บทที่ 43: หอคอย (2)

 

 

 

ฮันซูที่ได้เอ่ยลากับซังจินแล้วได้มองไปยังหอคอยที่อยู่ห่างออกไปพร้อมกับจมลงในห้วงความคิด

‘ดูเหมือนว่าฉันคงต้องเล่นซ่อนแอบ เขามีพรสวรรค์จริงๆ หืม’

ชายหนุ่มเดาะลิ้น

พวกเขาสามารถเลือกได้เพราะโคตรสร้างของหอคอยนั้นพิเศษ

ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวเป็นกลุ่มเล็กๆ หรือกลุ่มใหญ่

ความยากและรางวัลที่เหมาะสมจะถูกตระเตรียมไว้

ลอร์ดกิลด์ธรรมดาจะพยายามเคลื่อนไหวโดยรวมพลังของกิลด์ของพวกเขา

เมื่อพวกเขาทำแบบนั้นมาตลอดจนกระทั่งบัดนี้ และมันก็ปลอดภัยกว่าเช่นกัน

แต่ไอ้หมอนี่ต่างออกไป

<เวลามีไม่พอสำหรับพวกเราในการฆ่าคนอื่นๆ ด้วยการเคลื่อนไหวไปแบบกลุ่มใหญ่ แยกตัวและเคลื่อนไหวโดยคิดว่าต้องฆ่าให้ได้ 10 คน ต่อคน ครอบครองโอกาสที่จะถูกมอบให้คนสิบคนไว้เพียงผู้เดียว จากนั้นจึงเอารูนไปจากศพของพวกนั้น>

ด้วยความคิดเช่นนั้น หมอนั่นจึงได้แบ่งลูกกิลด์ออกและส่งพวกนั้นปะปนเข้าไปในกลุ่มนักผจญภัย วิธีการที่เป็นไปได้เพราะหมอนั่นเชื่อมั่นในความสามารถของลูกกิลด์แต่ล่ะคน และเพราะพวกเขาสามารถติดต่อกันได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ส่วนใดของหอคอย

มันคงจะสะดุดตาหากพวกนั้นเคลื่อนไหวเป็นกลุ่ม แต่การเคลื่อนไหวเป็นกองกำลังนักฆ่าเล็กๆ จะทำให้พวกนั้นสามารถแสร้งทำตัวเป็นนักผจญภัยธรรมดา และกวาดล้างคนอื่นๆ ในช่วงเวลาสำคัญได้

ผู้คนที่ตายด้วยน้ำมือของกองกำลังนักฆ่าของลอร์ดวิปลาสนั้นมีจำนวนเกินพันคนในอดีต และกองกำลังนักฆ่าเหล่านี้ได้ครอบครองอาร์ติแฟคและรูนของคนพันคนนั้นจนกระทั่งพวกนั้นสามารถสังหารหมู่ผู้คนได้อย่างเปิดเผย และไม่มีผู้ใดสามารถทำอะไรพวกเขาได้

เมื่อพวกนั้นแยกตัวกัน เขาก็ต้องตามหาและฆ่าพวกนั้นทีล่ะคนขณะที่เขาปีนขึ้นไป ไม่จำเป็นต้องมองหาภาพลักษณ์ของเขา เพราะเขาได้แปลงโฉมตนเองแล้ว แต่เขาไม่ได้ทำเพียงเพื่อฆ่านักผจญภัยทั่วไปเพื่อให้พวกนั้นกลายเป็นรูน

เขาเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนเองเพื่อที่จะเข้าใกล้ลอร์ดวิปลาสที่รู้จักหน้าตาของเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และตัดคออีกฝ่ายในครั้งเดียว

‘มันคงไม่นานขนาดนั้น’

ฮันซูคิดถึงเรื่องนี้ ก่อนจะหัวเราะเสียงเย็นเยียบพร้อมกับเดินตรงไปยังหอคอยอย่างเชื่องช้า

หลังจากเดินมาอย่างยาวนาน ผู้คนภายในหอคอยก็ได้ทักทายฮันซู

“คนใหม่มาแล้ว ฉันชื่อซูฮาน นายล่ะ?”

