บทที่ 269 ไม่ต้องการเป็นเจ้าสำนัก

พวกเขาเข้าไปภายในตำหนักศิลาที่ขนาดสิบเมตร

เย่เฟิงใช้ทักษะสัมผัสวิญญาณสำรวจภายในตำหนักศิลา มันมีทองคำแท่ง อัญมณีมากมายและจนไปถึงสิ่งของต่างๆ นอกจากนี้มันยังมีตู้เซฟอยู่ด้วยเช่นกัน ข้างในเต็มไปด้วยเงินเป็นปึกและมีบัญชีมากมายหลายอย่าง

แม้ว่าสำนักเซียนเร้นลับจะหลบซ่อนอยู่ภายในเมือง แต่ความสัมพันธ์มันก็เป็นดั่งเช่นปกติในท้ายที่สุด ก็ต้องใช้เงินซื้อข้าวของสำรองเพื่อดื่มกินในยามปกติที่ทั้งหมดมาจากธุรกิจที่ทันสมัยในโลกใบนี้

“ไม่คาดคิดเลยว่าฉีหลินจื่อก็มีความชื่นชอบเช่นนี้เหมือนกัน”

เย่เฟิงกวาดตามองไปหนึ่งรอบ ก็พบว่าตำหนักศิลาแตกต่างไปอย่างไม่ถูกต้อง มูลค่าของสิ่งของรอบๆกำแพงศิลามันตั้งไว้อย่างประณีต สิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คือแหวนเพชรอันใหญ่ มองอย่างลวกๆคาดว่ามันคงจะมากกว่าสิบกะรัตได้

แท้จริงแล้วของที่คุ้มค่าที่สุดหนึ่งในสิบอันดับในยุทธจักร มันก็คือแหวนเพชรวงนี้ เพียงแค่ส่วนบนของเพชรที่ถูกตัดเจียระไน มันสามารถขายได้มากว่าสิบล้านแน่นอน ไม่รู้เลยว่าฉีหลินจื่อสรรหามันมาจากที่ใดกัน

จื่อเจี้ยนหลานมองไปยังเย่เฟิงที่จดจ่ออยู่กับแหวนเพชร ใบหน้าอันงดงามก็เปิดเผยถึงความชิงชังในทันที “สิ่งนี้ที่เขาจะมอบมาให้ฉันเป็นของขวัญแต่งงานหรอกหรือ”

เย่เฟิงถึงกับไร้คำพูด ไม่สามารถคิดได้เลยว่าตาเฒ่าจะขอแต่งงานกับหญิงสาว สิ่งที่น่าสงสารกับต้องมาเจอกับจื่อเจี้ยนหลาน

ถ้าภายในลึกๆตรงกลางใจของผู้หญิงแล้วล่ะก็ แม้ว่าจะเป็นเพียงตาเฒ่าแต่มีแหวนเพชรใหญ่ขนาดนี้ พวกเธอคงจะไม่แยกไปจากมันแม้แต่นาทีเดียว มันเป็นธรมชาติของผู้หญิง แต่ฉีหลินจื่อคงไม่ต้องการผู้หญิงเช่นนั้น มีเพียงจื่อเจี้ยนหลานที่เป็นหญิงสาวที่มีระดับสูงเท่านั้นที่จะถูกรักโดยฉีหลินจื่อได้

เหล่าสิ่งของที่มีค่าในตำหนักศิลานี้มันอาจจะมีประมาณ 2,000,000 – 3,000,000 ชิ้น นี่มันช่างน้อยนิดมากกว่าที่เย่เฟิงคาดการณ์ไว้เสียอีก แต่เอาไปให้หลินจื่อฉิงมันก็น่าจะเพียงพอแล้ว

นอกจากนี้ยังไม่รู้เลยว่ามันมีเงินเท่าไหร่กันอยู่ในบัญชี แล้วรหัสผ่านมันจะมีมากแค่ไหน?

