บทที่ 25 สู่หลางฝาง

“นี่ครับพี่เย่”

ชายสี่คนเดินมายังด้านหน้าของเย่เฟิงแล้วยื่นบัตรเงินสดให้กับเขา

เย่เฟิงรับมันมาเก็บไว้ บัตรใบหนึ่งมีเงินจำนวนสองล้าน และอีกใบมีเงินจำนวนสามล้านซึ่งเขาขอมาจากชายหน้าบาก และตั้งใจว่าจะให้มันกับอู๋บีหลังจากนี้

สำหรับชายหน้าบากแล้วการเตรียมเงินสามล้านไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ถึงแม้ว่ากลุ่มอสรพิษสวรรค์จะไม่ได้เน้นเก็บเงินสดมากนัก แต่เงินแค่สามล้านยังถือว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย

นี่ถือเป็นการแสดงความจริงใจของชายหน้าบากที่มีต่อเย่เฟิง

การที่เย่เฟิงสามารถจัดการชายหน้าบากและเข้าควบคุมกลุ่มอสรพิษสวรรค์จากเบื้องหลังได้เร็วขนาดนี้ ถือว่าเป็นโชคดีของเขาเช่นกัน หากชายหน้าบากไม่ได้มีความหลังและความหวั่นเกรงต่อผู้ฝึกวรยุทธ์ การที่เย่เฟิงเข้าข่มขู่เขาก็คงจะไม่มีทางส่งผลได้เร็วถึงเพียงนี้

แน่นอนว่าหากเย่เฟิงเลือกที่จะจัดการกับอีกสองแก๊ง มันคงจะไม่ราบรื่นอย่างนี้เป็นแน่

หลังจากส่งบัตรเงินสดให้แก่เย่เฟิงแล้ว ชายสี่คนคำนับเขาอย่างเคารพแล้วเดินหันหลังจากไป

ซูเหมิงหานที่แอบอยู่หลังเย่เฟิงถึงกับมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า

นี่มันเรื่องอะไรกัน? กลุ่มอสรพิษสวรรค์นั้นทั้งโหดเหี้ยมและน่าเกรงขามไม่ใช่หรือ? ทำไมพวกเขาถึงได้แสดงความเคารพต่อเด็กมัธยมปลายอย่างเย่เฟิงกันล่ะ เธอแอบคิดถึงตอนที่พ่อของเธอสั่งให้เธอตีสนิทกับเย่เฟิง หรือว่าจริงๆแล้วเย่เฟิงมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดาจนแม้กระทั่งกลุ่มอสรพิษสวรรค์ยังไม่กล้าหือกับเขา

แล้วยัง “พี่เย่” นั่นอีก.ั่นอีกดาจนแม้กระทั่งกลุ่มอสรพิษสวรรค์ยังไม่กล้าหือกับเขา

ันล่ะ เธอแอบคิดถึงตอนที่พ่อของเธอสั่งให้เธอตีสนิทกับเย่เฟิง หรือว่าจริ.. เย่เฟิงกลายเป็นคนของกลุ่มอสรพิษสวรรค์ไปแล้วงั้นหรือ?

“ไปกันเถอะ”

เย่เฟิงเก็บบัตรเงินสดไว้พลางพูดเบาๆกับซูเหมิงหานรบกวนห้วงภวังค์ของเธอ

ตลอดทางไปโรงเรียน ซูเหมิงหานไม่ได้ปริปากพูดอะไรแม้แต่น้อย เธอได้แต่คาดเดาถึงสถานะของเย่เฟิง แต่เธอก็ไม่กล้าที่จะถามมันออกไป

เย่เฟิงรู้สึกยินดีที่ซูเหมิงหานไม่ได้ถามอะไรเขาแม้แต่คำเดียว หลังจากทั้งสองคนเดินไปด้วยกันกว่ายี่สิบนาทีก็มาถึงประตูโรงเรียนมัธยมปลายเหยียน เมื่อมาถึง พวกเขาได้กลายเป็นจุดสนใจแก่ผู้คนโดยรอบทันที

นั่นมันเย่เฟิงกับดาวโรงเรียนซูเหมิงหานนี่ ทำไมพวกเขาถึงเดินมาโรงเรียนด้วยกันได้?