ฮันซูแสดงสีหน้าทะมึนทึมเมื่อได้ยินคำถามจากชายตรงหน้า

‘อ่า ฉันต้องตั้งชื่อ’

เพราะเขาอยู่ในตัวตนที่แตกต่าง เขาก็ต้องตั้งชื่อแยกต่างหาก

เมื่อเขาไม่ใช่คังฮันซูอีกต่อไป

ฮันซูหัวเราะก่อนจะเอ่ยชื่อของเขาออกไป

“ฉันชื่อ…”

 

 

“นั่นหอคอยรึเปล่า…”

ชูลมานขมวดคิ้วขณะที่มองตรงไปยังหอคอยขนาดยักษ์ที่อยู่ห่างออกไป

มันยากเท่าใดกันที่จะมาถึงจุดนี้

ชูลมานมองไปรอบกายอย่างระแวดระวังขณะที่เขาก้าวเดินไป

ในเวลาเดียวกัน เขาก็ได้เหลือบมองไปยังหอคอยที่อยู่เบื้องหน้า

หอคอยขนาดยักษ์

ทางเข้าจำนวนมากปรากฏขึ้นในทุกทิศทาง ทว่ากลับไม่มีความแตกต่างกันมากมายนัก

‘…ฉันแค่ต้องเข้าไปหรือ?’

ชูลมานเลือกหนึ่งในนั้นก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปอย่างระมัดระวัง

ทางเดินของมันยาวซึ่งเหมาะกับขนาดของหอคอยยักษ์

ขณะที่เขาเดินเข้าไปตามอุโมงค์ ลานวงกลมขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้น

‘…นี่คือ?’

ชูลมานตรวจสอบรอบกายทันทีตามสัญชาตญาณ

ทางเข้านับร้อยได้ล้อมรอบลานนี้ไว้ ประตูส่วนหนึ่งได้ปิดลงแล้ว เหนือทางเข้าเหล่านั้นปรากฏตัวเลขที่หลากหลาย

บ้างก็ปรากฏเลข 1 บ้างก็ 50

ทางเข้าที่ใหญ่กว่าบางทางกระทั่งมีตัวเลข 80

ความคล้ายคลึงของพวกมันนั้นคือภายในทางเข้าไม่ใช่ทางเดิน ทว่าเป็นห้องเล็กๆ

‘นี่มันคืออะไรกัน…’

แต่มันไม่ใช่ส่วนแปลกประหลาดเพียงส่วนเดียว

คนกลุ่มหนึ่งที่รวมตัวกันอยู่ที่มุมหนึ่ง

‘9คน’

มีคนเพียง 9 แต่เขาก็ไม่อาจลดความระมัดระวังลงได้

ในขณะที่ชูลมานกำลังระแวดระวังนั้น ชายที่อยู่ด้านหน้าสุดก็ได้เอ่ยขึ้นขณะมองมายังเขา

“อย่าระแวงนักเลย พวกเราก็เพิ่งจะพบกันที่นี่เป็นครั้งแรกเหมือนกัน”

“…?”

คนอื่นๆ ไม่อาจลดความระแวงระวังลงได้ แต่พวกเขาล้วนมีความสงสัยปรากฏขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น

อะไรคือเหตุผลให้คนเก้าคนที่ไม่รู้จักกันรวมตัวกัน

และความที่คนทั้งเก้านั้นได้รวมกลุ่มกันก็แปลกประหลาดเช่นกัน

“ทำไมพวกนายถึงรวมตัวกันแบบนั้น?”

ชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า ซูฮาน เอ่ยตอบคำกล่าวของชูลมาน

“ฉันชื่อซูฮาน อืม… ไหนๆ นายก็มาคนเดียวเท่าที่ฉันเดาน่ะนะ มันก็คงไม่มีใครที่นายสามารถเชื่อมั่นได้จริงๆ ใช่ไหม?”

ชูลมานขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น

ถูก

เขารู้สึกถึงมันตั้งแต่ที่เขาขึ้นไปยังเกาะอื่น

ว่าไม่มีใครเลยที่เขาจะสามารถเชื่อได้จริงๆ

ไม่สิ ไอ้แฟรี่บัดซบนั่นทำให้มันเป็นแบบนั้น

เขาไม่ได้ไม่พอใจมัน

พวกเขามีชีวิตเพียงชีวิตเดียว ใครในโลกใบนี้ที่จะยอมทิ้งชีวิตตัวเองเพื่อคนอื่น

เมื่อเขาเองก็เป็นแบบนั้น

ซูฮานแย้มยิ้มขณะที่มองไปยังอีกฝ่าย

“แต่เราจะทำยังไงล่ะ มันดูเหมือนว่าเราต้องรวมตัวกันไม่ว่ายังไงก็ตาม นายคือคนที่สิบ มันบอกว่าเราต้องการคนเพิ่มอีกคน”

“?”

ในขณะที่ชูลมานแสดงสีหน้างุนงง แฟรี่ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นจากอากาศ

“ฉันขอยินดีต้อนรับพวกคุณเข้าสู่หอคอย ฮี่ฮี่ นี่คือดินแดนแห่งโอกาส แน่นอนว่าทุกที่ในบทฝึกซ้อมล้วนเป็นเช่นนั้น แต่สถานที่แห่งนี้เป็นยิ่งกว่านั้นเสียอีก”

และในตอนนั้นเองที่แผนที่เล็กๆ ได้ปรากฏขึ้นบนมือของชูลมาน

‘นี่คือ…’

ข้อมูลเกี่ยวกับประตูนับร้อยใกล้ๆ ได้ถูกเขียนไว้บนนั้น

<ห้อง 2 คน: มงกฎแห่งอารูนาน ยาแห่งโคคูลคา> (ปิด)

<ห้อง 9 คน: ผ้าคลุมเจ็ดลาย ตุ๊กตาของคารูน…> (ปิด)

<ห้อง 10 คน: ตะขอของโรโรพิน รัดเกล้าแห่งคิลาเดอเรป> (ปิด)

<ห้อง 47 คน: อุปกรณ์รองของเคลพิน ดาบแห่งอคิน…>

<ห้อง 80 คน: ความพิโรธแห่งสวรรค์ ดาบแห่งอัสนี…> (ปิด)

<ห้อง 80 คน: ดาบของกษัตริย์…> (ปิด)

เขากระทั่งสามารถอ่านคำอธิบายเกี่ยวกับตัวเลือกเหล่านี้ได้จากการกดลงไปบนมัน

‘… ดาบของกษัตริย์? ความพิโรธแห่งสวรรค์? พวกนั้นกระทั่งให้ของพวกนี้? นี่มันไม่มากเกินไปหน่อยเหรอ’

ขณะที่ชูลมานมีสีหน้าตื่นเต้น แฟรี่ก็แย้มยิ้มก่อนที่มันจะเอ่ยขึ้น

“นี่คือบริการสำหรับพวกคุณ พวกคุณเห็นผู้คนเคลื่อนไหวเป้นกลุ่มใหญ่อย่างเร่งรีบที่เกาะเบื้องล่างใช่ไหม?”

ชูลมานผงกศีรษะ

‘เวรเอ้ย… นั่นมันผิดปกติจริงๆ แกต้องการให้พวกเราเผชิญหน้ากับไอ้สิ่งแบบนั้นด้วยวิธีการไหนกัน’

ลอร์ด

พลังจิตของพวกนั้นมันน่ามหัศจรรย์ในตัวเองอยู่แล้ว แต่มันยังทรงพลังอย่างมากด้วย

คน 50-100 คนเคลื่อนไหวกันเป็นกลุ่ม พวกมันหวังให้พวกเขาชนะในสถานการณ์แบบนั้นได้อย่างไร เขาได้ผ่านเกาะมาแล้วสองเกาะจนกระทั่งมาถึงที่นี่ และหนึ่งในนั้นมีลอร์ดคนหนึ่งอยู่