“เอ๊ะ?”

เย่เฟิงใช้ทักษะสัมผัสวิญญาณไปยังมุมตำหนักศิลาอย่างฉับพลัน พบเห็นชิ้นส่วนสีเงินที่ดูคล้ายกับก้อนหิน นั่นมิใช่วัสดุแร่ที่เรียกว่า “อุกกาบาตทรายเงินหรอกหรือ?” ตกได้ปลาตัวใหญ่อย่างไม่คาดคิด

ภายในโลกเทวะ อาวุธวิเศษคือการสกัดด้วยแร่วัสดุอย่างละเอียด ตัวอย่างเช่นกำไลวิญญาณม่วงที่เย่เฟิงเพิ่งได้ใช้ไป และเช่นเดียวกับกำไลวิญญาณหยกของหลงหวางเอ๋อ พวกมันเป็นอาวุธวิเศษระดับต่ำที่เรียกว่า “ของวิเศษ”

เหนือกว่าระดับขั้นของวิเศษ ก็คืออุปกรณ์ขั้นวิญญาณ อุปกรณ์ขั้นวิเศษ อุปกรณ์ขั้นธรรมชาติ และอุปกรณ์ขั้นเซียน เหล่าสี่อันดับนี่เป็นระดับของอาวุธวิเศษแต่ละขั้น พลังของมันสามารถเพิ่มได้หลายเท่าตัวไม่สามารถที่จะเทียบเทียมได้เลย

หลังจากที่เย่เฟิงมาถึงยังโลกใบนี้ อาวุธวิเศษที่เขาพบเจอระดับขั้นมากที่สุดก็คือขั้นของวิเศษ ส่วนแหวนกระบี่มังกรโบราณในมือเขานั่นมันเป็นอาวุธวิเศษอย่างยิ่ง ซึ่งด้วยความรู้ของเย่เฟิงในตอนนี้ไม่อาจประเมินพลังของมันได้

แต่อุกกาบาตทรายเงินนี้ สามารถสกัดอาวุธวิเศษให้เป็นอุปกรณ์ขั้นวิญญาณได้เลย มันคือแร่วัสดุที่ล้ำค่านัก!

อาวุธวิเศษของซูเฟยหยิ่งเป็นอุปกรณ์ขั้นวิญญาณ มันสะดุดตาอย่างยิ่งภายในโลกเทวะ อย่างไรก็ตามอุกกาบาตทรายเงินขนาดเท่ากำปั้นนี้ มันสามารถจะเสริมพลังให้กับวัสดุอื่น และสามารถสกัดเป็นอุปกรณ์ขั้นวิญญาณได้ถึงสามชิ้น!

มันช่างน่าเสียดายนักที่จะต้องรอจนกว่าจะมีวรยุทธ์ 20 ปี เย่เฟิงถึงสามารถที่จะฝึกฝนวิชาเซียนสกัดแร่ของสำนักสุสานดาราได้

เพียงแค่ทำให้หลงหวางเอ๋อกลายเป็นเซียนสกัดแร่ก็ถือว่าดีเยี่ยมแล้ว แต่เย่เฟิงก็คิดว่ามันไม่ใช่ความคิดที่เหมาะสมนัก เกี่ยวกับการสกัดทั้งหมดของอาวุธวิเศษมันคือวิชาที่จำเป็น และสิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือประสบการณ์

เย่เฟิงก็เก็บอุกกาบาตทรายเงินไปในแหวนมิติ วัสดุแร่ที่หายากก้อนนี้ ในสายตาของเย่เฟิงมันเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดแล้วภายในตำหนักศิลาแห่งนี้

จื่อเจี้ยนหลานมองอย่างประหลาดใจไปยังเย่เฟิงที่เพียงโบกสะบัดทีเดียวแร่เงินก็หายไปแล้ว