เป็นไปไม่ได้ นี่มันไม่ใช่ความจริง!!

พวกเขาทั้งคู่เดินเคียงข้างไปด้วยกันจนถึงห้องเรียน เย่เฟิงรู้สึกราวกับว่าได้ยินเสียงหัวใจของใครหลายคนแตกสลายดังเพล้ง! แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นมาจากเพื่อนรักของเขาอู๋บีด้วยเช่นกัน

เมื่อพวกเขาต่างเดินไปยังที่นั่งของตนเอง อู๋บีกล่าวด้วยความขุ่นเคืองใจอย่างตรงไปตรงมา “ผึ้งน้อย นี่มันไม่ยุติธรรมเลย อยู่ๆนายก็ควงสาวสวยที่น่ารักที่สุดของโรงเรียนเราไปซะงั้น ฉันก็เข้าใจนะว่านายอยู่บ้านใกล้ๆเธอ แต่ว่าก่อนหน้านี้….”

“อย่าเดาอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าน่า”

เย่เฟิงหยิบบัตรเงินสดออกมาแล้วพูดด้วยเสียงจริงจัง “ฝากเงินนี่ไปให้พ่อของนายด้วยนะ ฉันไม่ชอบเป็นหนี้คนอื่น ในบัตรนี้มีเงินอยู่สามล้านพาสเวิร์ดของบัตรเขียนไว้อยู่ด้านหลังแล้ว”

“หา อะไรเนี่ย?”

อู๋บีหยิบบัตรไปอย่างงงๆขณะมีความสับสนในใจ

ก่อนหน้านี้เขายังอารมณ์เสียอยู่เลย และเพื่อที่จะระบายมันออกมา เขารีบปรี่เข้ามาหาเย่เฟิงแต่ตอนนี้เขากลับต้องมึนงงกับคำพูดของเย่เฟิงไปเสียแล้ว

สามล้าน?

นี่มันเพิ่งผ่านไปแค่คืนเดียว เย่เฟิงไปเอาเงินสามล้านนี่มาจากที่ไหนกัน?

ปฏิกิริยาแรกของอู๋บีคือ… เจ้านี่มันต้องโกหกแน่ๆ! แต่เมื่อคิดอย่างรอบคอบแล้วเขาไม่ใช่คนที่ชอบโกหกผู้อื่นนี่นา เงินที่อยู่ในบัตรนี้เอาไปเช็คที่ตู้เอทีเอ็มเมื่อไรก็คงรู้เอง แต่ว่ามันตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เย่เฟิงมีเงินมากมายถึงเพียงนี้?

“ผึ้งน้อย นี่นายล้อเล่นรึเปล่า ฉันกับพ่อไม่ได้ต้องการให้นายชดใช้เงินคืนเลยนะ…”

มีความประหลาดใจอยู่บนใบหน้าของอู๋บีเต็มไปหมด

“ก็นะ ฉันพอจะเข้าใจความคิดของพ่อนายอยู่แหละ”

เย่เฟิงยิ้มพลางตบไหล่เพื่อนเขาเบาๆ

อู๋บีรับบัตรไปโดยยังคงมีความสับสนอยู่เล็กน้อย เขายังรู้สึกกังขากับเย่เฟิงอยู่แต่ทันใดนั้นเขาเคาะหัวเบาๆแล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว นี่เป็นบัตรเชิญเข้าร่วมงานจัดแสดงสินค้านะ”

จนถึงตอนนี้อู๋บีได้ตระหนักว่าเย่เฟิงเปลี่ยนไปแล้วอย่างสมบูรณ์ หรือว่ามันเกิดขึ้นจากปู่ของเขากันแน่นะ?

เย่เฟิงรับมันมาและมองดูด้วยความสนใจ

มันเป็นซองจดหมายสีแดงที่มีตัวอักษรเขียนอยู่ด้านหน้าว่า‘มังกรทะยาน’ ตอนแรกที่เขาดูก็ไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติอะไร แต่ใจชั่วอึดใจเขารู้สึกถึงที่ปิดผนึกของซองจดหมาย มันมีพลังแปลกๆบางอย่างกำลังไหลเวียนอยู่รอบๆ!

