บทที่ 44: หอคอย (3)

 

 

ในตอนนั้นเองที่แฟรี่ได้ปรากฏตัวขึ้นเหนือศีรษะของทุกคน

‘…’

ขณะที่ชูลมานขมวดคิ้ว สิ่งมีชีวิตตัวเล็กก็ได้เริ่มพล่ามออกมาอย่างรวดเร็ว

“สวัสดีทุกคน ยินดีด้วยที่เคลียร์ห้องสำเร็จ ฮี่ฮี่ มันพอดีสำหรับคนสิบคนในการเคลียร์ใช่ไหมล่ะ?”

ทุกคนผงกศีรษะโดยอัตโนมัติเมื่อได้ยินเช่นนั้น

มันใช้เวลาราวๆ วันหนึ่งสำหรับพวกเขาในการผ่านห้องๆ หนึ่ง

และรูนก็ดรอปเช่นกัน

แฟรี่เอ่ยขึ้นขณะที่มันมองผู้คนที่อยู่ใต้ร่างของมัน

“เอาเถอะ มันก็เป็นความยากสำหรับคนสิบคนอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ว่ารางวัลมันน้อยเกินไปเหรอสำหรับการทำงานหนึ่งวัน?”

ทุกคนผงะไป

‘เมื่อคิดดูอีกครั้ง…’

พวกเขาได้เมินเฉยต่อมันเพราะพวกเขากำลังล่าสัตว์อสูรโดยที่ระมัดระวังคนข้างกายไปด้วย แต่มันดูเหมือนว่าสัตว์อสูรที่พวกเขาฆ่าไปนั้นจะไม่ดรอปอาร์ติแฟคเลยสักชิ้น

‘นี่มันค่อนข้างแย่’

อาร์ติแฟคและสกิลนั้นสำคัญเหนือทุกสิ่ง

รูนไม่ได้สร้างช่องว่างอย่างเพียงพอ และแม้ว่ามันจะมีช่องว่าง มันก็ยังคงเป็นไปได้ที่จะไล่ตามทัน

แต่อาร์ติแฟคและสกิลนั้นต่างออกไป

ชูลมานเคยมีอุบัติเหตุตอนที่เขาได้ปะทะกับใครบางคนที่มีสกิลระดับใกล้เคียงกับเขา

ผู้ชายที่พยายามจะข่มขืนผู้หญิง

เมื่อคิดถึงลูกสาวของเขา มันก็ได้ทำให้เขาโมโห และทำให้เขาทะเลาะกับหมอนั่น

แน่นอนว่าเขาได้คำนวณว่าหมอนั่นจะรู้ถึงระดับสกิลของพวกเขา และจากนั้นพวกเขาก็จะหยุดทะเลาะกัน

แต่ว่ามันคือความเข้าใจผิด

พวกเขาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันในด้านของพละกำลัง ทว่ามีความแตกต่างอย่างมากในชั่วระยะเวลาสำคัญเพราะอาร์ติแฟค

เขาเกือบจะเสียชีวิตเพราะดาบของเขาได้หักลงหลังจากที่ปะทะกับดาบของอีกฝ่ายไม่กี่ครั้ง

ถ้าคำนวณรวมไปถึงความยากของหอคอยที่จะยากขึ้นเรื่อยๆ เช่นนั้นระดับของอาร์ติแฟคของคนผู้หนึ่งก็ไม่ควรที่จะหยุดอยู่ที่เดิม

แฟรี่แย้มยิ้มขณะที่มันมองไปยังผู้คนที่ติดอยู่ในห้วงความคิด

“เอาน่าทุกคน เราไม่ได้ไร้หัวใจขนาดนั้น เราได้เตรียมมันไว้ตรงนี้แล้ว! เมื่อมันใช้เวลาราวๆ วันหนึ่ง รางวัลก็ควรจะอยู่ที่ราวๆ นี้ใช่ไหม?”

