บทที่ 66

ฉินห่าวรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย แต่ที่สิ้นหวังไม่ใช่เพราะเรื่องความห่างชั้นของขอบเขต แต่เป็นเพราะเขาสงสัยในพลังรบของตัวเอง ทว่ายากที่จะบอกว่าติดปัญหาตรงไหน

“ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้?”

ฉินห่าวจ้องอีกฝ่ายอย่างเอาเป็นเอาตาย

“เจ้าอยากรู้ไหมเล่า? ถ้าอยากรู้ จงเข้าร่วมกับนิกายเฉินเมิ่ง แล้วเราผู้เฒ่าจะไขข้อกระจ่างให้”

ฟ่านเจิ้นยิ้ม ก่อนเขามา ผู้อาวุโสหลิวเล่าว่าฉินห่าวมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา ตอนแรกสารภาพว่าเขาไม่เชื่อ และตั้งใจที่จะฆ่าอีกฝ่ายทิ้งซะด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เขาเชื่อแล้ว

“เรื่องนั้นไม่มีทางซะล่ะ .. เอ๋?”

ฉินห่าวกำลังจะปฏิเสธ แต่แล้วเขาพลันคิดอะไรบางอย่างออก ดวงตาเป็นประกาย เอ่ยเสียงขรึมว่า “นี่หมายความว่าท่านพบจุดอ่อนของข้างั้นหรือ?”

“ถูกต้อง ไม่ขาดทุนที่เป็นอัจฉริยะ วิธีการโจมตีของเจ้าแม้แรงกดดันจะมหาศาล แต่เรียบง่ายเกินไปในสายตาเราผู้เฒ่า การโจมตีมิได้ขึ้นอยู่กับแรงกดดันซะทั้งหมด ดังนั้นวิธีการโจมตีของเจ้าจึงมีแต่ข้อบกพร่อง”

ฟ่านเจิ้นยิ้ม แต่ก็ไม่ได้ซ่อนงำฉินห่าว

“อ้อ”

ฉินห่าวพยักหน้า ‘สรุปก็คือความห่างชั้นด้านวิสัยทัศน์ไม่ใช่สิ่งที่ระบบช่วยแก้ไขได้’ ซึ่งพอมาลองคิดๆดู จะพบว่าการใช้ค้อนโจมตีของฉินห่าวนั้นเหวี่ยงสะเปะสะปะไปหมด ไม่เคยใช้ออกด้วยกระบวนท่าใดๆเลยจริงๆ

“งั้นมาลองใช้กระบวนท่ากันบ้างแล้วกัน”

“ค่ายกลกระบี่เทพเต๋า!”

ฉินห่าวเก็บค้อน ตะโกนก้องในใจ กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นับหมื่นเล่มปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขา

บรึ้มมม!

“กระบวนท่านี้ไม่เลว มันทรงพลัง และมีจุดอ่อนน้อยมาก”

ดวงตาของฟ่านเจิ้นเต็มไปด้วยความชื่นชม จากนั้นใช้พลังปราณในร่างหล่อหลอมเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง มันส่งเสียงครวญหึ่งๆ ก่อนพุ่งตัดเป็นสายรุ้งขึ้นไปบนท้องฟ้า เข้าฟาดฟันทำลายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์

บรึ้มมมม!

“แข็งแกร่งมาก!”

“ใช่ สมแล้วที่อยู่ในขั้นสูงสุดขอบเขตรู้แจ้ง”

“และเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้เอาจริง ข้าคิดว่าศิษย์พี่อาจจะแพ้ … “

เหล่าสาวกที่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์

“นี่มัน … “

ณ ตอนนี้ หลิวเฮ่อกลับมาแล้ว เขามองค่ายกลกระบี่เทพเต๋าที่ฉินห่าวใช้ และรู้สึกคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก แต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นมันที่ไหน

เพราะยังไงซะ ที่หลิวเฮ่อเห็นคือค่ายกลกระบี่เพียงส่วนเดียวที่ยังไม่สมบูรณ์

“ฮู่ว … “

ฉินห่าวหอบหายใจ จับจ้องอีกฝ่ายอย่างแน่วแน่ เขาไม่รู้หรอกว่าค่ายกลกระบี่เทพเต๋าอยู่ในระดับใด แต่จากความรู้สึก คิดว่าหากไม่ใช่ระดับตี้ก็น่าจะเป็นระดับเทียน

มาดูกันว่าหากเล่นกระบวนท่าแล้วจะยังห่างชั้นกันอยู่ไหม!

