บทที่ 200 เย่เฟิง? เย่เฟิง! (Blast 2)

ผู้ชมทั้งหลายต่างเบิกตาจ้องมองรังสีกระบี่ที่ปรากฏขึ้นมามากมายอย่างไร้คำพูด

เย่เฟิงเงยหน้าขึ้นพร้อมกับความรู้สึกชาที่เริ่มกระจายไปทั่วทั้งร่าง แต่เขายังคงเหลือเรี่ยวแรงพอจะยืนหยัดต้านทานรังสีกระบี่ได้ต่อไป แม้จะเกิดบาดแผลขึ้นตามร่างกายมากมาย แต่เย่เฟิงก็ไม่อาจปล่อยให้โอกาสสุดท้ายนี้หลุดลอยไปได้ ไม่เช่นนั้นชะตากรรมของเขาในวันนี้ต้องพบกับความหายนะจนเกินจะจินตนาการได้

ชายหนุ่มได้ใช้ทักษะสัมผัสวิญญาณกวาดไปทั่วบริเวณรอบๆ

สายตาของผู้คนจ้องมองร่างที่ชุ่มไปด้วยเลือดของเขา แต่ละคนล้วนมึนงงเพราะไม่คิดว่าชายสวมหน้ากากจะไม่ยอมหลบการโจมตี และเลือกที่จะยืนหยัดต้านทานรังสีกระบี่อันร้ายกาจเหล่านั้นแทน

พื้นที่แห่งนี้ล้วนเต็มไปด้วยความโกลาหล

ต้นไม้น้อยใหญ่มากมายถูกตัดขาดอย่างต่อเนื่อง พื้นดินเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนจากรังสีกระบี่ซึ่งไม่นานก็ถูกเติมเต็มด้วยน้ำฝนและกลายเป็นน้ำแข็ง

เวลานี้ในที่สุด หลินชื่อฉิงก็พาร่างไร้สติของเสี่ยวฉีออกไปจากรถบรรทุกได้ และเข้าไปหลบซ่อนอยู่หลังต้นไม่ต้นหนึ่ง ใบหน้าอันงดงามจ้องมองลอดรอยแยกของต้นไม้ใหญ่ที่ล้มลงมาต้นหนึ่งด้วยแววตาที่สลับซับซ้อน เธอมองไปยังชายสวมหน้ากากที่ยืนอยู่ในการต่อสู้

หญิงสาวรู้ดีว่าชายสวมหน้ากากสามารถหลบหนีไปจากที่นี่ได้อย่างง่ายดาย และเมื่อครู่นี้หลงหวางเอ๋อก็พยายามบอกให้เขาหลบหนีไปแล้ว

แต่ชายคนนี้กลับไม่เลือกที่จะหนีไป

เมื่อมองไปยังรถบรรทุกทหารที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนจากรังสีกระบี่ หลินชื่อฉิงเข้าใจดีว่าถ้าชายสวมหน้ากากไม่ยืนหยัดต่อต้านรังสีกระบี่เหล่านี้ เธอและเสี่ยวฉีคงตายไปแล้ว

เพื่อพวกเธอ เขาถึงกับเต็มใจยอมรับบาดแผลอันแสนสาหัสเลยหรอ?

หลินชื่อฉิงไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเธอและเสี่ยวฉีจะสำคัญต่อเขา แต่เมื่อหญิงสาวขบคิดอย่างลึกซึ้งแล้ว เธอก็ไม่อาจหาเหตุผลได้อยู่ดีว่าเหตุใด ชายสวมหน้ากากถึงได้ยืนหยัดรับการโจมตีเหล่านั้น

หลินชื่อฉิงย่อมไม่รู้แน่นอนว่าเมื่อครู่นี้ก่อนที่เธอจะลงมาจากรถบรรทุก หนานฟางที่หลบซ่อนอยู่ในตัวรถได้คลานออกมาและปืนขึ้นไปบนยอดต้นไม้ โดยไม่มีใครรับรู้ถึงการคงอยู่ของเขาเลยแม้แต่คนเดียว

อาศัยรองเท้าบูทพลังไฟฟ้าของมือสังหาร รวมทั้งหน้าไม้ยับยั้งลมปราณ หนานฟางเปรียบเสมือนมือสังหารอันแสนร้ายกาจเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ศรของหน้าไม้ยับยั้งลมปราณไม่อาจสร้างผลกระทบต่อหลงโม่หรันได้มากนัก