สิ่งมีชีวิตตัวเล็กชี้นิ้วของมันไปยังประตู

ผู้คนที่เห็นเช่นนั้นชะงักไปชั่วครู่

อาร์ติแฟคได้ถูกวางไว้เบื้องหน้าประตูทั้งสิบ

อาร์ติแฟคที่ถูกเขียนไว้ใต้ห้องสำหรับสิบคนในแผนที่

<ตะขอของโรโรพิน>

<รัดเกล้าของคิราเดอเรป>

<ถุงมือของฮาวล์>

ชูลมานเอ่ยถามแฟรี่

“งั้นเราแค่ต้องเลือกไปอันหนึ่งเหรอ?”

คนสิบคน สิบประตู อาร์ติแฟคที่แตกต่างกันสิบอัน

มันค่อนข้างเป็นตัวเลือกที่ชัดเจน

แฟรี่แสยะยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง มีประตูเพียงบานเดียวจากสิบที่จะเปิดออก”

“…หนึ่ง? งั้นคนสิบคนก็จะผ่านประตูหนึ่งประตู แต่จะได้รับอาร์ติแฟคเพียงอย่างเดียว?”

แฟรี่แย้มยิ้มขณะที่มันเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“คุณช่วยตรวจสอบมาตรฐานของอาร์ติแฟคพวกนั้นก่อนได้ไหม?”

ทุกคนนำแผนที่ของตนเองออกมาและเริ่มที่จะตรวจสอบตัวเลือกของอาร์ติแฟค

จากนั้นพวกเขาก็ผงะไป

‘… ทำไมมันถึงได้ต่างกันมากขนาดนี้?’

<ถุงมือของฮาวล์> ที่อยู่หน้าบานประตูที่มีเลข <10> นั่นค่อนข้างดี แต่มันเป็นสิ่งที่คนผู้หนึ่งสามารถได้รับได้หากขยันมากขึ้นอีกหน่อย

และพวกมันมีสิบอันเช่นกัน

ในทางกลับกัน <ตะขอของโรโรพิน> ที่มีเพียงอันเดียวนั้นอยู่เบื้องหน้าบานประตูที่มีเลข <1> เขียนไว้อยู่ หรือ <รัดเกล้าของคิราเดอเรป> สองอันเบื้องหน้าบานประตูที่มีเลข <2> นั้นได้อยู่ในระดับที่ไม่อาจเทียบได้กับถุงมือของฮาวล์

พลังที่เหนือกว่าโดยสิ้นเชิง

แฟรี่หัวเราะเมื่อเห็นเช่นนั้น

“สิ่งที่ถูกเรียงไว้เบื้องหน้าบานประตูนั้นไม่ใช่เพียงตัวเลข มันคือสิ่งที่จะบอกพวกคุณว่าจะมีคนมากเท่าใดที่จะสามารถมีชีวิตรอดได้ จำนวนคนที่มีชีวิตรอดจากห้องนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกคุณแล้ว ฮี่ฮี่”

“…”

“มันไม่ใช่เรื่องแย่ที่จะเลือกประตูที่สิบและออกไปอย่างเป็นมิตรพร้อมด้วยถุงมือฮาวล์ ถึงแม้ฉันจะไม่แนะนำด้วยโครงสร้างของหอคอยก็เถอะ”

“เวรเอ้ย…”

มันไม่ใช่แค่ปัญหาเดียวแล้วในตอนนี้

เขาอาจจะกลายเป็นแค่ก้อนเนื้อเละๆ ถ้าเขาเลือกถุงมือฮาวล์ เผชิญหน้ากับทางแยกเช่นนี้อีกครั้ง และพบกับคนที่จะฆ่าอีกเก้าคนที่เหลือเพื่อบางอย่างเช่นตะขอนั่น

ชูลมานสบถเสียงลั่นพร้อมกับกำอาวุธในมือแน่นขึ้น

ขณะที่ทุกคนเริ่มที่จะขยับออกห่างคนอื่นนั้น ซูฮานก็ได้ตะโกนออกมา

“เดี๋ยว! มีสติกันหน่อย! มันไม่ใช่ตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่าเหรอที่จะไปยังระดับถัดไปพร้อมด้วยคนสิบคน!”