แร่เงินนั่นไม่รู้ว่ามีประโยชน์อะไรแต่เขาก็เก็บมันไป แสดงว่ามันเป็นสิ่งของที่มีค่างั้นหรือ? และยิ่งไปกว่านั้น เธอมองเห็นไม่ชัดเจนเลยว่าเขาเก็บมันไปอย่างไร

แต่เรื่องที่เกิดขึ้นตามมานี้กลับทำให้เธอตกใจ

เมื่อเห็นเพียงเย่เฟิงกำลังโบกสะบัดมือ ของมีค่าภายในตำหนักศิลาทั้งหมดก็สลายหายไปในพริบตา แม้กระทั่งแหวนเพชนนั่นด้วย

จื่อเจี้ยนหลานคิดว่าตัวเองจะต้องเห็นภาพหลอนแน่ อดไม่ได้ที่จะขยี้ตาตัวเอง แต่เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็ค้นพบว่าทั่วทั้งตำหนักศิลาต่างว่างเปล่า สิ่งของกว่า 2,000,000 – 3,000,000 ชิ้นต่างถูกเอาไปทั้งหมดโดยเย่เฟิง

น่าเสียดายสิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่เงินสด มันต้องไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้หลังจากที่ผ่านขั้นตอนที่ซับซ้อน ปกติแล้วนี่มันไม่ใช่เรื่องที่เย่เฟิงจะต้องมาเป็นกังวลเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหลินจื่อฉิงหรือจะพ่อของอู๋บีและลูกชายก็ดี มันอาจจะได้กำไรมากขึ้นไม่ทำให้เย่เฟิงขาดทุนไป

ทรัพย์สินทั้งหมดของสำนักเซียนเร้นลับ ปกติแล้วมันไม่น่าจะมีเพียงเท่านี้ ส่วนมากของเหล่านี้มันเป็นทรัพย์สินของฉีหลินจื่อโดยส่วนตัว

ทรัพย์สินนอกจากนี้มันต่างถูกใช้ไปโดยเหล่าศิษย์ของสำนักเซียนเร้นลับเป็นส่วนใหญ่ แต่มันยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกันอยู่ซึ่งมันดูซับซ้อน เย่เฟิงคร้านที่จะเสียเวลาไปกับมัน

“เอาล่ะ ฉันควรจะไปได้แล้ว”

หลังจากได้สิ่งที่ต้องการแล้ว เย่เฟิงก็ยิ้มไปให้จื่อเจี้ยนหลาน บอกถึงการกระทำนี้ ที่หญิงสาวกระโปรงสีม่วงได้ช่วยเขาประหยัดเวลาไปอย่างมาก ถ้าเขาหาตำหนักศิลาด้วยตัวเองอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงเลย

“เร็วขนาดนี้เลยหรอ?”

จื่อเจี้ยนหลานตกใจรู้สึกไม่อยากถูกทิ้ง

“อืม เธอจะต้องเจ้าสำนักแล้ว หากมีวาสนา พวกเราอาจจะได้พบกันอีกครั้ง” เย่เฟิงไม่ต้องการควบคุมนางเป็นหุ่นเชิดในสำนักเซียนเร้นลับ หลังจากการตายของฉีหลินจื่อ หลี่เทียน และผู้อาวุโสคนอื่น สำนักเซียนเร้นลับก็ไม่สามารถเป็นสำนักที่นิยมแล้ว เย่เฟิงไม่ต้องการที่จะพึงพากลุ่มคนพวกนี้

สำหรับจื่อเจี้ยนหลานแล้ว เธอเป็นคนที่สวยงามและน่าสนใจอย่างยิ่ง แต่เย่เฟิงไม่ได้คิดอะไรกับเธอทั้งสิ้น

มีโอกาสได้พบกัน มันก็แค่นั้น

เย่เฟิงก้าวเท้าจากไปต้องการที่จะออกไปจากตำหนักศิลานี้และลงจากภูเขา

“รอเดี๋ยว”

จื่นเจี้ยนหลานมองไปยังแผ่นหลังของเขา ไม่รู้เหตุใดถึงรู้สึกเจ็บปวด ไล่ตามด้วยใจที่เร่งรีบ รั้งแขนของเขาไว้อย่างนุ่มนวล

“ว่าไง?”

