บทที่ 64

 

ในอดีต นิกายเฉินเมิ่งมักยืนอยู่บนจุดสูงสุดในศีลธรรมมาโดยตลอด

 

อย่างไรก็ตาม คำพูดไม่กี่คำในวันนี้ของฉินห่าว มันทำให้พวกเขาจุก! คิดบีบคั้นข้าหรือ? งั้นเจ้าก็ต้องถูกประจาน ข้าจะทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่! ยิ่งพวกเจ้าสืบเสาะก็ยิ่งเสียหน้า!

 

และเมื่อถึงเวลานั้น คนที่อารมณ์ฉุนเดียวก็จะก้าวออกมา เริ่มการต่อสู้โดยตรง!

 

ฉินห่าวรู้สึกตื่นเต้นมาก แต่ข้างบนเรือเหาะยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับว่ากำลังปรึกษาอะไรกันบางอย่าง

 

“สิ่งที่เจ้าพูดมาอาจมีความจริงอยู่บ้าง แต่ผลลัพธ์ที่เจ้าทำลายตึกรามของนิกายเฉินเมิ่ง และทำให้ผู้อาวุโสเถียนได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง มีอะไรจะแก้ตัวหรือไม่?”

 

ผ่านไปสักพักหนึ่งเลย เสียงจากบนเรือเหาะถึงดังขึ้นอีกครั้ง

 

“แก้ตัวยังไง?”

 

ฉินห่าวเลิกคิ้ว

 

“โดยการชดใช้ค่าเสียหายและมอบตัว”

 

น้ำเสียงนี้เฉียบขาด ไม่เปิดช่องว่างให้ปฏิเสธ 

 

เมื่อประโยคนี้เปล่งออกมา ทุกคนตกใจจนหน้าซีด

 

ชดใช้ค่าเสียหายและมอบตัว? 

 

สำหรับชดใช้ค่าเสียหาย พูดตามตรง ต่อให้ขายทั้งนิกายเซียวเหยามันอาจไม่พอด้วยซ้ำ เพราะยังไงซะ วัสดุที่ใช้สร้างนิกายชั้นหนึ่งนั้นย่อมไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป

 

ส่วนการมอบตัวนั้นความหมายยิ่งชัดเจน ฉินห่าวต้องติดตามพวกเขากลับไปยอมรับการลงโทษ และมีโอกาสสูงที่จะหายไปจากโลกนี้

 

“เหตุใดถึงเรียกร้องกันเช่นนี้!”

 

“ใช่! พวกเจ้าไม่อาจเรียกร้องค่าชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองเป็นคนทำเสียหายได้!”

 

“เห็นด้วยอย่างยิ่ง! ส่วนผู้อาวุโสเถียน หากข้าจำไม่ผิดเขาสมควรอยู่ในขอบเขตรู้แจ้งใช่หรือไม่? ขอบเขตรู้แจ้งถูกศิษย์พี่ในขอบเขตแก่นทองคำทุบตี ยังหน้าด้านมาขอค่าชดใช้อีก?”

 

“สรุปเจ้าก็แค่ไม่เก่งเหมือนผู้อื่นเลยคิดเล่นบทคนพาล?”

 

บรรดาสาวกต่างก่นด่าสาปแช่ง

 

“ศิษย์พี่ ท่านคิดว่าอย่างไร?”

 

ในมุมมืด ผู้อาวุโสจินกล่าวเสียงขรึม

 

“ข้าไม่เห็นด้วย ทั้งสองข้อเรียกร้องนี้เป็นไปไม่ได้ เราผู้เฒ่าจะไม่เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง”

 

“แต่พวกเขาคือนิกายชั้นหนึ่งเชียวนะ!” ผู้อาวุโสมู่สีหน้ากังวล

 

“เจ้าจะกลัวอะไร หากเรื่องราวมันลุกลามก็แค่สู้กัน ข้าไม่กลัว” เทียนหยุนแผ่กลิ่นอายอหังการ

 

ทุกคน “ … ” 

 

ท่านไม่กลัว แต่พวกเรากลัวไง!