ทุกคนสะดุ้งขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น

แน่นอนว่ามันมีเหตุผลกว่าในการมีพันธมิตรเก้าคนแทนที่จะเป็นอาวุธชิ้นเดียวแบบนั้น

และยิ่งไปกว่านั้น ถ้านับว่าคุณอาจเป็นคนหนึ่งที่ตายระหว่างการต่อสู้

แฟรี่แย้มยิ้ม

“ฉันไม่รู้หรอก ฮี่ฮี่ มันจะไม่เป้นไรสำหรับพวกคุณเหรอที่จะสบายใจแบบนี้เมื่อนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น? หลังจากห้องนี้…”

ซูฮานตวัดสายตาไปมองแฟรี่อย่างโหดเหี้ยมก่อนจะตวาดลั่น

“หุบปาก”

“…”

ทุกคนผงะขณะที่พวกเขาเริ่มออกห่างซูฮาน

‘ไอ้หมอนั่น มันคิดอะไรอยู่ ต่อต้านแฟรี่แบบนั้น…’

ชูบมานมองไปยังซูฮานด้วยสีหน้าเป็นกังวล

เขารู้สึกแย่กับอีกฝ่ายเพราะแม้ว่านิสัยของหมอนั่นจะค่อนข้างดี เขาก็กำลังจะถูกฆ่าโดยสิ่งมีชีวิตตัวเล็กนั่น

แต่แฟรี่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร และกลับแสดงสีหน้าขบขันขณะเอ่ยพูดออกมาแทน

“เป็นผู้ชายที่อารมณ์รุนแรงอะไรแบบนี้ ฉันพูดเกี่ยวกับมันไม่ได้จริงๆ เหรอ?”

แต่จากนั้นชายที่อยู่ที่มุมหนึ่งก็ได้เอ่ยออกมา

“ไม่ พูดต่อเถอะ ฉันต้องรู้”

ชายคนนั้นมองไปยังซูฮานและเอ่ยออกมา

“นายน่ะหุบปากแทน เราควรจะฟังว่ามันเกี่ยวกับอะไรเป็นอย่างน้อยไม่ใช่เหรอ ถ้านายจะไม่ได้ดูแลชีวิตของพวกเรา งั้นก็อย่าขัดขวางข้อมูลสำคัญ นายต้องการจะตายหรืออะไรแบบนั้นรึไง”

“… ไอ้ฉิบหายนี่”

ซูฮานจ้องไปยังชายที่เอ่ยออกมา ทว่าไม่อาจเหวี่ยงดาบของเขาออกไปได้

เพราะคนคนนั้นคือหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสามเช่นเดียวกับเขา

ถ้าพวกเขาสู้กันที่นี่ พวกเขาก็จะแค่ช่วยคนอื่นๆ เลือกห้องที่แปดเท่านั้น

แฟรี่เอ่ยต่อ

“มันอาจไม่แย่ในการไปด้วยกันทั้งสิบคน แต่พวกคุณจะพบกับคนจากห้องอื่นๆ แม้ว่าจำนวนคนที่พวกคุณจะถูกจับรวมกันจะขึ้นอยู่กับห้องก็ตาม”

ทุกคนเคร่งเครียดขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น

ถ้าพวกเขาเลือกถุงมือฮาวล์ เช่นนั้นพวกเขาทั้งสิบคนก็จะสามารถมีชีวิตรอดได้ทั้งหมด

แต่การไปด้วยกันในตอนนี้ไม่ได้ยืนยันว่าพวกเขาจะได้ไปด้วยกันในรอบถัดไป

‘ไม่สิ มันจะดีกว่าถ้าพวกเราไม่ได้เป็นศัตรูกัน’

มันได้รับการพิสูจน์จากประสบการณ์ที่ผ่านมา

และถ้าหากคนที่พวกเขาพบในห้องถัดไปก็ได้เข้าไปในห้องสำหรับสิบคน ทว่าเลือกประตูบานที่ 3 หรือ 4 ล่ะ?

