บทที่ 65

 

เหล่าสาวกจำนวนไม่น้อยเรียกใช้อาวุธวิเศษ หรือไม่ก็นั่งเรือเหาะของนิกายตามพวกฉินห่าวไป เพราะยังไงซะ การได้รับชมการต่อสู้ของระดับยอดฝีมือนั้นเป็นประโยชน์มากสำหรับพวกเขา

 

“ศิษย์พี่ ท่านคิดว่าฉินน้อยมีโอกาสแพ้ซักเท่าไหร่?” ผู้อาวุโสสุ่ยแกล้งถามด้วยรอยยิ้ม

 

“ก็คงซักหนึ่งในสิบส่วนล่ะนะ”

 

เทียนหยุนไม่อ้อมค้อม ตอบตรงๆ

 

“ศิษย์พี่ นี่ข้าถามจริงๆนะ” ผู้อาวุโสสุ่ยกล่าวอย่างหมดหนทาง

 

“ข้าก็ตอบจริงๆเหมือนกัน” เทียนหยุนดูจริงจังขึ้นมาทันที เขาไม่ได้พูดเรื่องไร้สาระ แต่เขาเคยเห็นศิษย์ใช้ค่ายกลกระบี่มาก่อน แม้จะไม่ทราบว่าชื่อเสียงเรียงนามของมันคืออะไร แต่ก็ชัดเจนว่าวิเศษมาก

 

กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรในขอบเขตรู้แจ้ง เผลอๆก็มีโอกาสสูงที่จะตายในกระบวนท่าเดียว แต่ข้อเสียมันก็ใหญ่หลวงมากเช่นกัน นั่นคือหลังใช้งานจะตกอยู่ในสภาพอ่อนแอ

 

ทุกคนพอได้ฟังก็ส่ายหัว ฉินน้อยไม่รู้ใส่ยาอะไรในน้ำแกงให้ศิษย์พี่ดื่ม ศิษย์พี่ถึงเชื่อมั่นในตัวเขาขนาดนี้

 

แม้ว่าพวกเขาจะรักนิกายและชื่นชอบในตัวสาวกที่มีพรสวรรค์ แต่ก็มีความคิดเป็นของตัวเองเช่นกัน

 

ไม่นาน ทุกคนก็มาถึงพื้นที่เปิดโล่ง

 

ฉินห่าวยืนนิ่ง เรือเหาะลงจอด ชายชราในชุดคลุมยาวก้าวออกมา เมื่อเขาปรากฏตัว ก็ได้ดึงดูดความสนใจของผู้รับชมทันที คนผู้นี้แม้ดูเรียบง่าย แต่กลับแผ่แรงกดดันอันน่ายำเกรง

 

“ฟ่านเจิ้น?”

 

เทียนหยุนหรี่ตา กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

 

แม้ว่าผู้อาวุโสทั้งห้าจะไม่มีฐานบำเพ็ญเพียรสูง แต่พวกเขาก็ยังพอมีข้อมูลเชิงลึกอยู่บ้าง เมื่อเห็นว่าคู่ต่อสู้คือใคร พวกเขามองชำเลืองมองหน้ากันและอุทานว่า “ขอบเขตรู้แจ้งขั้นสูงสุด?”

 

“อืม และยังเป็นจุดสูงสุดที่ติดค้างมาเป็นเวลาร้อยปีแล้วด้วย เจ้าพวกนิกายเฉินเมิ่งลื่นไหลซะจริง คราวนี้คงเป็นเรื่องยากสำหรับศิษย์ข้าแล้ว”

 

เทียนหยุนยิ้มและส่ายหัว แต่ไม่ได้กระวนกระวายใดๆ นี่ไม่ใช่เพราะเขามั่นใจ แต่อันที่จริงเพราะเขาตรวจสอบทุกคนบนเรือเหาะไว้ตั้งนานแล้ว และไม่มีใครเลยที่สู้เขาได้ ดังนั้นถึงเวลาเขาก็พร้อมออกหน้าทุกเมื่อ

 

“ดูท่าจะไม่ใช่แค่ฉินน้อยที่หน้าด้าน พวกเขาเองก็ทำตัวหน้าด้านไม่ต่างกัน”

 

ผู้อาวุโสจินยิ้มเจื่อน เห็นได้ชัดว่าพวกนิกายเฉินเมิ่งรู้ซึ่งดีถึงรากฐานของฉินห่าว

 

“เราผู้เฒ่านามฟ่านเจิ้น”

 

ชายชราที่ก้าวออกมาเอ่ยแนะนำตัวอย่างสุภาพ อันที่จริง คนที่อายุน้อยกว่าหรือขอบเขตด้อยกว่าต้องแนะนำตัวก่อน แต่ในความเห็นเขา การที่ตนเอ่ยปากก่อนไม่ใช่เรื่องน่าอับอายแต่อย่างใด

 

“อืม ผู้น้อยฉินห่าว”

 

ฉินห่าวก็ตอบเป็นพิธีเช่นกัน สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว นอกจากแสวงหาความเป็นอมตะ พวกเขายังพิถีพิถันกับพฤติกรรมอีกด้วย

 

บรึ้มมม!

