บทที่ 66 เคล็ดวิชาดาบปีศาจคำราม

ในขณะที่ร่างกายไร้หัวของหลี่จวิ้นหลงล้มลงกับพื้น จูไป่เหนี่ยวก็กระอักเลือดสด ๆ ออกมาจากปาก ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถที่จะทนอีกต่อไปและทรุดตัวลงพื้นพร้อมกัน

ใบหน้าราวกับดวงจันทร์ของตู้เจวียนเห็นในพริบตาว่า เย่เฟิงที่สวมหน้ากากปรากฎตัวออกมาจากท้องฟ้าในขณะที่กระพริบตาสองที หัวของหลี่จวิ้นหลงก็ปลิวขึ้นสูงในฉับพลัน เมื่อเห็นอย่างนั้นเธอตกใจกลัวอย่างมาก แม้แต่ขาก็ยังอ่อนแรง บาดแผลที่เกิดจากมีดทั้ง 5 เล่มซึ่งปักอยู่ ยังคงมีเลือดไหลออกมา หญิงสาวรู้สึกราวกับว่าจะเป็นลมขณะพิ่งหลังกับต้นไม้

“ย…อย่าฆ่าฉัน…….หญ้าสื่อจิตอยู่กับเขา……”

ทั่วทั้งร่างของตู้เจวียนสั่นเป็นเจ้าเข้า ขณะที่เธอชี้นิ้วของเธอไปยังจูไป๋เหนี่ยว ความกลัวปรากฎขึ้นบนสีหน้าของเธอชัดเจน

เมื่อเห็นแบบนั้น นี่ทำให้เย่เฟิงถึงกับส่ายหัว ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยรู้เลยว่าจูไป๋เหนี่ยวไม่เพียงแต่รักเธอมาก แต่ก็ยังยินดีที่จะเสียสละชีวิตของเขาเอง เพื่อให้เธอปลอดภัย

ถึงอย่างนั้นในโลกใบนี้ ความรักไม่เคยต้องการเหตุผลอยู่แล้ว คงมีเพียงตัวจูไป๋เหนี่ยวเองเท่านั้นที่เข้าใจความรู้สึกนี้

เย่เฟิงเดินไปประมาณ 30 ก้าว เขาเข้ามาใกล้กับจูไป๋เหนี่ยวและนั่งลง จากนั้นจึงเริ่มตรวจสอบอาการบาดเจ็บของเขา

ชายคนนี้ยังไม่ตาย แต่โชคร้ายที่เขาคงอยู่ได้ไม่นานนัก แม้กระทั่งเย่เฟิงผู้มาจากโลกเทวะเองที่รู้จักยารักษาชั้นเยี่ยมมากมายยังไม่มีความสามารถพอที่จะยื้อชีวิตจูไป๋เหนี่ยวเอาไว้ได้

“ขอบใจนายมาก…..นาย.ไปเอากระดาษและปากกามาให้ฉัน….ฉันจะวาดแผนที่ให้…..”

จูไป๋เหนี่ยว พูดอย่างตะกุกตะกัก แม้แต่จะยกมือขึ้นในตอนนี้ เขายังทำเกือบไม่ได้

เมื่อเห็นอย่างนี้ เย่เฟิงรีบวิ่งออกไปโดยไม่พูดอะไร เขากลับไปสถานที่หลบซ่อนก่อนหน้านี้ที่เนินลาดชัน จากนั้นจึงหยิบกระเป๋าสีดำขึ้นมาจากที่เก็บไว้บนพื้นหญ้าและดึงแผนที่ออกมาพร้อมกับปากกา เย่เฟิงอ้อมไปยังด้านหลังของจูไป๋เหนี่ยวและนำมันให้เขาดู

อีกด้านหนึ่งตู้เจวียนเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่เธอก็ไม่รู้ว่าชายหนุ่มทั้งสองคนกำลังทำข้อตกลงอะไร ชายสวมหน้ากากที่ฆ่าหลี่จวิ้นหลงตอนนี้เขาควรที่จะพยายามมองหาหญ้าสื่อจิตให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ไม่ใช่หรือ? แล้วนั้นเขาไปเอาปากกาและกระดาษมาให้จูไป๋เหนี่ยวทำไม?