ถ้าหากพวกนั้นมาจากห้องสำหรับคน 40 คนและเลือกประตูที่ 10 ล่ะ?

ถ้าคุณเริ่มต้นจากจุดเริ่มต้นที่ใกล้เคียงกัน เช่นนั้นระดับของอาร์ติแฟคก็เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด

ถ้าพวกเขาออกไปแบบนี้ เช่นนั้นพวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับคนที่มีอาร์ติแฟคที่ทรงพลังกว่ามาก

“…”

สีหน้าของทุกคนกลับกลายเป็นเย็นชาไป

การตัดสินใจเด็ดขาดในการเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของพวกเขาในโครงสร้างบัดซบนี่

เลือกประตูที่มีตัวเลขต่ำๆ และติดอาวุธให้ตนเอง

มันอาจยากในตอนแรก แต่เมื่อพวกเขาได้เปรียบ ช่องว่างก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

แต่แม้ว่าทุกคนจะมีความคิดเช่นนั้น พวกเขาก็ไม่อาจซี้ซั๊วเคลื่อนไหวได้

เมื่อมันไม่มีข้อยืนยันใดๆ ว่าพวกเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของฝั่งที่ชนะ แม้ว่าพวกเขาจรู้สึกโลภก็ตาม

ซูฮานเอ่ยออกมาอย่างคุมเชิงขณะที่กวาดตามองทุกคน

“เดี๋ยว! ถ้าเราสู้กันที่นี่ เราอาจจะได้รับบาดเจ็บ! ถ้าเราไปยังห้องต่อไปในสถานการณ์แบบนั้น เช่นนั้นมันก็ยังคงอันตรายอยู่ดี มันดีกว่าที่จะไปทั้งสิบคน…”

“โอ้ อาการบาดเจ็บทั้งหมดของพวกคุณจะถูกรักษาทันทีที่ผ่านประตูไป เราควรจะมีบริการเท่านั้นเป็นอย่างน้อยเมื่อพวกคุณต่อสู้อย่างหนักหน่วงเพื่อมัน ฮี่ฮี่ ถูกตัดแขนขาก็ไม่เป็นไรเช่นกัน ดังนั้นก็สู้ให้ดีล่ะ”

“ไอ้บัดซบนี่…”

ในขณะที่ซูฮานรู้สึกหงุดหงิดจากคำพูดของแฟรี่ ยองแจก็มองไปยังซูฮานชั่วครู่ก่อนที่เขาจะแสยะยิ้ม

“ทำไมนายต้องพยายามที่จะมีชีวิตรอดไปทุกคนขนาดนั้น เป็นคนที่ค่อนข้างตลกเลยนะ”

“อะไรนะ?”

ก่อนที่คำพูดของยองแจจะสิ้นสุดลง ผู้หญิงคนหนึ่งก็ได้เดินไปอยู่ข้างเขา

ซูฮานหรี่ตาลง

มิจี

หนึ่งในคนสามคนที่แข็งแกร่งที่สุดเช่นเดียวกับยองแจ

“นี่มันอะ…”

“ฉันก็แค่ชอบความคิดของฝั่งนี้ ทำให้มันง่ายเถอะ คนที่ต้องการจะอยู่กับเรามาทางนี้ เราสามารถจัดการมันอย่างหยาบๆ ได้ แม้ว่ามันจะไม่ใช่ห้องที่หนึ่งหรือสอง หืมมม… 4? ห้องที่ 5 ก็ฟังดูดีนะ?”

