บทที่ 26 ญาติผู้โง่งม

เย่เฟิงหยุดเดินทันทีเมื่อโดนซูเหมิงหานเรียกไว้ เขาหันกลับไปถาม “มีอะไรอีกล่ะ?”

ซูเหมิงหานหยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมา ในนี้มีที่อยู่ของคุณยายที่เธอบันทึกไว้ หลังจากอ่านสักพักเธอกล่าวออกไปด้วยความเก้อเขิน “นายไปส่งฉันหน่อยได้ไหม?”

“นี่เธอโตขนาดนี้แล้วยังต้องให้คนไปส่งอีกงั้นเหรอ?”

เย่เฟิงขมวดคิ้ว ชัดเจนว่าเขาไม่ยินดีที่จะไปส่งเธอเท่าไหร่

“ก….ก็ ฉันไม่มีเงินเลยนี่นา”

เธอจับชายกระโปรงสีขาวของเธอบิดไปมาขณะมองไปยังเย่เฟิงด้วยความเขินอาย จริงๆแล้วพ่อของเธอซูซินฉางควบคุมการใช้เงินของเธออย่างเข้มงวดมาก แน่นอนว่าเขาถูกบังคับมาจากผู้หญิงตระกูลเซี่ยคนนั้นอีกที

“………….”

เย่เฟิงถึงกับพูดไม่ออก เขามองดูนาฬิกาพบว่าตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงตรง งานขายสินค้าโบราณจะเริ่มประมาณหกโมงเย็นเพราะฉะนั้นเขายังมีเวลาอยู่อีกเหลือเฟือ

“งั้นก็ไปกันเถอะ”

เย่เฟิงเรียกแท็กซี่ที่อยู่บริเวณนั้นแล้วส่งที่อยู่ของคุณยายซูเหมิงหานให้คนขับรถไป

เมื่อรถเริ่มออกจากเมืองหลางฝางไปทางด้านตะวันออกของเมือง ก็เริ่มเห็นบ้านและเมืองเล็กๆตั้งอยู่โดยรอบบริเวณนั้น บ้านคุณยายของซูเหมิงหานตั้งอยู่ในทางเดียวกับงานจัดแสดงสินค้าโบราณ เย่เฟิงรู้สึกเบาใจขึ้นมาที่เขาไม่ต้องกังวลเรื่องการเผื่อเวลาไปที่งานอีก

ตลอดทางซูเหมิงหานค่อนข้างมีอารมณ์กระวนกระวาย เหตุผลแรกคือเพราะเธอกำลังจะไปเยี่ยมคุณยายของเธอหลังจากที่ไม่ได้เจอกันเลยนานกว่าสิบปี และเหตุผลที่สองคือเธอไปพร้อมกับผู้ชาย

ครึ่งเดือนก่อน เธอและเย่เฟิงยังเป็นเพียงเพื่อนบ้านที่ไม่ได้ข้องแวะกันเลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้เขากลับเป็นคนพาเธอไปที่บ้านเกิดของแม่เธอ เขาเป็นผู้ชายที่มีอารมณ์รุนแรงและแน่นอนว่าซูเหมิงหานได้เห็นด้านนั้นของเขาเองแล้วด้วย ถ้าเกิดเขาหัวร้อนจนระเบิดขึ้นมาเธอคงไม่มีปัญญาไปห้ามปรามอะไรเขาแน่

หลังจากที่เธอเริ่มตีสนิทกับเขามากว่าครึ่งเดือนนี้ ซูเหมิงหานตัดสินใจที่จะเชื่อในตัวของเขา เพราะว่าตลอดมาเย่เฟิงไม่เคยแม้แต่จะให้ความสนใจเธออย่างที่หนุ่มสาวควรจะเป็นเลยแม้แต่น้อย เขาชอบมองเธออย่างเย็นชาและออกไปทางไม่สนใจเสียมากกว่า

บางทีในสายตาของเย่เฟิงแล้ว เธอคงเป็นแค่คนไม่สำคัญคนนึงเท่านั้นแหละ

ซูเหมิงหานเชื่อในสัญชาติญาณของผู้หญิง จากท่าทีที่มั่นคงของเย่เฟิงเธอรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้พยายามหลบเลี่ยงเธอ แต่เขาแค่ไม่สนใจเธอเลยสักนิด

เรื่องนี้มันทำให้เธอรู้สึกขุ่นเคืองอยู่บ้าง ตัวเธอไม่มีเสน่ห์ดึงดูดเขาเลยสักนิดหรืออย่างไรกันนะ?

