บทที่ 257 เจี้ยนหลานในชุดสีม่วง

หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว หลินชื่อฉิงจึงเตรียมตัวกลับ แต่ก่อนจะจากไป เธอยังย้ำให้เย่เฟิงระมัดระวังตัวให้ดี มองดูแล้ว หญิงสาวไม่ได้ห่วงเรื่องเงิน แต่เธอเป็นห่วงความปลอดภัยของเขาจริงๆ

นี่ทำให้เย่เฟิงรู้สึกอบอุ่นในใจ ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ยังดูคลุมเครืออยู่ แต่การที่มีสาวสวยคนนี้คอยเป็นห่วง ไม่ว่าชายคนใดก็ล้วนมีความสุขทั้งนั้น

หลังจากกลับเข้าไปในบ้าน เย่เฟิงและหลงหวางเอ๋อก็นั่งพูดคุยกันตลอดช่วงเย็นเกี่ยวกับข้อมูลของสำนักเซียนเร้นลับ ชายหนุ่มพยายามจดจำสิ่งสำคัญให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ตามสำนวนที่ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง

แต่อย่างไรก็ตาม สำนักนี้เร้นกายอยู่ในโลกยุทธภพเสมอมา หลงหวางเอ๋อจึงไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับมันมากนัก จนถึงปัจจุบันนี้ ประตูทางเข้าของสำนักล้วนถูกปิดตาย และไม่มีผู้ฝึกยุทธ์คนใดสามารถฝ่าเข้าไปได้

ขณะเดียวกัน เย่เฟิงก็มอบกำไลหยกวิญญาณให้แก่หลงหวางเอ๋อ และอธิบายถึงความสามารถอันหลากหลายของมัน นี่คือเครื่องรางคุ้มกันซึ่งหาได้ทั่วไปในโลกเทวะ แต่สำหรับในโลกใบนี้ ประสิทธิภาพของมันนั้น อย่าว่าแต่มีดบินของพวกสำนักเซียนเร้นลับเลย แม้แต่ปืนรังสีของหน่วย NSA ก็ไม่สามารถยิงฝ่าเข้าไปได้

เครื่องรางคุ้มกันชิ้นนี้ อย่างน้อยต้องมีวรยุทธ์ระดับ 10 ปีขึ้นไปจึงจะใช้งานได้ เย่เฟิงจึงไม่ได้เตรียมให้ซูเหมิงหานด้วย สุดท้ายแล้ว ค่ำคืนอันสงบสุขนี้ก็ผ่านไปโดยไม่มีเหตุร้ายอันใดเกิดขึ้น

ในตอนบ่ายของวันถัดมา เย่เฟิงเดินทางมาถึงสนามบินเพื่อมุ่งหน้าไปยังสำนักเซียนเร้นลับ

แน่นอนว่าเย่เวิ่นเทียนรู้ว่าเย่เฟิงกำลังจะมุ่งหน้าไปที่ไหน แต่ชายชราก็ไม่ได้ห้ามไว้ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเย่เฟิงนั้นมีอาจารย์ที่เก่งกาจ ถึงขนาดสร้างร่างเทียมเพื่อสวมรอยเป็นหลงโม่หรันได้ ต่อให้เอ่ยปากห้ามไป เด็กหนุ่มก็คงไม่ฟังอยู่ดี

เรื่องนี้ทำให้เย่เวิ่นเทียนต้องถอนหายใจอย่างปลงๆ เย่เฟิงนั้นมีโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ จึงทำให้เขาได้เจอกับอาจารย์สาวสวยที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ในตอนนี้ เย่เฟิงมุ่งหน้าไปเอาเรื่องกับสำนักเซียนเร้นลับ นั่นก็เพื่อทำการคุกคามและข่มขวัญคนของโลกยุทธภพให้รู้ว่า ใครก็ตามที่กล้ามีเรื่องกับตระกูลเย่ มันผู้นั้นจะต้องประสบกับชะตากรรมเช่นไร

เย่เวิ่นเทียนมั่นใจว่าการเดินทางของเย่เฟิงในครั้งนี้จะสร้างคลื่นลูกใหญ่แก่โลกยุทธภพแน่นอน และการฟื้นคืนกลับมาของตระกูลเย่ที่เคยคิดว่ายาก ตอนนี้มันก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว

…………..