มันเป็นเกราะที่สามารถรองรับคนได้ 100 คน แต่ตลอดเวลาขณะที่เขาอยู่ที่เกาะนั้นแทบจะเรียกได้ว่าถูกควบคุมโดยลอร์ดที่นำคน 50 คนไว้ตลอดเวลา

“ฉันมองจากด้านบน แต่ เฮ้อ คนที่เดินทางคนเดียวจะสามารถมีชีวิตอยู่ด้วยความเศร้าสร้อยแบบนั้นได้ยังไง? ดังนั้นแล้วเราจึงเตรียมสิ่งนี้ให้พวกคุณ หากเป็นเช่นนี้พวกคุณก็จะไม่เสียเปรียบเพราะคนไม่พอใช่ไหม?”

เขาตระหนักได้ในตอนนั้น

ว่าห้อง 2 คนและห้อง 3 คนหมายถึงอะไร

เกมที่จะสามารถเล่นได้ด้วยคน 2 คน เกมที่สามารถเล่นได้ด้วยคน 3 คน

‘แน่นอน… ถ้ามันทำแบบนั้น โอกาสที่จะปะทะกับกิลด์จะต่ำลงอย่างมาก’

เมื่อมันอันตรายถึงเพียงนั้น แต่มีรางวัลมหาศาลอยู่ด้วย

ห้องสำหรับสองคนและสามคนนั้นดูเหมือนว่าจะปิดลงหมดแล้วจากคนที่เข้าไปก่อนหน้า แต่ห้องสำหรับคนสิบคนยังคงเหลืออยู่

‘นี่คือสิ่งที่พวกนั้นหมายถึงตอนที่บอกว่ากำลังรอฉันอยู่’

พวกนั้นต้องการที่จะเข้าห้องสำหรับคนสิบคน แต่ว่าขาดไปหนึ่งคน

ชูลมานมองไปยังแฟรี่ด้วยสีหน้าเคลือบแคลงอย่างมาก

‘ไอ้แมงหวี่นี่เป็นมิตรได้ด้วยเหรอ?’

พวกมันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง

แต่ในตอนนั้น เขาก็ได้ยินเสียงของซูฮานที่เอ่ยเรียกเขา

“ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดมากหรอก ตอนนี้ห้องที่จำนวนคนน้อยที่สุดตอนนี้คือห้องสำหรับสิบคน”

“…”

ราวกับว่าผู้คนก่อนหน้าพวกเขาก็มีความคิดที่คล้ายคลึงกัน ห้องสำหรับคนสองคนถึงเก้าคนถึงได้ถูกปิดไปนานแล้ว

‘เอาเถอะ… พวกนั้นเข้าไปโดยใช้เวลารวมตัวไม่มาก มันก็คงเต็มอย่างรวดเร็ว’

เขามาคนเดียว

ห้องสำหรับสิบคนเป็นห้องที่เลวร้ายน้อยที่สุดแล้ว

ถ้าเขาพลาดโอกาสนี้และเข้าไปในห้องสำหรับ 11 คนด้วยจำนวนคนเพียง 3-4 คน มันย่อมเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับเขา

‘ไม่มีทางที่มันจะไม่วางกับดักบางอย่างเอาไว้’

ชูลมานผงกศีรษะขณะที่เดินตรงไปยังห้องที่มีเลข <10> เขียนไว้เหนือประตูทางเข้าพร้อมกับอีกเก้าคนที่เหลือ

ขณะที่คนสิบคนเข้าไปในห้อง ประตูบานนั้นก็ได้ส่งเสียงครืนครางดังพร้อมกับที่มันปิดตัวลง

ครืนนนนนน

ทันใดนั้น ห้องเล็กพร้อมด้วยคนสิบคนภายในก็ได้ขยับอย่างรุนแรงขณะที่มันจมลึกลงไปในหอคอย

 

ฉัวะ!