หลังจากเดินทางมาได้สามถึงสี่กิโลแล้ว รถแท็กซี่ก็หยุดหน้าที่พักแห่งหนึ่ง เย่เฟิงจ่ายเงินแล้วบอกให้ซูเหมิงหานลงมาจากรถ พวกเขามองไปยังทิวทัศน์อันสวยงามที่ดูกว้างขวางและสงบ บ้านและอาคารต่างๆตั้งอยู่เรียงรายโดยมีซอยที่เชื่อมเข้าหากันและมีรถจอดเต็มไปหมด บริเวณนี่ค่อนข้างมีการพัฒนาที่ดีทีเดียว

พวกเขาถามแท๊กซี่ถึงตำแหน่งที่อยู่ของบ้าน จากนั้นจึงเดินไปยังจุดหมายปลายทางของพวกเขา

“เย่เฟิง ฉันรู้สึกกังวลจังเลย”

ซูเหมิงหานพูดขณะจับชายเสื้ออย่างกระสับกระส่าย

“ทำไมล่ะ ถึงเธอจะไม่ได้เจอคุณยายมาตั้งนานแต่ยังไงก็ยังเป็นยายหลานกันอยู่ดี ไม่เห็นจะมีอะไรต้องกลัวไปเลย”

เย่เฟิงส่ายหัวพลางอดคิดถึงชีวิตของเขาไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นโลกที่จากมาหรือว่าโลกแห่งนี้ที่เขามาเกิดใหม่อีกครั้ง เขาก็ไม่ได้มีครอบครัวเลยทั้งสองที่

ในโลกที่เขาจากมามีเพียงอาจารย์เพียงคนเดียวและในโลกนี้ ญาติของเขาก็มีแค่ปู่ที่ลึกลับคนนั้น

มันจะรู้สึกยังไงกันนะถ้าได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์?

แน่นอนว่าเขาไม่รู้หรอก

เมื่อเดินตามเลขที่บ้านไปสักพัก พวกเขาก็มาถึงด้านนอกของลานบ้านหลังหนึ่งตรงบริเวณทางเข้า ใบหน้าของซูเหมิงหานเต็มไปด้วยความกระวนกระวายและขวัญเสีย ขณะที่เย่เฟิงก้าวไปกดกริ่งของบ้าน

“นั่นใครกันน่ะ?”

โดยไม่ต้องรีรอมีเสียงของผู้หญิงวัยกลางคนดังออกมาทันที “เข้ามาข้างในนี่สิ”

เสียงผู้หญิงวัยกลางคนงั้นเหรอ?

เย่เฟิงเดาว่าน่าจะเป็นป้าสะใภ้ของซูเหมิงหานเนื่องจากตาของซูเหมิงหานที่เสียไปแล้วมีลูกอยู่ทั้งหมดสี่คน คนที่เล็กที่สุดคือแม่ของเธอและอีกสามคนเป็นผู้ชายทั้งหมด

เขาได้ยินมาว่ายายของเธออาศัยอยู่กับลุงของเธอ

ประตูถูกเปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว คนที่เดินออกมาคือหญิงวัยกลางคนที่ค่อนข้างอ้วนคนหนึ่ง ป้าคนนั้นมองมายังพวกเขาด้วยสายตาแปลกๆ “เจ้าเด็กน้อย มาหาใครกัน ไต้เจินไม่อยู่บ้านหรอกนะ”