เย่เฟิงขมวดคิ้วพลางคิดในใจว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นอุปสรรคต่อแผนการของเขา เขาจึงลุกขึ้นก่อนเดินตรงไปหาเธอ

“นายจะทำอะไร อย่าฆ่าฉันเลย ได้โปรด อย่าฆ่าฉัน อ๊า…”

ขณะที่เห็นชายหนุ่มเดินตรงมา ตู้เจวียนก็ผงะและกรีดร้องออกมา หล่อนล้มลุกคลุกคลานเพื่อที่จะรีบหนีไปจากที่ตรงนี้ แต่ไม่มีเรี่ยวแรงมากพอจะที่ทำได้

หวับ!

เย่เฟิงจ่อมีดในมือของเขาลงบนคอน้อยๆของเธอ และทำท่าราวกับว่าจะปาดคอของเธอ จึงทำให้หญิงสาวตกใจจนสิ้นสติไป

ก่อนที่เขาจะหันไปหาจูไป๋เหนี่ยวที่กำลังสั่นสะท้านทั่วทั้งร่างในขณะที่กำลังวาดแผนที่ เย่เฟิงมองไปที่ภาพและสังเกตุเห็นว่าภาพนั้นพุ่งเป้าไปที่ชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของประเทศจีน  บางทีอาจจะอยู่ในเขตของเจ้อเจียงก็เป็นได้ ด้านบนของกระดาษเขียนว่า “เคล็ดวิชาดาบปีศาคำราม” ด้วยอักษรขนาดใหญ่

นั่นมันคืออะไร ?

เย่เฟิงรู้สึกสงสัย

“สำนักเทวะเร้นลับ… วิชาเพลงศาตราวุธที่สูญหายไป…. หากสามารถสำเร็จวรยุทธ์นี้ในขั้นสูง มันจะทำให้เมื่อใช้วิชามีดบินจะก่อให้เกิดเสียงกรีดร้องดั่งภูติพราย หรือเสียงคำรามของสุนัขป่าเลยทีเดียว ซึ่งสามารถเขย่าขวัญฝ่ายตรงข้ามได้ดียิ่งนัก แต่โชคร้ายซะเหลือเกิน ที่ฉันไม่มีความสามารถมากพอที่จะฝึกฝนมัน

ขณะที่จูไป๋เหนี่ยวกำลังพูดอยู่นั้น เขาก็ได้ปิดเปลือกตาลง “วิชานี้ถูกส่งต่อมายังรุ่นสู่รุ่น… โดยหนึ่งในคนที่ทรยศของสำนักเทวะลี้ลับ…”

ก่อนที่้เขาจะทันได้พูดจบ เขาก็หมดสิ้นล้มหายใจไปแล้ว และไม่มีเสียงใด ๆ เล็ดลอดออกมาจากปากเขาอีกเลย

“……………………….”

เย่เฟิงหยิบแผนที่ออกมาจากร่างของจูไป๋เหนี่ยวที่ไร้ซึ่งลมหายใจ ก่อนจะตรวจสอบแผนที่อย่างระมัดระวัง

ด้วยดาบเจินฉีของเขา ชายหนุ่มได้ขุดหลุมถัดจากร่างของจูไป๋เหนี่ยวก่อนจะฝั่งเขาไว้ที่นั่น หลังจากเสร็จเรื่องที่ต้องทำทั้งหมด เขาควรจะนำร่างของจูไป๋เหนี่ยวที่ไร้ซึ่งลมหายใจไปให้ฝังไว้ให้ถูกต้องตามประเพณี อย่างไรก็แล้วแต่ที่นี่ไม่ใช่โลกเทวะแต่เป็นยุคสมัยใหม่ การปล่อยให้ร่างที่ไร้วิญญาณไว้บนพื้นโดยไม่ทำอะไรเลย เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ในกรณีของร่างของหลี่จวิ้นหลง เย่เฟิงได้โยนมันลงจากหน้าผาเพื่อให้น้ำพัดพาร่างของมันหายไป