“ขอบใจนะเพื่อน”

เย่เฟิงเก็บจดหมายเชิญร่วมงานอย่างเงียบๆ และในขณะเดียวกันก็มีความคิดต่างๆไหลเวียนในหัวอยู่มากมาย

งานจัดแสดงสินค้าโบราณนี่ ไม่ใช่งานธรรมดาสามัญเสียแล้ว! พลังบางอย่างตรงที่ปิดผนึกจดหมายนั่นคลับคล้ายคลับคลากับกำลังภายในของหญิงสาวใบหน้ารูปไข่คนนั้น จนถึงตอนนี้เย่เฟิงยังคงไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้มันเรียกว่าอะไร แต่เขาค่อนข้างมันใจว่ามันต้องมีความเกี่ยวข้องกันกับวรยุทธ์ของโลกใบนี้อย่างแน่นอน

(กำลังภายในของเย่เฟิงเรียกว่าเจินฉีซึ่งมีความแข็งแกร่งมากกว่ากำลังภายในของโลกใบนี้)

“เพื่อนอู๋ พ่อนายมีบัตรเชิญมากกว่านี้อีกไหม”

เย่เฟิงถามเขา

“มีแค่อันเดียวแหละ ทำไมเหรอ?”

อู๋บีตอบด้วยสีหน้าแปลกๆ

“เปล่าหรอก แค่ลองถามดูน่ะ”

เย่เฟิงตอบแบบขอไปที เขาครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว บัตรเชิญเข้างานใบนี้คงต้องมีค่าอย่างมาก การที่อู๋เอได้มันมาแน่นอนว่าต้องเกี่ยวกับหินจิตวิญญาณครึ่งก้อนนั้นเป็นแน่

ดูเหมือนว่าองค์กรและเจ้าหน้าที่ของงานจัดแสดงสินค้าก็น่าจะเป็นเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ของยุทธภพในโลกใบนี้ด้วยเช่นกัน

มันจะมีโอกาสหรือเปล่านะที่เขาจะได้เจอกับหญิงสาวใบหน้ารูปไข่คนนั้นอีก?

ความคิดของเย่เฟิงเปลี่ยนกลับไปกลับมาขณะคิดเกี่ยวกับงานจัดแสดงสินค้าโบราณนี้ โชคดีที่อีกสองอาทิตย์ เขาสามารถบรรลุระดับพลังได้ถึงระดับหนึ่งปีห้าเดือน ซึ่งตอนนั้นเขาจะสามารถใช้วิชา”ลวงตา”ได้ มันทำให้เขาสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวเองได้ในระยะเวลาหนึ่งหรือแม้กระทั่งเปลี่ยนรูปร่างและส่วนสูงของตัวเองก็ยังทำได้

“ในโลกใบนี้ไม่น่าจะมีใครรับรู้ถึงวิชาของเรา แต่เผื่อมีสถานการณ์ฉุกเฉิน การเตรียมหน้ากากไปด้วยคงเป็นเรื่องที่ดีกว่า”

เย่เฟิงตัดสินใจไว้เช่นนี้

เขามองไปรอบๆและสังเกตว่าเทียนโย่วเหลียงไม่ได้มาโรงเรียนวันนี้ เมื่อลองสอบถามดูพบว่าเมื่อคืนนี้เทียนโย่วเหลียงได้ยื่นคำร้องขอย้ายโรงเรียนไปเป็นที่เรียบร้อย นั่นคงเพราะเขาไม่กล้าพอที่จะอยู่ในโรงเรียนนี้อีกต่อไปแล้ว

……………………

เวลาครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ขณะนี้เป็นช่วงเดือนเมษายน ที่หลังฝางมีฝนตกปรอยๆ จากนี้ไปอีกสองเดือนก็จะถึงวันสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว

“………ผมจะระมัดระวังตัวครับ ลุงอู๋สบายใจได้”

เย่เฟิงวางสายโทรศัพท์ลง เขาพาซูเหมิงหานเดินออกจากสถานีรถไฟหลางฝางไปกับเขา ยามบ่ายที่ท้องฟ้าครึ้มเล็กน้อย เย่เฟิงรู้สึกเบื่อขึ้นมาตงิดๆกับฝนที่ตกปรอยๆนี้