เมื่อเธอมองไปที่ซูเหมิงหานรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ แต่สักพักความรู้สึกอิจฉาและปรามาศก็แสดงขึ้นมาในสายตาเธออย่างลับๆ ความสวยของซูเหมิงหานทำให้แม้กระทั่งให้ป้าของเธอยังต้องอิจฉา ผู้หญิงนี่มีเรื่องกระทบกระทั่งกันง่ายเสียเหลือเกิน

“หนูคือ…ซูเหมิงหานค่ะ”

ซูเหมิงหานรู้สึกลังเลเล็กน้อยก่อนจะถามออกไป “เอ่อ คุณคือป้าของหนูใช่มั้ยคะ?”

“ซูเหมิงหานเหรอ?”

หญิงวัยกลางคนทวนชื่อของเธออีกครั้ง เธอมองซูเหมิงหานด้วยความงงงวยก่อนจะถามย้ำ “เธอคือซูเหมิงหานงั้นเหรอ?”

ซูเหมิงหานพยักอีกครั้งและเริ่มรู้สึกหวั่นเกรงขึ้นมาที่อีกฝ่ายแสดงทีท่าไม่รู้จักเธอเลย

หญิงวัยกลางคนกล่าวด้วยเสียงขุ่น “ผ่านมาตั้งหลายปีแล้วนี่ ลมอะไรหอบเธอมาที่นี่ล่ะ?”

“คือหนู… หนูตั้งใจจะมาเยี่ยมคุณยายน่ะค่ะแล้วก็…”

ขณะที่เธอกำลังพูดป้าของเธอก็ขัดขึ้นมาทันที

“ยายแก่คนนั้นป่วยตายไปสองสามปีก่อนแล้วล่ะ”

หญิงวัยกลางคนยังคงมองด้วยสีหน้าเฉยเมยราวกับพูดถึงคนแปลกหน้าสักคนที่ตายไป ทันใดนั้นเธอนึกอะไรบางอย่างออก อะไรบางอย่างที่ทำให้เธอเปลี่ยนสีหน้าไปเป็นระแวง เธอพูดกับทั้งเย่เฟิงและซูเหมิงหาน “ถ้าพวกเธอไม่มีอะไรกันแล้วก็กลับไปได้แล้วล่ะ”

เธอระแวงขึ้นมาโดยปราศจากเหตุผล

คนบริเวณนี้ไม่ได้รับรู้ถึงธุรกิจอันใหญ่โตที่พ่อของเธอซูซินฉางทำ เพราะว่าก่อนหน้านี้เขายังเป็นแค่คนจนๆคนหนึ่งที่อยู่แถวนี้ แม่ของซูเหมิงหานทิ้งทุกสิ่งอย่างไว้ข้างหลังและตามเขาไปจนสุดท้ายต้องจบชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ พวกเขาไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น

ไม่มีใครรู้ว่าซูซินฉางได้แต่งงานอีกครั้งกับคนตระกูลเซี่ยแห่งเมืองเหยียนจิง ไม่ใช่หน้าที่การงานเท่านั้นแต่ยังเป็นโชคดีอีกด้วยที่เขาได้รับ จนถึงตอนนี้บริษัทในเครือซูเฉิงกรุ๊ปได้ประสบความสำเร็จในการเข้าตีตลาดที่มีเงินหมุนเวียนกว่าพันล้าน!

ที่นี่ทุกคนล้วนคิดว่าซูเหมิงหานต้องมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างลำบากหลังจากเสียแม่ของเธอไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน ตอนนี้เธอกลับมาก็คงเพราะว่าต้องการมายืมเงินนั่นเอง

“เดี๋ยวก่อนสิคะ หนูยังไม่ทันได้…”

เห็นอีกฝ่ายทำท่าจะปิดประตูใส่ซูเหมิงหานเริ่มกังวลอีกครั้ง เธอไม่เคยคิดเลยว่าป้าของเธอจะแสดงท่าทางไม่ต้อนรับเธอถึงเพียงนี้