ฉัวะ

ชูลมานศีรษะของสัตว์อสูรที่พุ่งเข้ามาหาเขา

สัตว์อสูรที่มีรูปลักษณ์เหมือนมดแดงได้พ่นรูนออกมาหลังจากที่ศีรษะของมันถูกตัดออกด้วยดาบใหญ่ขนาดกลางในมือของเขา

‘ไหนดูสิ หมอนั่นใช่ไหมว่าเราควรจะเอาของจากสิ่งที่เราฆ่าด้วยตัวเอง?’

เขาไม่ได้ลดความระแวดระวังต่อคนอีกเก้าคนลงแม้ว่าจะกำลังล่าอยู่

ในเวลาเดียวกัน เขาก็ได้สำรวจคนที่เหลืออยู่ตลอดเวลา

‘อย่างแรก… ดูเหมือนว่าคนพวกนี้รู้ว่าควรจะร่วมมือกันยังไง’

บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาระแวดระวังกันเอง หรืออาจเป็นเพราะพวกเขาตัดสินใจว่ามันไม่ใช่เวลาที่จะมาสู้กันเอง แต่อย่างไรกฎที่ชัดเจนก็ถูกตั้งขึ้นในระหว่างพวกเขาทั้ง 10 คน

กฎพื้นฐานสองข้อที่บอกว่าพวกเขาต้องต่อสู้และแบ่งรูนกับอาร์ติแฟคตามสัดส่วนที่พวกเขาร่วมมือ

‘อย่างที่ฉันคาด… ระดับมันแตกต่างกัน’

สามคนที่แบ่งเป็นชายสองคนซึ่งหนึ่งในนั้นคือซูฮาน และผู้หญิงอีกคนนั้นแข็งแกร่งมาก

เมื่อมันดูเหมือนว่าคนอื่นอีก 7 คน ไม่อาจเอาชนะทั้งสามคนได้

มีคนสามคนที่อ่อนแอกว่าเขา

‘โชคดีที่ไม่มีใครคิดจะครอบครองทุกสิ่งไว้คนเดียวเพราะความแข็งแกร่ง… และพวกผู้หญิงก็สู้ได้ดี’

การเป็นผู้หญิงไม่ได้หมายความว่าพวกนั้นจะอ่อนแอ

ไม่สิ ความจริงแล้วพวกนั้นกลับส่งกลิ่นอายอันตรายออกมาทุกๆ การวาดดาบในมือ แสดงให้เห็นว่าการที่พวกเธอจะมาถึงจุดนี้ได้นั้นมันยากเย็นแค่ไหน

แต่จากนั้นความคิดหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นในศีรษะของเขา

‘…นี่มันง่ายเกินไป’

แน่นอนว่าเขาไม่ได้หมายถึงความยากของมัน

เพราะหากมันง่ายขนาดนั้น มันคงไม่ทำให้พวกเขาใช้เวลาทั้งวันในการมาถึงที่นี่

เช่นชื่อของมัน ห้องสำหรับสิบคน ความยากนั้นถูกตั้งขึ้นให้คนสิบคนร่วมมือกันอย่างดีเพื่อที่จะเคลียร์มัน

มันอาจยากหากพวกเขามีคน 8 หรือ 9 คน

ความยากนั้นได้เป็นส่วนหลักที่ทำให้พวกเขารักษากฎขณะที่คืบคลานไปเบื้องหน้า

หากมันยากเกินไปหรือง่ายเกินไป เช่นนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาคงจะย่ำแย่ยิ่งกว่าตอนนี้มาก

เมื่อคนคนหนึ่งย่อมมีความคิดที่แตกต่างออกไปเมื่อพวกเขาอยู่ในสถานการณ์เข้าตาจนหรือผ่อนคลาย

แต่เพราะแบบนี้ พวกเขาจึงรู้สึกสบายใจมากกว่าเดิม

‘แฟรี่ไม่ได้วางกับดักไว้หรือ?’

ขณะที่ชูลมานกำลังประหลาดใจ ซูฮานก็เหวี่ยงดาบของเขาไปพร้อมกับตะโกนอย่างกระตือรือร้น

“ดูเหมือนว่าพวกเราทั้งสิบคนจะสามารถมีชีวิตรอดได้หากเป็นแบบนี้? เข้มแข็งเข้าไว้นะ!”