 

“หากมีแค่สองตัวเลือกนี้ บอกเลยข้าไม่เลือก ยังไงก็ตาม ข้ามีข้อเสนออย่างหนึ่ง นั่นคือพวกเจ้าส่งตัวแทนออกมา และขอแค่ตัวแทนคนนั้นเอาชนะข้าได้ ข้าจะยอมตามไป ว่าอย่างไร?”

 

ฉินห่าวคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

 

“ช่างกําเริบเสิบสาน!”

 

“เด็กน้อย! รู้หรือไม่พวกเรามีสถานะสูงส่งขนาดไหน? ไม่ต้องพูดถึงเจ้า กระทั่งอาจารย์เจ้าก็ยังต้องไว้หน้าพวกเราสามส่วน แล้วทำไมพวกเราต้องลดตัวไปสู้กับเจ้าด้วย!”

 

บนเรือเหาะคำรามด้วยความโกรธ

 

“ในเมื่อตกลงกันไม่ได้ งั้นพวกเจ้าก็ทำลายนิกายเซียวเหยาของข้าเถอะ ข้าจะไม่ห้าม แค่ยืนดูเฉยๆ” ฉินห่าวผายมือ ทำสีหน้าจนใจ

 

ทุกคนพูดไม่ออก

 

เกิดความเงียบงันขึ้นอีกครั้งบนเรือเหาะ นี่เป็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดที่สุดสำหรับนิกายเฉินเมิ่งของพวกเขา พวกเขาต้องการให้ทุกคนมองตนด้วยภาพลักษณ์ในแง่ดี ดังนั้นไม่มีทางที่จะทำลายนิกายใดนิกายหนึ่งเพียงเพราะมีปัญหากับแค่บางคน

 

เพราะนั่นมันวิธีการของพวกชั่วร้าย!

 

ตราบใดที่นิกายเฉินเมิ่งกล้าทำลายนิกายเซียวเหยา เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไป สุดท้ายก็จะเสียความน่าเชื่อถือ และอาจตกเป็นเป้าหมายจากผู้ที่ปากบอกตนมีศีลธรรรม แต่แท้จริงคิดต้องการปล้นชิงทรัพยากรและอาณาเขตของนิกายเฉินเมิ่งซะเองในที่สุด

 

“ข้ายอมรับคำท้าเจ้า แต่เมื่อพิจารณาจากความห่างชั้นของขอบเขตและพลังรบแล้ว เราจะส่งสาวกขอบเขตก่อเกิดจิตคนหนึ่งไป”

 

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงที่ทุ้มลึกภายในเรือเหาะก็ดังขึ้น น้ำเสียงฟังยังไงก็กำลังพยายามระงับความโกรธอย่างเห็นได้ชัด

 

“อันที่จริงไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้นก็ได้ พวกเจ้ามีผู้บำเพ็ญเพียรขอบเขตรู้แจ้งรึเปล่า? เอาคนที่มีพลังรบประมาณนั้นมาก็ได้ ข้ารับมือไหว”

 

ฉินห่าวคิดไปคิดมาแล้วพูดอย่างจริงจัง

 

ประโยคนี้ ไม่ได้ทำให้เหล่าสาวกนิกายเซียวเหยาเบื้องล่างรู้สึกแปลกใจอีกต่อไป เพราะศิษย์พี่เคยสังหารตัวตนอย่างสัตว์ร้ายในขอบเขตรู้แจ้งมาแล้ว

 

“ย่อมได้!”

 

คนบนเรือเหาะเองก็น่าจะตระหนักถึงพลังรบของฉินอย่างเป็นอย่างดีเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาไม่คิดเสแสร้งเป็นคนดี ตอบรับโดยตรง

 

“งั้นก็มาเถอะ ไปหาสถานที่ดีๆนอกนิกายกัน” ฉินห่าวยิ้ม ในที่สุดเขาก็จะได้สู้ซักที การหว่านล้อมนี่มันไม่ง่ายเลย!