เย่เฟิงหยุดยั้งฝีเท้าของเขา

“ฉันไม่ต้องการเป็นเจ้าสำนัก”

น้ำเสียงของจื่อเจี้ยนหลานอันเฉยชาบอกได้ถึงว่าไม่มีความสนใจที่จะเป็นเจ้าสำนัก

“เธอจะเอายังไง?”

เย่เฟิงถามพลางหัวเราะ

“ฉัน…”

จื่อเจี้ยนหลานต้องการที่จะบอกว่าอยากอยู่กับเขา แต่คำพูดมันก็ติดอยู่ที่ปลายปากของเธอ และเธอก็กล้ำกลืนมันไปพลางบอกไปไม่กี่ประโยค “ฉันต้องการไปจากสำนักเซียนเร้นลับ ออกไปยังโลกภายนอก”

“ในตอนนี้ไม่มีใครที่จะหยุดยั้งเธอได้ ถ้าเธอต้องการที่จะไปก็ไปเถอะ”

เย่เฟิงยิ้ม

“อืม ฉันลงเขาไปกับคุณได้ใช่ไหม?”

จื่อเจี้ยนหลานไม่อยากขอร้องเย่เฟิงอย่างสิ้นเปลืองที่จะให้เธอไปด้วยกัน แต่ความคิดก็ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเก็บเป็นความทรงจำที่ดี

“เป็นอะไรไป? ไปกันเถอะ”

เย่เฟิงพูดจบก็หันกลับเดินออกไปจากตำหนักศิลา

จื่อเจี้ยนหลานติดตามไปอย่างเร่งรีบ

ยามเมื่อพวกเขากลับมายังตำหนักด้านหลังสำนักเซียนเร้นลับ เพลิงก็สงบลงไปหมดแล้ว เหลือเพียงซากปรักหักพังในความยุ่งเหยิง และมีเหล่าศิษย์สำนักเซียนเร้นลับเท่านั้นที่ทำความสะอาดอยู่รอบๆ

เมื่อเห็นเย่เฟิงและจื่อเจี้ยนหลาน เหล่าศิษย์สำนักเซียนเร้นลับที่ซ่อนตัวอยู่ก็ออกมาคำนับ ในสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เย่เฟิงคนนี้คือคนที่สามารถบุกไปเพื่อสังหารฉีหลินจื่อผู้ที่น่ากลัวได้เพียงลำพัง

ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป จื่อเจี้ยนหลานเป็นเจ้าสำนักของพวกเขา มันทำให้ในใจพวกเขาหลายคนรู้สึกแปลกๆ

ผู้หญิงที่เป็นเจ้าสำนัก มันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสำนักเซียนเร้นลับเลย

แต่พวกเขาไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วใจของจื่อเจี้ยนหลานไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว มันไปอยู่ที่เย่เฟิงเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากที่พวกเขาจากไป สำนักเซียนเร้นลับจะเป็นเช่นไรก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเขา

การปะทะกันก็ดีเช่นกัน มันทำให้มีความพยายามที่มั่นคงขึ้นเช่นเดียวกัน ไม่สามารถมาพัวพันเย่เฟิงได้ สำนักเซียนเร้นลับในปัจจุบัน จะต้องใช้เวลาฝึกจอมยุทธ์เป็นเวลาสามถึงสี่ปี เย่เฟิงก็ไม่ต้องถูกคุกคามแล้ว นอกเหนือจากนี้ยังจะมีมนุษย์คนไหนกล้าจะยั่วยุเย่เฟิงกันอีก