‘เวรเอ้ย… มันดูเหมือนว่าพวกนั้นจะคุยกันไม่น้อยระหว่างทางที่มาที่นี่…’

ชูลมานกัดฟันกรอดขณะที่เขามองไปยังยองแจและมิจี

พวกเขาไม่ได้คาดเดาเหตุการณ์จนถึงจุดนี้ แต่ก็ได้แลกเปลี่ยนความคิดกันส่วนหนึ่ง

ชูฮานกัดฟันกรอดขณะที่เขาตวาดไปยังภาพนั้น

“เจ้าพวกบัดซบเสียสติ! ทำไมพวกนายถึงทำแบบนี้ทั้งๆ ที่เราสามารถจบมันได้โดยไม่ต้องต่อสู้…”

ยองแจหัวเราะ

“เราสามารถจบมันได้โดยไม่ต้องสู้กัน แต่มันดูเหมือนว่าถ้าเราทำแบบนั้น เราก็จะถูกกลืนกินโดยคนที่ต่อสู้และชนะ นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องผ่าน”

“เหี้ย…”

ขณะที่ซูฮานกัดฟันกรอด ยองแจก็เดาะลิ้นอยู่ภายใน

“มันคงต้องใช้เวลาทั้งวัน”

ทันทีที่สิ้นคำ ยองแจก็ได้พุ่งออกไปและเหวี่ยงดาบของเขาไปรอบๆ

ฉวะ

ฉูดดด

“อ๊ากกก!”

ชูลมานที่เผลอลดความระแวดระวังลงถูกตัดข้อมือออก

เขาได้พยายามที่จะกระโดดหลบไปด้านหลังเพราะเขาไม่ได้โง่ขนาดนั้น แต่ข้อมือของเขากระเด็นลอยออกไปเพราะว่ามันมีความแตกต่างมากเกินไปตั้งแต่ต้น

ทุกคนที่เห็นเช่นนั้นได้เริ่มมุ่งตรงไปเบื้องหลังซูฮานอย่างบ้าคลั่ง

พวกเขาต่างรู้

ว่าพวกเขาจะตายหมดถ้ามันยังเป็นแบบนี้ต่อไป

ไอ้หมอนั่นมันเสียสติ

“ไอ้เวรเอ้ย!”

อีกฝ่ายมีสองคน

แต่มันคือสองคนจากคนที่แข็งแกร่งที่สุดสามคนที่นี่

‘ฉิบหายเอ้ย… ไอ้หมอนั่นซ่อนพลังที่แท้จริงของมันเอาไว้’

ชูลมานกัดฟันกรอดขณะที่เขามองไปยังยองแจ

เขารู้ว่าหมอนั่นแข็งแกร่ง แต่การที่หมอนั่นแข็งแกร่งขนาดนี้

คนผู้หนึ่งสามารถมองเห็นได้ว่าพวกเขามีมัดกล้ามเนื้อมากแค่ไหนจากการมอง แต่ว่าไม่อาจที่จะเห็นได้ว่าคนคนนั้นมีจำนวนรูนเท่าไหร่ก่อนที่จะปะทะกันอย่างเต็มที่

ถ้าคนคนนั้นซ่อนสกิลของเขาเอาไว้ มันก็ไม่มีทางเลยที่จะรู้ได้

พวกเขาไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของพวกนั้นได้ถ้าพวกเขาไม่รวมกลุ่มกันโดยมีซูฮานเป็นศูนย์กลาง

ยองแจแสยะยิ้มเมื่อเห็นเช่นนั้น

“เวรจริง มันได้ผลตรงข้าม ฉันทำแบบนี้เพื่อที่จะให้พวกนายมาฝั่งนี้ งั้นก็มีคนแค่สองคนรวมคุณผู้หญิงคนนี้งั้นเหรอ?”

มันเป้นสถานการณ์ที่เสียเปรียบอย่างมากเมื่อมองจากมุมหนึ่ง แต่ยองแจไม่ได้แสดงมันออกไปขณะที่เขาพุ่งตรงไปยังซูฮาน

และการประดาบก็เริ่มต้นขึ้นหลังจากที่คนอื่นๆ ต่างก็ได้พุ่งเข้าไป

“ไอ้เวรนี่! ตาย”

“ไอ้เหี้ย! ตาบอดเพราะอาร์ติแฟค!”