ณ เขตหลินไห่ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากเขตซางซาน เป็นเมืองเล็กๆซึ่งมีทัศนียภาพอันสวยงาม

ในช่วงเย็น เย่เฟิงลงจากเครื่องบินมาถึงเมืองนี้อย่างเงียบเชียบ เตรียมมุ่งหน้าไปยังเขตซางซาน ชายหนุ่มได้กระจายทักษะสัมผัสวิญญาณออกไปรอบๆและทันใดนั้น เขาก็พบกับสิ่งที่น่าสนใจ

ในร้านอาหารเล็กๆทั่วไปแห่งหนึ่ง มีสาวสวยในชุดสีม่วงนั่งติดอยู่กับหน้าต่าง บรรยากาศรอบๆตัวหญิงสาวคนนั้นดูเรียบรื่นและสงบเป็นพิเศษ ต่างจากบรรยากาศคึกคักจอแจโดยรอบ

ในร้านแห่งนี้ มีผู้ชายมากมายจับจ้องสายตาไปที่เธอ มันถึงขนาดทำให้ร้านนี้ขายดีเป็นพิเศษ เพราะมีผู้ชายมากมายต้องการนั่งอยู่ในร้านนี้เพื่อยลโฉมสาวงาม

ผู้หญิงคนนี้ดูแล้วอายุน่าจะเกิน 20 ปี เรือนผมสีดำยาวสลวยไหลพาดบ่าลงมาถึงหน้าอก บรรยากาศราบเรียบและเงียบสงบรอบๆตัวเธอ ดึงดูดให้ผู้คนเหม่อมองเข้าไปในดวงตาคู่งาม

ใบหน้าเนียนใสสมบูรณ์แบบรูปไข่แลดูสดใสและละเอียดอ่อน จนทำให้ผู้คนแทบอดไม่ไหวที่จะเข้าไปหยิกแก้ม แต่ก็ต้องยั้งใจไว้เมื่อนึกถึงดวงตาคู่งามที่สงบนิ่งดังผิวน้ำคู่นั้น

ที่หน้าอกของเธอติดโบว์สีม่วงรูปผีเสื้อ ขณะที่ตำแหน่งเอวแขวนป้ายแผ่นไม้เอาไว้

หญิงสาวดูเหมือนกำลังหิว และเหม่อมองไปที่อาหารบนโต๊ะคนอื่นด้วยความอิจฉา สาเหตุก็เพราะเธอไม่มีเงินติดตัวเลยตอนนี้

ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือใบหน้าของหญิงสาวที่ดูคล้ำขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ากำลังได้รับความเจ็บปวด ซึ่งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“คนสวยครับ คุณอยากไปที่โรงแรมฝั่งตรงข้ามเพื่อหาอะไรกินหน่อยไหม?”

รถออดี้คันหนึ่งค่อยๆขับมาหยุดอยู่ตรงตำแหน่งภายนอกหน้าต่างนั้น ชายหนุ่มรูปหล่อลดกระจกรถลง เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ซ่อนจุดประสงค์เอาไว้ไม่มิด

สาวสวยในชุดสีม่วงส่ายหน้าเล็กน้อย จากนั้นจึงหันไปมองนาฬิกาเรือนหนึ่งที่แขวนอยู่ในร้านด้วยท่าทางที่ดูร้อนใจ

“โทษที แต่สาวสวยคนนี้เป็นของผมเอง”

ชั่วขณะนี้ น้ำเสียงที่ใสแต่กดดันดังขึ้นในร้านแห่งนี้ ตามมาเด็กหนุ่มที่ดูมีเสน่ห์ที่กำลังนั่งลงตรงข้ามกับสาวสวยในชุดสีม่วง

เขาคือเย่เฟิงนั่นเอง

ทักษะสัมผัสวิญญาณของชายหนุ่ม ค้นพบว่าที่เข็มขัดของหญิงสาวคนนี้ซ่อนมีดบิดเอาไว้หลายเล่ม ซึ่งดึงดูดความสนใจเขาในทันที เพราะจุดประสงค์ของเขาที่มาที่นี่ก็เพื่อจัดการกับสำนักเซียนเร้นลับ

ในยุคสมัยใหม่นี้ การที่สาวสวยคนหนึ่งซ่อนมีดบินเอาไว้ เป็นเรื่องที่น่าสงสัยมาก ด้วยเหตุนี้เอง เย่เฟิงจึงมุ่งความสนใจมาหาหญิงสาวคนนี้ทันที แต่คำพูดของเขาก็สร้างความไม่พอใจแก่กลุ่มผู้ชายหลายคนโดยรอบเช่นกัน

‘ของแกงั้นหรอ? เธอเป็นของฉันต่างหาก!’

ชายเลือดร้อนร่างกายกำยำคนหนึ่งพลันเดินเข้ามาพร้อมกับหมุนคอดัง“แกร๊ก แกร๊ก” เขาเป็นคนหัวล้านที่มาพร้อมกับดวงตาเรียวเล็ก “ไอ้หนู รู้ไหมที่นี่ใครใหญ่?”

ชายคนนี้กล่าวขณะแสดงให้เป็นถึงมวลกล้ามเนื้ออันมากมาย พร้อมด้วยซิกแพคที่ดูน่าเกรงขามเมื่ออยู่ใต้แสงไฟสลัวในร้านอาหารแห่งนี้

“ไสหัวไป!”