ในเวลานี้ ชายหนุ่มซ่อนตัวเพื่อรอคอยโอกาสที่เหมาะสม

ขณะเดียวกัน เขาก็หยิบมีดบินหลายเล่มมาไว้ในมือ ถึงแม้จะได้ฝึกฝนทักษะมีดบินปีศาจคำรามแล้ว แต่มันก็ยังไม่อาจสร้างผลกระทบได้มากมายเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม มันก็พอจะใช้สร้างการรบกวนแก่หลงโม่หรันได้ในยามจำเป็น

เมื่อหลงหวางเอ๋อถูกดึงเข้ามาอยู่ด้านหลังเย่เฟิง หญิงสาวคิดอยากจะออกไปต่อสู้แลกชีวิตกับหลงโม่หรันเช่นกัน แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเพราะคิดว่าการโจมตีของเธอไม่อาจเปลียนแปลงสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ได้เลย

ไม่ว่าจะเป็นทักษะเพลิงสีแดง หรือทักษะศรดารา พวกมันล้วนไม่สร้างผลใดๆแก่หลงโม่หรันยามที่ใช้ประจันหน้า นอกจากนี้หากเธอใช้ทักษะเซียนออกมามากเกินไป มันมีโอกาสสูงที่ตัวตนของผู้ฝึกเซียนจะถูกเปิดเผยออกมา

ทักษะวรยุทธ์ขั้นที่สามกับทักษะเซียนพอจะมีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง ดังนั้น ในตอนที่หลงหวางเอ๋อยิงศรดาราออกไปทั้งสองครั้ง จึงยังไม่มีผู้ใดรู้สึกสงสัยในการโจมตีเหล่านี้ นอกจากนั้นเมื่อพิจารณาถึงพรสวรรค์ของหญิงสาวแล้ว การบรรลุทักษะวรยุทธ์ในขั้นที่สามถือเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ แต่หากเธอใช้ทักษะเซียนออกมาบ่อยครั้ง มันอาจจะมีบางคนที่มองเห็นความแตกต่างจนเกิดความสงสัยขึ้นมา

ในเวลานี้ หลังจากถอยกลับไปหลายก้าว หลงหวางเอ๋อก็ได้กลับไปเข้าไปในป่าและรีบเคลื่อนที่เข้าไปยังที่ซึ่งชูชูหลบซ่อนตัวอยู่เพื่อคอยคุ้มกันความปลอดภัยของหญิงสาว

กลุ่มคนของตระกูลหลงได้กระจายตัวไปออกไปทั่วพื้นที่เพื่อตามหาแขนของหลงโม่หรันข้างที่ถูกตัดออกไป ชูชูจึงรู้สึกกังวลและร้อนใจจนไม่กล้าหายใจออกมาจนกระทั่งหลงหวางเอ๋อได้มาถึง
ในป่าอันแสนมืดมิด หญิงสาวทั้งสองยืนตัวติดกันขณะให้ความสนใจไปกับสถานการณ์รอบๆ

อย่างไรก็ตาม ทักษะสัมผัสวิญญาณของหลงหวางเอ๋อโฟกัสไปที่คนสองคนคือเย่เฟิงและหลงโม่หรันเพื่อให้สามารถรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา หากเมื่อใดที่มีโอกาส หญิงสาวจะใช้พยายามทักษะเซียนโจมตีใส่หลงโม่หรันจากระยะไกลทันที!

ณ อีกด้านหนึ่ง ศิษย์สำนักหมัดเทพทวาราที่นำโดยฉีเสี่ยวหยูต่างถอยหลังกลับไปไกล จนกระทั่งห่าฝนของรังสีกระบี่หยุดลง พวกเขาจึงค่อยพ่นลมหายใจออกมาและสังเกตุสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆ

ฉีเสี่ยวหยูยืนอยู่ด้านหนึ่งขณะจ้องเขม็งไปยังชายสวมหน้ากาก

สำหรับชายชราแล้ว เขาหวังให้ชายสวมหน้ากากสามารถสังหารหลงโม่หรันลงได้ที่นี่ หลังจากนั้น เขาก็จะเข้าไปสังหารมันต่อ หากเป็นแบบนี้ ไม่เพียงจะสามารถกำจัดศัตรูตัวฉกาจไปได้ แต่ยังสามารถแก้แค้นให้แก่หลัวเฟิงได้ด้วย