ยองแจและมิจีนั้นแข็งแกร่ง แต่ซูฮานนั้นไม่ได้ถูกกดดันเช่นกัน ทั้งพวกเขายังมีข้อได้เปรียบด้านจำนวนด้วย

และทุกคน ไม่รวมชูลมานที่ไม่อาจต่อสู้ได้ ก็ได้เริ่มส่งกลิ่นอายกระหายเลือดออกมารอบๆ

ไม่สิ มันยังคงมีอีกคนที่ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้นี้

“เฮ้ มินฮี…”

“อุ… อืม…”

เด็กตัวน้อยที่ยกอาวุธในมือขึ้นฟาดฟันศัตรูอย่างยากลำบากได้หวาดกลัวเสียจนสติหลุด ไม่กล้าเข้าใกล้กลุ่มคนที่เริ่มเข้าปะทะกัน

ชูลมานที่กำข้อมือของตนแน่นพร้อมกับมองไปทางเด็กหญิงด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

คำกล่าวที่จะให้อีกฝ่ายออกไปช่วยนั้นได้จุกอยู่ที่ลำคอของเขา

แต่เขาไม่อาจเอ่ยมันออกไปได้เมื่อเห็นเด็กตัวเล็กๆ ที่หวาดกลัวมากมายเช่นนั้น

‘เวรเอ้ย… ยองแจ ไอ้เวรนี่…’

ชูลมานพยายามที่จะรักษาข้อมือของเขาด้วยพลังทั้งหมด ทว่ามันดูเหมือนว่าเขาจะไม่อาจทำได้เพราะเส้นเอ็นของทั้งสองมือนั้นได้ถูกตัดออก

ไม่ช้า หลังจากที่การต่อสู้สิ้นสุดลง

“อั่กกก…”

“อึกก…”

ผลลัพธ์นั้นคือยองแจและมิจีชนะ

ความสามารถที่ยองแจได้ซ่อนเอาไว้นั้นเหนือกว่าธรรมดาจริงๆ

ทั้งสองเลือดท่วมกาย ทว่าคนอื่นๆ นั้นกลับไม่อาจแม้แต่จะยืนอยู่ได้ และต่างกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเจ็บปวด

มิจีแสยะยิ้มขณะที่เธอมองไปยังยองแจผู้นั้น

“โฮ่… นายสู้ได้ดี แต่ทำไมนายถึงไม่ฆ่าเลยสักคนล่ะ? มันมีเหตุผลรึเปล่า?”

ทุกคนล้มลงเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น ทว่าไม่มีผู้ใดเสียชีวิต

แน่นอนว่าพวกเขาถูกตัดข้อมือ และเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดมหาศาล ดังนั้นแล้วพวกนั้นจึงไม่อาจต่อสู้ได้ แต่พวกนั้นก็ยังคงมีชีวิตอยู่

ยองแจหัวเราะขณะที่เขาเอ่ยพูด

“มันมีเหตุผลสำหรับเรื่องนี้ แต่ยังไงก็ตาม…”

ในตอนนั้นเองที่สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบอย่าน่าสะพรึง

จากนั้นเขาก็ผลักร่างของมิจีออกไป

“นี่นายทำ…”

และในจุดที่มิจีเคยยืนอยู่ก็ได้ปรากฏดาบเล่มหนึ่งพุ่งผ่านไปด้วยความเร็วสูง

ดาบนั้นยังคงฟาดฟันต่อไปเมื่อมันขยับไปทิ่มแทงร่างของยองแจ

มิจีสามารถหลบมันได้อย่างเฉียดฉิว ทว่ายังคงปรากฏแผลบาดลึกที่หัวไหล่ ขณะที่ยองแจถูกแทงลึกที่ท้องจากการโจมตีนั้น

“อั่กกก…”

ยองแจครางออกมาขณะที่จับดาบที่เสียบคาอยู่บนร่างของเขาเอาไว้

ความเร็วที่ไม่อาจที่จะเทียบได้กับการต่อสู้ก่อนหน้า

ยองแจกระอักเลือดออกมาเล็กๆ ขณะที่เขามองไปยังมินฮีผู้เป็นคนปาดาบนั้นมา

“เธอ… ความสามารถของเธอ… ทำไมเธอถึงอยู่นิ่งๆ ถ้าเธอมีความสามารถขนาดนี้?”