เย่เฟิงทุบโต๊ะ ก่อนจะยกเท้าขึ้นถีบชายหัวล้านเลือดร้อนอย่างแรง ด้วยเสียงดัง “ปัง” ชายคนนั้นลงไปนอนกองบนพื้นทันที

ตีกันแล้ว!

ร้านอาหารแห่งนี้เกิดความปั่นป่วนขึ้นทันที ไม่มีใครคาดคิดว่าเด็กหนุ่มในชุดสีดำจะแข็งแกร่งถึงขนาดแค่ถีบครั้งเดียว ชายหัวล้านก็สลบไปทันที ไม่มีใครรู้ว่าเย่เฟิงสามารถทำได้อย่างไร

“คนสวย คุณเป็นของผมแล้ว”

มุมปากของเย่เฟิงโค้งขึ้น

“……”

สาวสวยในชุดสีม่วงยังคงเงียบ ดวงตาคู่งามจับจ้องมายังชายหนุ่มไม่วางตา

คุณเป็นใคร?

ดวงตาที่ราบเรียบ ส่งสายตาสื่อความหมาย

“จื่อเจี้ยนหลานสินะ?”

เย่เฟิงกวาดสายตาลงมองป้ายแผ่นไม้ที่เอวของอีกฝ่าย มันทำให้เขารู้ว่าหญิงสาวคนนี้เป็นคนของสำนักเซียนเร้นลับอย่างไม่ต้องสงสัย ชายหนุ่มจำได้ว่าในตอนที่สังหารหัตถ์ภูติสังหารเทพ‘ฉินเกอ’ที่แถบทะเลจีนตะวันออก มันก็มีป้ายหยกแสดงฐานะไว้ด้วยเช่นกัน

คำว่า “ฉินเกอ”บนป้ายหยก กับคำว่า “จื่อเจี้ยนหลาน”บนป้ายแผ่นไม้ ทั้งสองสิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงชื่อและฐานะที่แตกต่างกัน

เมื่อเย่เฟิงกล่าวชื่อนั้น สาวสวยในชุดสีม่วงก็มองเขาไปในดวงตาของเขา แต่ยังคงไม่กล่าวอะไรออกมา

พวกเขาทั้งคู่ตั้งนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ต่างฝ่ายต่างพิจารณาคู่ตรงข้ามอยู่เป็นเวลานาน

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสาวสวยในชุดสีม่วงที่ดูงดงามอย่างเรียบง่ายคนนี้ มีเสน่ห์ที่น่าดึงดูดอันเหลือล้น แม้แต่ตัวเย่เฟิงเองก็ไม่มีความโหดร้ายพอที่จะให้เธอเป็นเหยื่อล่อ

แต่เพื่อความปลอดภัยของคนที่รอคอยเขาอยู่ เย่เฟิงจึงจำเป็นต้องตัดสินใจ

เมื่อสาวสวยในชุดสีม่วงเริ่มมีปฏิกิริยาเตรียมจะวิ่งออกไปทางประตู เย่เฟิงก็ลงมือแบบสายฟ้าแลบ เมื่อเข้าถึงตัวอีกฝ่าย เขาสามารถดึงมีดที่เสียบอยู่ตรงเข็มขัดอีกฝ่ายออกมาได้อย่างง่ายดาย

“อย่าขยับ เชื่อฟังผมแต่โดยดีเถอะ”

เย่เฟิงหรี่ตาลงพร้อมกับโอบร่างบางเข้ามา ในชั่วขณะนี้ ชายหนุ่มก็พลันค้นพบบางอย่าง “คุณถูกพิษ?”

สาวสวยในชุดสีม่วงคนนี้กลับมากระแสพิษไหลเวียนไปตามเส้นลมปราณทั่วร่าง ซึ่งกำลังปะทุขึ้นเป็นระยะๆ และมันค่อยๆทำลายสมรรถภาพของร่างกายไปเรื่อยๆ หากเป็นแบบนี้ต่อไป บางทีเธอคงจะเสียชีวิตในอีกสองวัน

แต่ถึงเป็นอย่างนั้น นี่ก็ไม่ทำให้เย่เฟิงเปลี่ยนใจที่จะใช้หญิงสาวในฐานะตัวประกันไปได้

อย่างไรก็ตามเวลานี้ ในสายตาของผู้คนโดยรอบในร้านอาหาร มันดูราวกับว่าเย่เฟิงกำลังบังคับขู่เข็ญหญิงสาว

“เฮ้ย หยุดเดี๋ยวนี้!”

ชายหนุ่มรูปหล่อในรถออดี้ เปิดประตูก้าวลงมาจากรถ และเดินเข้ามาด้วยความไม่พอใจอันชอบธรรม

…………………

แปลโดย Solar Spark