ชูลมานพยักหน้าเมื่อได้ยินเช่นนั้น

‘ใช่ ให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวไปข้างหน้าก่อน’

ใครจะสนุกกับการฆ่าและขโมยของจากพวกเขาหากพวกเขาสามารถรวมพลังกัน ดังนั้นแล้วการทำแบบนั้นคือสิ่งที่ดีที่สุด

พวกเขาต่างขยันขันแข็งมากขึ้นเมื่อชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย

และพวกเขาต่างมีสถานการณ์ของตัวเอง

อย่างเขา

‘เวรเอ้ย… ฉันไม่มั่นใจว่าฉันจะหาซูฮีเจอ’

ชูลมานกัดฟันกรอด

เขาต้องมีชีวิตรอดและค้นหาลูกสาวของเขาที่ถูกแยกไประหว่างสงครามขโมยตั๋ว

ลูกสาวของเขา ซูฮี และเขา พวกเขาสองคนไม่แข็งแกร่งพอที่จะรวบรวมตั๋วสามใบ ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงต้องขึ้นเรือสุ่มสำหรับสามคนและขึ้นไปด้วยตั๋วสามใบ

เมื่อพวกเขาคงจะสูญเสียตั๋วและตายหากพวกเขายังรั้งอยู่นานอีกหน่อย

มันเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วตั้งแต่ที่เขาแยกจากซูฮี

ความไม่มั่นใจพุ่งพล่านออกมาจากส่วนลึกภายใน ทว่าเขาไม่อาจทำสิ่งใดได้

เขาทำได้เพียงแค่ตามหาต่อไปอย่างบ้าคลั่ง

หลังจากที่ฟาดฟันอาวุธในมือจนแทบเสียสติ จุดหมายปลายทางของพวกเขาก็ได้ปรากฏขึ้นในสายตา

สถานที่ที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับสภาพแวดล้อมราวกับป่ารอบกายพวกเขา

ชูลมานถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ดูเหมือนว่าเราจะเกือบถึงแล้ว ตาแก่”

ชูลมานมองไปด้านข้างที่ปรากฏเสียงเสียงหนึ่งขึ้น

เด็กสาวที่วาดอาวุธในมืออย่างขยันขันแข็งข้างๆ เขา

หนึ่งในคนที่อ่อนแอที่สุดสามคน

‘เธอว่าชื่อมินฮีไหม โฮ่… ซูฮีเองก็อายุราวๆ นี้เหมือนกัน’

ชูลมานถอนหายใจ

เพราะความคิดเกี่ยวกับซูฮีปรากฏขึ้นมาเมื่อเขาเห็นอีกฝ่าย

“ใช่ แต่มันเป็นเรื่องดีที่ที่นี่ไม่มีคนเลวร้าย”

มินฮีส่ายศีรษะพร้อมเอ่ยพูด

“คุณไม่สามารถรู้ได้จากการมองคนอื่นๆ จากภายนอก”

“…”

ชูลมานกัดฟันกรอด

มันเป็นแบบที่อีกฝ่ายพูด

มันอาจมีใครบางคนที่กำลังมองหาโอกาสอยู่

‘และ… มันจะจบลงแบบนี้หรือ?’

มันอาจไม่มีคนเลว

แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป การที่ผู้คนเลวร้ายลงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต

ชูลแมนที่จมลงในห้วงความคิดสะดุ้งขึ้นเมื่อมองไปยังสถานที่ที่พวกเขาไปถึง

‘… มันไม่ได้มีประตูแค่ประตูเดียว’

ประตูที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขานั้นไม่ได้มีแค่บานเดียว

ประตูสิบบานสำหรับคนสิบคน

‘นี่มันให้ความรู้สึกไม่ดีเอาซะเลย’

ชูลมานและคนอื่นๆ ขมวดคิ้ว

 


TL: ปู่ค่าตัวแพงอีกแล้ว//หัวเราะ

มาทายกันดีกว่าค่ะว่าจะเกิดอะไรขึ้น!!