หลังจากเสร็จเรื่องทั้งหมด เขาก็กลับมายังร่างที่ไม่ได้สติของตู้เจวียน และตรวจสอบร่องรอยบาดแผลบนร่างเธอ มีดบินทั้งห้าเล่มไม่ได้ปักลงไปลึกนัก แต่ดูเหมือนว่าบนใบมีดเหล่านั้นจะถูกฉาบไปด้วยยาพิษ

เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนเขาจะหยิบเอาขวดยาขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าสีดำ และเทยาถอนพิษทั้งสองลงไปในปากเธอ ก่อนจะบังคับให้เธอกลืนมันลงไป

ไม่รู้ว่ามันช่วยอะไรได้บ้างหรือเปล่า แต่เย่เฟิงแค่อยากจะลองดู

“รักแท้ของเขาสุดท้ายแล้ว เขาก็ไม่ได้อะไรเลยนอกจากการหักหลัง”

เย่เฟิงลุกขึ้นและมองไปที่หลุมศพของจูไป๋เหนี่ยวเป็นสิ่งสุดท้าย ก่อนจะหันหน้าเดินจากไป

ชายหนุ่มคิดถึงซูเหมิงหาน ถ้าเขาเลือกใช้ชีวิตอยู่ที่นี่กับซูเหมิงหาน ท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวมันจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครทราบได้ แต่ในเมื่อซูเหมิงหานเลือกที่จะเชื่อในตัวเขาแล้ว เย่เฟิงก็พร้อมจะเชื่อในตัวเธอเช่นกัน

“เพลงดาบปีศาจคำราม เคล็ดวิชาที่หายสาบสูญไปของสำนักเทวะลี้ลับ ถ้ามีเวลาว่างเราคงต้องไปดูสักหน่อย ดูจากชื่อของมันแล้วมันฟังดูดีทีเดียว อย่างน้อยนี่ก็เป็นหนึ่งในวิธีเรียนรู้เกี่ยวกับวรยุทธ์คงโลกใบนี้”

เย่เฟิงคิดในใจ เคล็ดวิชาดาบปีศาจคำรามของสำนักเทวะลี้ลับนี้มันไม่ได้เป็นแค่การปาดาบให้ลอยไปธรรมดาๆ การขว้างอาวุธลับพวกนี้ต้องการพลังที่มากกว่าคนทั่วไป มันต้องมีเคล็ดลับเฉพาะในการควบคุมบังคับใช้มัน

ชายหนุ่มวิ่งอยู่ในพงหญ้าเลาะไปตามลำห้วย ตรงไปตามทาง จุดหมายคือข้างในสุสานโบราณที่อยู่ไม่ไกล แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นสองร่างที่คุ้นเคยปรากฏขึ้น โดยไม่คาดคิดว่าจะเป็นพวกเขาจริง ๆ นักเดินทางที่สวมชุดเทาและหมวกฟาง แบกห่อผ้ากันน้ำผืนยาวขนาดใหญ่คล้ายกับอาวุธบางชนิด

บุรุษผู้หนึ่งและสตรีนางหนึ่งที่อยู่บนฝั่งตรงข้ามของลำห้วย ห่างออกไปไม่มากนักจากเย่เฟิง กำลังตรงไปยังที่ ๆ เดียวกับที่ชายหนุ่มกำลังจะไป

โชคดีนัก ณ ตรงที่เย่เฟิงกำลังวิ่งมันเป็นพงหญ้าที่ทั้งหนาและสูงเป็นอย่างมาก มากไปกว่านั้นฝ่ายตรงข้ามยังไม่รับรู้ถึงเย่เฟิงที่อยู่บริเวณนี้