“ไปซะ ที่นี่ไม่มีอะไรให้เธอหรอก”

หญิงวัยกลางคนมองพวกเขาอย่างคนแปลกหน้าอีกครั้ง เธอส่ายหน้าแล้วปิดประตูลง แต่ทันใดนั้นเธอเห็นใบหน้าหนึ่งปรากฎขึ้นมาไม่ห่างจากบ้านไปนัก

“ช่วยด้วย แม่ช่วยผมด้วย…”

เสียงแสดงออกถึงความทุกข์ที่ได้ยินมาแต่ไกล

เย่เฟิงและซูเหมิงหานหันกลับไปพร้อมกันเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ใส่เสื้อแขนสั้น ดูท่าทางเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากมากทีเดียว เขาวิ่งหนีอย่างตะเกียกตะกายตามมาด้วยชายสามคนด้านหลังที่ลักษณะเหมือนพวกมาเฟียกำลังวิ่งไล่ตามเขาอยู่

“ไม่คืนเงินพวกเรามาแถมยังวิ่งหนีอีกงั้นเหรอ ไอ้สวะคืนเงินพวกเรามาเดี๋ยวนี้”

หนึ่งในชายสามคนที่ท่าทางดุร้ายพูด ตาของเขาแสดงถึงความเหี้ยมเกรียม เมื่อเขาจับผู้ชายที่วิ่งหนีได้ เขาก็เตะเข้าอย่างรุนแรง ชายหนุ่มที่ใส่เสื้อแขนสั้นคนนั้นถูกเตะจนล้มลงขณะที่ชายอีกคนหยิบก้อนอิฐขึ้นมาและตีไปที่ศีรษะของชายหนุ่มอย่างรุนแรง

“ไต้เจินไม่นะ อย่าตีเขา อย่าตีเขาเลย…”

หญิงวัยกลางคนตื่นตระหนกขึ้นมาทันทีพร้อมกับมือเท้าสั่นเทาไปหมด เธอร้องเรียกชายหนุ่มคนนั้นขณะรีบวิ่งออกจากบ้านไปโดยไม่สนใจเย่เฟิงและซูเหมิงหานอีก “ไต้เจิน แม่บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าไปเล่นการพนัน ทำไมไม่เคยฟังกันบ้างเลย…”

“ไม่ใช่แค่การพนัน ไอ้นี่มันเล่นยาด้วย”

ชายที่ใส่เสื้อแจ็คเก็ตสีดำพับแขนเสื้อมองไปยังหญิงวัยกลางคนที่วิ่งเข้ามาแล้วจึงกล่าว “ป้าเป็นแม่ของเจ้านี่ใช่ไหม? มันติดเงินพวกเราอยู่สามแสน รีบเอาเงินมาคืนได้แล้วไม่อย่างนั้นก็เตรียมตัวรีบศพมันไปได้เลย”

“สามแสน?”

หญิงวัยกลางคนตกใจตาค้างทันที เธอจะไปหาเงินจำนวนมากขนาดนี้มาจากที่ไหนกัน?

“เย่เฟิง….”

ซูเหมิงหานดึงแขนเสื้อของเย่เฟิงแล้วมองเขาด้วยสีหน้าที่อ้อนวอน เธอต้องการช่วยชายหนุ่มคนนั้น

“ในอีกฝ่ายจำเธอไม่ได้เลยซักนิด แล้วเธอยังขอให้ฉันไปช่วยพวกเขาอีกงั้นเหรอ?”

เย่เฟิงรู้สึกตลกมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น “ญาติของเธอคนนี้ไม่ใช่แค่เล่นการพนันแต่ยังเล่นยาด้วย ฉันไม่โง่พอที่จะเข้าไปมีเรื่องกับมาเฟียท้องถิ่นเพื่อช่วยคนโง่แบบนั้นหรอกนะ”

……………………………..

ผู้แปล : Teepo_V

ปรับสำนวน : Solar Spark