“มันไม่ง่ายเลยที่เจ้าจะปลดปล่อยพลังรบในระดับนี้ทั้งๆที่อยู่ในขอบเขตแก่นทองคำ แต่สำหรับข้า มันยังไม่เพียงพอ ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่แข็งแกร่ง อันที่จริง เจ้าแข็งแกร่งเกินไปด้วยซ้ำ”

ฟ่านเจิ้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เอาล่ะ ข้ายอมรับว่าฐานบำเพ็ญเพียรของตัวเองยังไม่เพียงพอ แต่ข้ายังมีกระบวนท่าสุดท้ายอยู่ และหากท่านรับมันโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ ก็ถือว่าข้าแพ้ ตกลงไหม?”

ฉินห่าวคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดออกมา

“ได้สิ หากเจ้าทำร้ายข้าได้ ข้าจะถือว่าตัวเองแพ้” ฟ่านเจิ้นพยักหน้า แม้ว่าตามกฏแล้ว พวกเขาต้องสู้กันจนกว่าจะหมอบไปข้าง แต่ด้วยศักดิ์ศรีในขอบเขตรู้แจ้งขั้นสูงสุด เขาไม่มีหน้าไปรังแกขอบเขตแก่นทองคำได้จริงๆ

แม้ว่าขอบเขตแก่นทองคำผู้นี้จะไม่ธรรมดา แต่สุดท้ายก็คือขอบเขตแก่นทองคำอยู่ดี!

ดวงตาของเทียนหยุนเบิกกว้าง ตั้งตารอศิษย์ตนสำแดงเดช!

“ได้ งั้นรอแปป ขอแวะไปขี้ก่อน!”

ในจังหวะที่ทุกคนตั้งตารอว่าฉินห่าวจะใช้กระบวนท่าสังหารอันใด ก็ต้องพบกับประโยคไม่คาดฝัน

ทุกคน ” … “

“เอ่อ .. เชิญตามสบาย”

ฟ่านเจิ้นตะลึง แต่ก็พยักหน้าอนุญาต แม้เขาจะไม่เชื่อว่าขอบเขตแก่นทองคำอั้นขี้ไม่ได้ แต่ดูอีกฝ่ายร้อนรนเหลือเกิน บางทีอาจจะปวดจริงๆ ปวดแบบไม่ได้ปล่อยหนักมาเป็นเดือนสองเดือนแล้วก็ได้

ไม่รอช้า ฉินห่าววิ่งไกลออกไปสุดชีวิต ไกลจนเกินกว่าใครจะสังเกตเห็น เขาใช้พลังไปมากเพื่อสร้างค่ายกลกระบี่ ดังนั้นต้องฆ่าตัวตายเพื่อให้กลับมาในสภาพสมบูรณ์พร้อม

ฉินห่าวกลับมาอีกครั้ง ชักกระบี่ไร้เงาขึ้นมา ดวงตาหรี่เล็กลง เอ่ยเสียงเบาว่า  ” ระวังตัวให้ดี กระบวนท่านี้แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังควบคุมมันไม่ได้”

เขาเตือนด้วยความหวังดี เพราะยังไงซะอีกฝ่ายก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร

 “ตกลง”

ฟ่านเจิ้นพยักหน้าและเพิ่มความตื่นตัว อย่างไรเสียพลังของค่ายกลกระบี่ก็ไม่น้อย ฉะนั้นแสดงว่าไพ่ตายของฉินห่าวมีโอกาสสูงที่จะร้ายแรงยิ่งกว่า