 

แนะนำตัวกันเสร็จสิ้น ฉินห่าวไม่เสียเวลา ง้างค้อนและทุบอย่างแรง

 

ฟ่านเจิ้นมีสีหน้าสบายๆ ตัวเขาอยู่ขั้นสูงสุดขอบเขตรู้แจ้ง ซึ่งแตกต่างจากช่วงต้นขอบเขตรู้แจ้งอย่างเถียนเฉิงหยุน

 

ดังนั้นเพียงโบกแขนเสื้อ ค้อนศึกก็สะท้อนกลับไปในทิศทางเดิม

 

กึ้ง กึ้ง กึ้ง….

 

ร่างของฉินห่าวสั่นสะท้าน ย่ำถอยหลังไปสามก้าว ทุกก้าวที่ย่ำลงสร้างรอยบุ๋มลึกบนพื้น

 

“ร้ายกาจจริงๆ!”

 

ตัวเขาไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน

 

“เก้ามังกรทะยาน ขั้นที่เก้า!”

 

ตูม!

 

แรงกดดันของฉินห่าวเพิ่มขึ้น และเหวี่ยงค้อนศึกอีกครั้ง

 

“ไม่มีประโยชน์หรอก”

 

ฟ่านเจิ้นยิ้มเล็กน้อยและโบกแขนเสื้ออีกครา

 

พรวดดดด!

 

ฉินห่าวกระอักเลือดเต็มปาก

 

ดวงตาเขาคล้ายเกิดแสงพร่ามัว อีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไป เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับผืนฟ้า ที่ไม่ว่าจะออกแรงมากซักแค่ไหน ก็ไม่มีทางทำลายมันได้

 

“ข้ายังไม่ยอมหรอก! ผลาญศักยภาพชั่วแล่น!”

 

ฉินห่าวกัดฟัน เสาแสงพวยพุ่งสู่ฟากฟ้า

 

ฉินห่าวกำค้อนศึกในมือแน่น แรงกดดันรอบตัวแก่กล้าขึ้นอีกหลายส่วน และถ่ายเทพลังทั้งหมดลงบนค้อน จากนั้นก็ทุบมันอีกที

 

“อืม ไม่เลว มิน่าเล่าผู้อาวุโสหลิวถึงบอกว่าเจ้าพิเศษ ที่แท้ก็สามารถเพิ่มพลังรบได้สองต่อนี่เอง”

 

ฟ่านเจิ้นเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยชมเชย จากนั้นนิ้วชี้เขาพลันสาดแสง และจี้มาทางฉินห่าว

 

บรึ้มมม!

 

ตูม!

 

ในความรู้สึกของฉินห่าว นิ้วนี้เหมือนจี้ลงบนจุดอ่อนของตัวเอง แรงกดดันจากทั้งคนทั้งร่างสลายหายไป ถูกอัดปลิวกระเด็นโดยตรง

 

ฉินห่าวตกตะลึง!

 

มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?

 

ขอบเขตรู้แจ้งช่วงต้นกับขั้นสูงสุดมันแตกต่างกันถึงขนาดนี้เชียวหรือ?

 

เทียบกับฟ่านเจิ้น เถียนเฉิงหยุนและสัตว์ร้ายตัวนั้นคนละชั้นกันเลย!

 

ฉินห่าวตกอยู่ในความสับสนอย่างลึกล้ำ

 

“ศิษย์พี่ ท่านไม่กลัวว่าศิษย์ของท่านจะถูกทุบตีอย่างไร้ค่าหรือ?” ผู้อาวุโสจินเป็นกังวล เอาจริงฉินห่าวนับเป็นสมบัติล้ำค่าของนิกาย

 

“คนหนุ่มสาวต้องได้รับการขัดเกลาเสียบ้าง หากปราศจากการฝึกฝน ต่อให้มีพรสวรรค์ ก็ยากจะประสบความสำเร็จ”