ขณะที่ซูเหมิงหานกลับตรงกันข้าม เธออารมณ์ดีเอามากๆและร่าเริงตลอดการเดินทางเพราะว่าวันนี้ เธอจะได้ไปเยี่ยมคุณยายของเธอเสียที

สำหรับเย่เฟิงแล้วการมาหลางฝางนั้นก็เพื่อที่จะเข้าร่วมงานจัดแสดงสินค้า อีกอย่างเขาอาจมีโอกาสได้ไปเจอของดีๆก็เป็นได้ แต่สาเหตุที่สำคัญที่สุดก็เพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับระดับของวรยุทธ์ในโลกใบนี้

แต่สำหรับซูเหมิงหานแล้วเป้าหมายของเธอมีเพียงการมาเยี่ยมคุณยายผู้ที่เธอไม่ได้พบมาเกือบสิบปี แน่นอนว่าเธออารมณ์ดีมากๆเลยในตอนนี้

“นี่ขนาดพ่อของเธอไม่ว่างมาด้วย แต่เธอก็ยังรั้นจะไปเยี่ยมญาติให้ได้ เธอนี่ช่างเป็นคนที่มีความรับผิดชอบจริงๆนะ”

เย่เฟิงยิ้มแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม

“ก็เขากำลังมีธุระกับพวกตระกูลเซี่ยนี่นา อีกอย่างเขาไม่กล้ามาที่นี่หรอก”

ซูเหมิงหานแค่นเสียงเล็กน้อย เธอไม่ได้กล่าวอะไรไปมากกว่านั้นแต่เธอหันหลังกลับมาถามเย่เฟิง “แล้วเป็นไงมั่งกับการทำข้อสอบจำลอง”

ก่อนจะมาหลางฝาง โรงเรียนของพวกเขาได้จัดให้มีการทำข้อสอบเตรียมตัวสองชุด ซูเหมิงหานไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย เพราะว่าตลอดมาคะแนนของเธอก็อยู่ในอันดับต้นๆของโรงเรียนอยู่แล้ว ส่วนของเย่เฟิง แน่นอนว่าเขานั้นอยู่ในอันดับท้ายๆของห้อง

เย่เฟิงยิ้มเมื่อคิดถึงข้อสอบที่พึ่งทำไป ช่วงก่อนหน้านี้เขามัวแต่ยุ่งกับการปรุงยาที่เตรียมนำมาขายในงานจัดแสดงสินค้าโบราณ เขาจะไปมีเวลาอ่านหนังสือเตรียมสอบได้อย่างไรกันล่ะ?

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผลสอบของเขาต้องออกมาห่วยอย่างแน่นอน ห่วยยิ่งกว่าก่อนหน้าที่เคยทำมาเสียอีก แต่เย่เฟิงไม่ได้สนใจอะไรในเมื่อดูจากความทรงจำของเขาขณะนี้ แม้ว่าเขาจะเริ่มอ่านหนังสือก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยแค่หนึ่งอาทิตย์ก็ยังไม่ใช่ปัญหา

“อืม….เดาว่าดีแหละมั้ง เอาล่ะเธอจะไปไหนก็ไปได้แล้ว ฉันมีธุระที่ต้องไปทำของฉันเหมือนกัน เราแยกย้ายกันตรงนี้เถอะ”

เย่เฟิงกล่าวอย่างเฉยเมยและหันหลังเตรียมเดินจากไป

“นี่เดี๋ยวก่อนสิ!”

ซูเหมิงหานเห็นเย่เฟิงทำท่าจะเดินจากไปจึงรีบร้อนเรียกเขาให้หยุด เธอไม่รู้หรอกว่าอะไรที่ทำให้เขามาที่หลางฝาง ตอนแรกเธอคิดว่าเขาอยากจะมาส่ง แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่แบบนั้นเสียแล้ว

ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เธอคุ้นเคยแม้แต่น้อย หากเย่เฟิงทิ้งเธอไว้คนเดียว แล้วเธอไปเจอกับปัญหาเข้าล่ะเธอจะทำอย่างไร?

…………………………….

ผู้แปล : Teepo_V

ปรับสำนวน : Solar Spark