ฉีเสี่ยวหยูไม่คิดอะไรมากไปกว่าการผลักสาเหตุการตายของหลัวเฟิงทั้งหมดไปที่ชายสวมหน้ากากคนเดียว

เรื่องที่ถูกแย่งชิงปะการังราชันย์จนต้องเสียโอกาสการเพิ่มระดับวรยุทธ์ไปถึง 5 ปีนั้น สำหรับชายชราแล้ว มันเทียบไม่ได้เลยกับการตายของหลัวเฟิง

หลัวเฟิงฝึกฝนวรยุทธ์จนถึงขั้นที่สามารถปลดปล่อยพลังชี่ภายในออกมานอกร่างกายได้ ทั้งที่ยังมีอายุยังน้อย พรสวรรค์ของเขานั้นโดดเด่นกว่าคนรุ่นเยาว์คนใดในโลกยุทธภพ

นอกจากสำนักหมัดเทพทวาราจะพลาดโอกาสได้รับผลประโยชน์ใดๆมาการมาที่นี่แล้ว พวกเขายังเสียกำลังคนไปมากมาย ต่อให้ฉีเสี่ยวหยูจะเป็นถึงผู้อาวุโสของสำนัก เรื่องนี้ก็ยังเกิดกว่าที่เขาจะรับผิดชอบไหว

ในขณะนี้ ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหลายต่างพากันชี้นิ้วไปยังพื้นที่ต่อสู้

ไม่ว่าจะอย่างไร ชายสวมหน้ากากก็ได้สร้างความหายนะให้กับหลงโม่หรันแล้ว ไม่เพียงจะถูกตัดแขนออกไปข้างหนึ่ง เขายังถูกบังคับให้ใช้ทักษะลับอย่างเพลงกระบี่พร่ำเพ้อขั้นที่สามออกมา

ถ้าชายสวมหน้ากากสามารถรอดไปได้ในวันนี้ โลกยุทธภพต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เป็นแน่!

แต่ต่อให้ชายสวมหน้ากากสามารถสังหารหลงโม่หรันได้จริง ก็ไม่มีทางที่จะหลบหนีไปจากน้ำมือของฉีเสี่ยวหยูได้……..เมื่อผู้คนทั้งหลายหันมองไปยังฉีเสี่ยวหยู พวกเขาเห็นแววตาของชายชราล้วนเต็มไปด้วยความอาฆาต

ต่อให้ชายสวมหน้ากากจะมีปีก ก็ไม่สามารถหนีไปจากที่นี่ได้แน่!

หนึ่งก้าว

สองก้าว

หลงโม่หรันเคลื่อนที่เข้าหาเย่เฟิงขณะถือกระบี่ยาวไว้ในมือ เสื้อคลุมยาวสีขาวที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือดและหยาดน้ำฝน กระพือไปตามสายลม ทำให้ดูราวกับนักรบกระหายเลือดที่เพิ่งผ่านสมรภูมิมา

“หมดแรงแล้วรึ?”

รอยยิ้มเย้ยยันปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าหลงโม่หรัน พร้อมกับตวัดมือปลดปล่อยรังสีกระบี่สีขาวให้พุ่งเข้าใส่เย่เฟิงแต่ไกล

แม้ความชาจะกระจายไปทั่วร่าง แต่เย่เฟิงก็ไม่คิดจะหลบหนี!

หากชายหนุ่มเลือกที่จะหลบหนี เขาก็จะไม่เหลือเรี่ยวแรงสำหรับการโจมตีครั้งสุดท้าย

ฉัวะ!

แต่ทันใดนั้น ร่างๆหนึ่งก็กระโดดออกมาจากป่าด้านข้าง และเข้ามายืนรับรังสีกระบี่ด้านหน้าเย่เฟิงในช่วงเวลาวิกฤต

ในชั่วพริบตา รังสีกระบี่สีขาวได้พุ่งทะลุหน้าอกของคนผู้นั้น ช่างน่าตกใจที่เขาก็คือเด็กหนุ่มสวมหน้ากากจากวังไท่จี๋!