มินฮีหัวเราะเสียงเย็นก่อนเอ่ยตอบ

“ไม่มีเหตุผลให้ฉันแสดงตัวออกไปเมื่อนายทำงานที่ฉันต้องทำไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันเห็นคนที่บ้ายิ่งกว่าฉัน”

<ลอร์ด ฉันจัดการที่นี่ได้อย่างง่ายดาย>

มินฮีหัวเราะขณะที่เธอส่งข้อความไปยังวูงยอง

เธอได้มองหาโอกาสก่อนหน้า ทว่ามันค่อนข้างลำบากเพราะสามคนนั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง

และนี่เป็นสาเหตุให้เธอมองหาโอกาสอยู่สักพักแล้ว

เพื่อที่จะแทงพวกนั้นจากเบื้องหลังเมื่อสถานการณ์ที่กระทั่งอันตรายยิ่งกว่าเดิมเกิดขึ้น

แฟรี่ได้สร้างมันขึ้นมา แต่เธอได้เดาะลิ้นและยอมแพ้

เพราะมันไม่ได้ดูเหมือนว่าการต่อสู้จะเกิดขึ้น

แต่จากนั้นเจ้าผู้ชายที่ชื่อยองแจนั้นได้เริ่มต่อสู้กับคนอื่นๆ

‘นั่งบนภูดูหมากัดกัน’

นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกคนโลภคือสิ่งที่ดี

มันยากที่จะต่อต้านคนสิบคนแม้จะเป็นพวกเขา

แต่มันมีเหตุผลที่ทำให้พวกเขาแบ่งออกไปทีล่ะคนสองคนต่อกลุ่ม

เมื่อมันไม่มีความจำเป็นให้พวกเขาต้องสู้กับคนอื่นๆ เพียงลำพัง

ทุกสิ่งจะง่ายขึ้นถ้าหากมีคนแบบหมอนั่นสักคนสองคนปรากฏตัวขึ้น

ในขณะที่มินฮีหัวเราะอย่างเงียบงัน ยองแจก็ได้พึมพำเสียงเย็นอยู่เบื้องหน้าอีกฝ่าย

“พวกนายมีความอดทนมากจริงๆ การที่พวกนายจะออกมาก็ต่อเมื่อฉันทำแบบนี้เท่านั้น”

เขามักจะรับรู้ถึงมัน แต่ปัญหาเกี่ยวกับคนพวกนี้คือพวกมันมักจะมีความอดทนมากเกินไป

นั่นเป็นสาเหตุให้พวกมันจะออกมาก็ต่อเมื่อมีใครบางคนสร้างสถานการณ์ขึ้นมา

มันจะอันตรายยิ่งขึ้นนับแต่นี้ มันจะเป็นปัญหาถ้าหากเขาเคลื่อนไหวไปข้างหน้าโดยที่ไม่จัดการเรื่องเหล่านี้

‘ชิ ถึงมันจะรักษาให้… มันก็เจ็บฉิบหาย’

ทันทีที่ประตูเปิดออก ทุกคนจะถูกรักษา

แน่นอนว่ามันไม่มีสิ่งใดที่พวกมันทำได้ถ้าเกิดมีใครตาย

“อะไรนะ?”

กระทั่งก่อนที่มินฮีจะขยับตัว กริชที่ออกมาจากแถวๆ หน้าขาของอีกฝ่ายก็ได้แทงทะลุทรวงอกของเธอไปแล้ว

‘ต่อจากนี้คือชั้นสอง เจอกันในอีกไม่นาน’

เขาจะฆ่าพวกแมงหวี่แมลงวันตัวเล็กๆ อย่างพวกนี้ไประหว่างทาง

เป้าหมายที่แท้จริงคือชายที่เขาจะเจอในขั้นสาม

ฮันซูหัวเราะเสียงเย็นขณะที่เขาคิดถึง <การล่าสมบัติ> ที่จะเกิดขึ้นในห้องต่อไป

 


TL: ไหนใครทายถูกมั่งเอ่ยว่ายองแจคือฮันซู