บทที่ 63

 

“เอาล่ะ จากนี้ไปเจ้ามีชื่อว่ากระบี่ไร้เงา” ฉินห่าวกำด้ามกระบี่อย่างมีความสุข แม้เขาจะชอบใช้ค้อนมาก แต่กระบวนท่าหลายๆอย่างของตัวเองนั้นเหมาะกับการใช้กระบี่ และกระบี่เล่มนี้ก็โผล่มาในเวลาที่เหมาะสมพอดี

 

เขาเก็บยันต์เพลิงผลาญกรรมและกระบี่ไร้เงา มองค่าความเกลียดชังที่เหลืออยู่ราวๆสองหมื่นแล้วกัดฟันพูด

 

“อัพเกรด!”

 

[ติ๊ง!]

 

[ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ คุณเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตแก่นทองคำขั้น 7]

 

ฉินห่าวสัมผัสได้ถึงพลังงานใหม่ที่ไหลเวียน เขาชื่นชมระบบอย่างมาก พลังงานนี้ไม่แตกต่างจากการบำเพ็ญเพียรด้วยตัวเอง ไม่เกิดความรู้สึกต่อต้านใดๆ

 

สองวันผ่านไปอย่างเร่งรีบ ตอนนี้ฉินห่าวกำลังอารมณ์เสียมาก เขาเป็นคนอยู่เฉยๆไม่เป็น เดิมทีคิดว่าพวกนิกายเฉินเมิ่งหรือเซี่ยถูจะลงมือบางอย่างแน่นอน

 

แต่รอซ้ายรอขวา รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มา แบบนี้เขาก็ไม่มีอะไรทำน่ะสิ?

 

“อาจารย์ ท่านคิดว่านิกายเฉินเมิ่งจะมาเมื่อใด? แม้พวกเขาจะไม่มา แต่พวกเซี่ยถูก็ควรมาสิ เพราะศาสดาของพวกเขายังอยู่กับข้า”

 

ฉินห่าวดูเศร้า หากไม่มีใครมา เขาก็ไม่ได้ค่าความเกลียดชัง ไม่มีค่าความเกลียดชัง ก็อัพเกรดฐานบำเพ็ญเพียรไม่ได้

 

“ศิษย์ข้า เจ้าอย่าใจร้อน จากการคาดเดาของอาจารย์ คิดว่า … หืม? พวกเขามาแล้ว!” เทียนหยุนกำลังปลอบฉินห่าว แต่พูดไปได้ครึ่งประโยค จู่ๆเขาก็ลุกพรวดขึ้น

 

“ผู้ใดมา? นิกายเฉินเมิ่งหรือพวกเซี่ยถู?” ดวงตาของฉินห่าวเป็นประกาย กระโดดขึ้นทันที

 

“สมควรเป็นนิกายเฉินเมิ่ง เพราะพวกเซี่ยถูคงไม่เคาะประตูอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้” เทียนหยุนคิดอยู่ครู่หนึ่ง

 

“ยอดเยี่ยม! ท่านอาจารย์คอยดูเฉยๆก็พอ ศิษย์จะไปต้อนรับพวกเขาเอง” ฉินห่าวไม่รอให้อาจารย์ตอบ กลายเป็นลำแสงและบินออกไป

 

ณ เวลานี้ สาวกส่วนใหญ่ในนิกายก็สังเกตเห็นความผิดปกติแล้วเช่นกัน เพราะยังไงซะ หลังจากมีเรือเหาะขนาดใหญ่ลอยเหนือนิกาย มันเป็นเรื่องยากที่จะไม่สนใจ

 

“นั่นมันเรือเหาะนิกายเฉินเมิ่ง? พวกเขามาทำอะไรที่นี่อีกแล้ว?”

 

“ไม่ใช่เพราะศิษย์พี่ฉินหรอกหรือ? ทำไมพวกเขาคอยรังควานไม่จบไม่สิ้นซักที?”

 

นิกายเซียวเหยาและนิกายเฉินเมิ่งไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ใดๆต่อกัน จุดตัดเพียงอย่างเดียวระหว่างพวกเขาคือฉินห่าวเท่านั้น

 

“ฉินห่าวคนบาปแห่งนิกายเซียวเหยาอยู่ที่ไหน?”