“วังดาบสวรรค์ เราไม่อาจคาดเดาความแข็งแกร่งของเขาได้เลย….. ”

[LASTVOICE : เทียนเต้าเตี้ยนหมายถึงพระราชวังดาบสวรรค์ ดังนั้นจากนี้ไปผมจะขอใช้คำว่าวังดาบสวรรค์ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และในตอนที่ 61 ผมขอเปลี่ยนเทียนเต้าเตี้ยนเป็นวังดาบสวรรค์ ขออภัยในความไม่สะดวกด้วยครับ :)]

เย่เฟิงลดฝีเท้าลงด้วยความรอบคอบ เนื่องจากเขาไม่การให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าหญ้าวิญญาณประดับฟ้าถูกเขาดูดซับไปแล้ว และในขณะที่ชายหนุ่มกำลังคิดว่าจะเปลี่ยนเส้นทาง เขาก็เผอิญได้ยินบทสนทนาเล็กน้อยที่หลุดรอดมาของชายหนุ่มกับหญิงสาว

“ฮิฮิ คุณหนูตระกูลมังกรต้องอยู่ข้างหน้าของพวกเราเป็นแน่”

หญิงงามกล่าว

“หึ ครั้งล่าสุดที่เจอกันตอนหญ้าใบทอง พวกเรายังอ่อนแออยู่ ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะได้เจอกันอีกครั้ง ฉันสาบานเลยว่าจะต้องตัดหัวผู้หญิงคนนั้นด้วยดาบของฉันให้ได้”

ชายหนุ่มยื่นลิ้นสีแดงเข้มออกมาตวัดเลียบริเวณริมฝีปากสร้างความน่าขนลุกดูละม้ายคล้ายฆาตกร

“ฉันรู้ว่านายต้องการที่จะจับเป็นคุณหนูตระกูลมังกรนั่น ลดความกระหายนั่นหน่อยก็ดีนะ อย่าลืมว่าพวกตระกูลหลงก็อยู่ที่นั่น ฉันกลัวว่าเรื่องมันจะไม่ง่ายนักน่ะสิ”

ผู้หญิงคนนั้นกล่าวออกมาเบา ๆ

“ที่รัก ฉันรู้อยู่หรอกน่า”

ชายหนุ่มเหยียดรอยยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว “แต่หล่อนสวยเป็นบ้า จะให้ฉันไม่ลองลิ้มรสร่างกายของเธอได้อย่างไร? ถึงแม้ว่าจะกลายเป็นศพก็เถอะ มันก็คงเป็นศพที่สวยงามมิใช่น้อย…..”

จากฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ ที่ซ่อนอยู่ในกอหญ้า เย่เฟิงกำลังแอบฟังพวกเขาอยู่ และเข้าใจในความหมายที่จูไป่เหนี่ยวพูดในก่อนหน้านี้ทันที “คู่บ้าที่สติไม่สมประกอบจากวังดาบสวรรค์”

เดิมที เจ้าคู่บ้าสองคนนี่ได้ขโมยหญ้าใบทองไปจากมือหลงหวางเอ๋อ หญิงสาวจึงไล่ตามจนเอาคืนมาได้ แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็สิ้นสติจากยาพิษและได้เย่เฟิงช่วยไว้

“พวกมันช่างเหมือนหมาที่กัดคนไม่เลือกจริง ๆ สมองก็เหมือนซากศพ ที่ไม่มีความคิดดีๆอันใดเลยแม้แต่น้อย”

เย่เฟิงสาบแช่งพวกชั่วนี่อยู่ในใจ หากหลงหวางเอ๋อตกอยู่ในกำมือพวกมันล่ะก็ ถึงตอนนั้นใครจะรู้ว่าสุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้หลงหวางเอ๋อก็ยังเห็นเขาเป็นศัตรูอยู่ แถมยังตอบแทนความมีน้ำใจของเขาด้วยการกระทำแบบนั้น มันน่าหงุดหงิดซะจริงๆ

“นั่นใคร!”

