร้อย ลมหายใจหอบถี่ ยิ่งกว่านั้นดูเหมือนว่าฤทธิ์ของยาจะระเบิดขึ้นมาจนหยุดไม่อยู่แล้ว หญิงสาวถึงได้เต็มไปด้วยอารมณ์ราคะและความปราถนาที่ดูร้อนแรงเช่นนี้

หน้าอกที่นุ่มหยุ่นและเหลือล้นนาบลงมาบนตัวของเขา สัมผัสต่างๆเหล่านี้ทำให้สิ่งที่อยู่ด้านล่างของเย่เฟิงแข็งตัวขึ้นมาทันที!

…………………………………

แปลโดยทีมงาน GSI