จนกระทั่งตอนนี้ เย่เฟิงก็ยังไม่รู้ชื่อของเด็กหนุ่มที่เขาได้ช่วยรักษาแผลเป็นบนใบหน้าให้ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นอีกครั้งที่เด็กคนนี้ได้ก้าวออกมารับรังสีกระบี่อย่างกล้าหาญ

“ปัง” ร่างของเด็กหนุ่มล้มลงบนพื้นอย่างแรง

รังสีกระบี่นี้ได้ตัดขั้วหัวใจของเขาไปในทีเดียว ไม่มีทางที่เด็กหนุ่มจะรอดชีวิตไปได้อีก

“แกอีกแล้ว!”

ความโกรธเกรี้ยวของหลงโม่หรันเพิ่มสูงขึ้นไปอีก

ที่หมู่บ้านชาวประมง เด็กหนุ่มคือคนที่เข้าไปช่วยชูชูไว้จากรังสีกระบี่ และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาได้ใช้ร่างตัวเองมาขวางรังสีกระบี่ที่โจมตีเข้าใส่เย่เฟิง

“นี่……..หลงโม่หรัน………”

เย่เฟิงเอ่ยขึ้นมาไม่กี่คำเพื่อดึงความสนใจของหลงโม่หรัน

คำพูดดังกล่าวของเย่เฟิงไม่ได้พูดออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำอย่างที่เคย แต่เป็นเสียงของตัวเขาจริงๆ ในเวลานี้ ชายหนุ่มวางมือข้างหนึ่งลงบนหน้ากากสีดำราวกับเขาเตรียมตัวจะถอดหน้ากากตัวเองออกมา

เพื่อเอาชนะการต่อสู้ในครั้งนี้ นี่คือโอกาสสุดท้ายของเขา

ต่อให้ต้องเผยตัวตนออกมาต่อหน้าทุกคน เขาก็พร้อมที่จะทำ!

เปรี้ยง!

ท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำ สายฟ้าได้ผ่าลงมาจนเกิดความสว่างจ้าไปทั่วบริเวณ ชายสวมหน้ากากได้ถอดหน้ากากตัวเองออกมาโดยไม่คาดคิด

ใบหน้าละเอียดอ่อนได้ปรากฏออกมาต่อหน้าทุกคน แต่ครั้งนี้ มันไม่ได้อยู่ภายใต้ผลของทักษะอำพราง มันคือใบหน้าของเย่เฟิงจริงๆ!

หลงโม่หรันเบิกตากว้างอย่างด้วยความตื่นตะลึงจนดูราวกับคนโง่งม

เย่เฟิง?

เย่เฟิง!

‘โอกาสนี้แหละ!’

ถึงแม้เย่เฟิงจะรู้สึกเศร้าใจกับการตายของเด็กหนุ่มจากวังไท่จี๋ แต่ทักษะสัมผัสวิญญาณของเขายังคงโฟกัสอยู่ที่หลงโม่หรันตลอดเวลา เพื่ออาศัยโอกาสขณะที่ฝ่ายตรงข้ามยังคงสับสน เย่เฟิงรีบตวัดกระบี่สีทอง ปลดปล่อยรังสีกระบี่ให้พุ่งเข้าใส่หลงโม่หรันทันที!

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ในเวลาเดียวกัน มีดบินจำนวนมากก็พุ่งตรงเข้าหาหลงโม่หรันจากอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นฝีมือของหนานฟางซึ่งซ่อนตัวอยู่บนยอดไม้

“ศรดารา!”

ห่างกันเพียงไม่ถึงเสี้ยววินาที หลงหวางเอ๋ออาศัยโอกาสนี้ยิงศรสีน้ำเงินเข้าใส่หลงโม่หรัน

การโจมตีสามผสาน!

หลงโม่หรันตกอยู่ในความตื่นตะลึงจากการได้รับรู้ตัวตนของเย่เฟิงแบบไม่คาดฝัน แต่เมื่อพยายามจะตอบสนองต่อการโจมตีที่พุ่งเข้ามา ก็พบว่าไม่ว่าจะหนีไปทางไหน ล้วนแล้วแต่มีการโจมตีอันร้ายกาจรอเขาอยู่!

มันจบแล้ว!

หลงโม่หรันรู้สึกว่าเลือดในกายเย็นเชียบไปชั่วขณะ

………………………….

แปลโดย Solar Spark