ชายหน้าตอบคนนั้นตวาดเสียดัง สร้างความตกใจแก่เย่เฟิงอย่างยิ่ง

แต่ในไม่ช้าเย่เฟิงก็สังเกตเห็นว่าฝั่งตรงข้ามนั้นไม่ได้เจอตัวเขา แต่มันเป็นชายตัดไม้บนภูเขานั่นต่างหากที่ถูกพบ ชายตัดไม้คนนั้นสวมหมวกฟางเห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น

มีตระกร้าบรรจุสมุนไพรอยู่บนหลังของชายตัดไม้ เขาคงมาจากหมู่บ้านเพื่อที่จะหาสมุนไพร เมื่อเขาเห็นคนสองคนจากพระราชวังดาบสวรรค์ เขายังคงประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัดไปชั่วขณะหนึ่ง สายตาของเขาจับจ้องไปยังสัดส่วนที่สวยงาม ผิวสีขาวราวหิมะที่เผยให้เห็นบางส่วน ช่างเป็นผู้หญิงที่มีความงดงามดึงดูดสายตายิ่งนัก เขาไม่สามารถที่จะละสายตาไปจากนางได้เลย

“แกกำลังมองหาอะไรอยู่?”

เสียงของชายหน้าตอบลดต่ำลง เห็นได้ชัดว่ามันรู้สึกไม่ค่อยดีนักและไม่ชอบใจอีกต่อไปเพราะสายตาที่ส่งมาจากฝ่ายตรงข้าม

“ท่าไม่ดีแล้วสิ…..”

เย่เฟิงทะลุพงหญ้าหน้าออกไป ทันใดนั้นเขาก็ได้เห็นความกระหายการฆ่าปรากฏบนสีหน้าของชายหน้าตอบคนนั้นพร้อมกับแววตาที่กระหายเลือด นั่นทำให้ชายหนุ่มใจสั่นไม่หยุด ชายตัดไม้แค่มาที่นี่เพียงเพื่อหาสมุนไพร ถึงกับจำเป็นต้องฆ่าเขาเลยหรือ?

แต่ก่อนที่เย่เฟิงจะทันได้คิดอะไรต่อไป ชายหน้าตอบคนนั้นก็ได้แกะผ้าใบผืนยาว และดึงดาบออกมา

ฉั๊วะ!

ร่างสูงของมันขยับอย่างรวดเร็วยากเกินจะพรรณนาภายใต้แสงอาทิตย์ ตามด้วยแสงสีส้มแดงที่ตกกระทบลงบนตัวดาบ มันก้าวไปยังด้านหน้าของชายตัดไม้ที่กำลังถอนสมุนไพรอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าเพื่อสังหาร

เย่เฟิงลอบหวั่นอยู่ในใจกับความเร็วของอีกฝ่าย แต่สิ่งที่ทำให้เย่เฟิงตกใจมากไปกว่านั้นคือความเร็วชั่วพริบตาของชายหน้าตอบคนนั้นเหนือกว่าก้าวย่างไร้เงาของเขาเสียอีก ชายหนุ่มไม่สามารถหยุดยั้งการลงมือของชายคนนั้น เขาทำได้เพียงมองดูดาบที่กำลังฟันใส่ชายคนตัดไม้ผู้เคราะห์ร้ายอย่างช่วยเหลืออะไรไม่ได้

หากมันตวัดดาบเพียงครั้งเดียว ร่างของชายตัดไม้ก็คงถูกผ่าออกเป็นสองซีกทันที!

……………………………….

แปลโดยทีมงานGSI

Solar Spark: LASTVOICE คือนามแฝงผู้แปลจีนมาENGนะครับ