 

เสียงจากใครบางคนบนเรือเหาะดังก้องไปทั่วฟ้า

 

“พวกมันมาหาศิษย์พี่ฉินจริงๆด้วย”

 

“คำ ‘คนบาป’ นั่นมันหมายความว่าอย่างไรกัน? ศิษย์พี่ฉินไปทำอะไรให้พวกเขาขุ่นเคืองอีก?” 

 

“อา อาจเพราะศิษย์พี่ฉินเป็นคนกล้าหาญ จึงมีปัญหาแวะเวียนมาเสมอๆ”

 

เหล่าสาวกระเบิดเสียงไม่พอใจทันที หลังจากเหตุการณ์ในเมืองห่าวเทียน นิกายเซียวเหยาก็เกิดความสามัคคีกลมเกลียว แน่นแฟ้นกันยิ่งกว่าเดิม

 

“ผู้น้อยฉินห่าว ไม่ทราบผู้ใดมาเยือน?”

 

ฉินห่าวบินออกมา เขายืนตระหง่าน ชายเสื้อกระพือ ดูเก๋ไก๋ซะไม่มี

 

“คนบาปฉินห่าว เจ้าลอบโจมตีผู้อาวุโสของนิกายเฉินเมิ่ง ทำลายตึกรามส่วนใหญ่ของนิกาย จะยอมรับความผิดหรือไม่?”

 

เสียงที่ยิ่งใหญ่ยังคงดังตอบ

 

“ขอโทษที นั่นไม่ใช่ผลงานข้า ตึกรามส่วนใหญ่ที่พังเป็นฝีมือของผู้อาวุโสหลิว ส่วนเรื่องลอบโจมตี นั่นยิ่งไร้สาระ ผู้อาวุโสเถียนขู่ข้าก่อน แล้วข้ากำลังหงุดหงิดพอดี พอได้ยินเขาขู่ ข้าย่อมทนไม่ไหว ก็เลย …   ”

 

“ก็ได้ ข้ายอมรับว่าเป็นข้าเองที่ทำตัวไม่เหมาะสมใส่ผู้อาวุโสเถียน สุดท้ายเลยพลาดทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ”

 

ฉินห่าวก้มหน้าลงอย่างเอียงอาย ราวกับว่าบาปที่เขาก่อเป็นแค่เรื่องผิดพลาดที่พลั้งมือไปโดยไม่ตั้งใจ

 

บรรยากาศเงียบงัน!

 

เหล่าสาวกต่างตกใจเกินจะเชื่อ! ศิษย์พี่ฉินได้ทำลายนิกายเฉินเมิ่งที่เป็นนิกายชั้นหนึ่ง! บดขยี้พวกมันเหมือนมดตัวหนึ่ง!

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาได้สติ สีหน้าของพวกเขาก็ค่อยๆกลับมาสงบลง เริ่มเกิดความคิดว่าด้วยพลังรบของฉินห่าว มันอาจเป็นไปได้จริงๆ

 

ภายในเรือเหาะ ไม่มีการตอบกลับเป็นครึ่งค่อนวัน

 

แน่นอน พวกเขาไม่เชื่อคำพูดผีสางของฉินห่าว แค่พวกเขาไม่เคยเห็นคนหน้าด้านเช่นนี้มาก่อน คนที่อ้าปากเป็นพูดจาเหลวไหลเต็มไปด้วยคำโกหก

 

“ให้เราผู้เฒ่าจัดการเองเถอะ อีกฝ่ายก็แค่มดปลวกตัวเดียว ทำไมต้องเสียเวลาสนทนาเช่นนี้ด้วย?”

 

ในตอนนั้นเอง เสียงที่ค่อนข้างขุ่นเคืองเล็กน้อยดังมาจากภายในเรือเหาะ

 

ฉินห่าวเลิกคิ้วและยิ้ม

 

นั่นแหละพี่ชาย!

 

ข้ารอเจ้าพูดคำนี้อยู่!