บทที่ 201 คำประกาศกร้าวของเย่เวิ่นเทียน

ทักษะมีดบินปีศาจคำราม คือทักษะที่สูญหายไปจากโลกยุทธภพนานแล้ว!

เมื่อหลงโม่หรันรับรู้ได้ถึงมีดบิน 3 เล่มที่กำลังพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาก็พลันตื่นตะลึงจนเกือบสงบใจเอาไว้ไม่ได้ ปกติแล้วในช่วงเวลาวิกฤต หลงโม่หรันเพียงอาศัยประสบการณ์การที่สู้ที่ผ่านมาอย่างโชกโชนในการเอาตัวรอด แต่การปรากฏขึ้นมาอย่างฉับพลันของทักษะนี้ทำให้การตัดสินใจของเขาหยุดนิ่งไปในทันที

พิจารณาจากการโจมตีที่เข้ามาจากทั้งสามทางแล้ว ชัดเจนว่าการโจมตีของหนานฟางถือว่ามีความรุนแรงน้อยที่สุด

แต่จิตใต้สำนึกของหลงโม่หรันกลับคิดว่ามีดบินเหล่านั้นคือสิ่งที่อันตรายที่สุด!

อาจบอกได้ว่านี่คือความบังเอิญ ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่หลงโม่หรันได้พบกับผู้เชี่ยวชาญอาวุธลับและได้เห็นคนผู้นั้นใช้ทักษะมีดบินปีศาจคำรามสังหารผู้คนไปเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้เขาต้องรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสันหลัง

ทักษะนี้ยังคงเป็นภาพหลอนในใจของหลงโม่หรันเสมอมา โชคดีที่หลังจากวันนั้น ผู้เชี่ยวชาญอาวุธลับคนนั้นไม่เพียงแยกตัวออกไปจากสำนักเซียนเร้นลับ แต่ยังนำตำราวรยุทธ์ของทักษะมีดบินปีศาจคำรามไปด้วย ทักษะนี้จึงได้หายสาบสูญไปตลอดกาล

แต่ในวันนี้ มันกลับปรากฏขึ้นมาอีกครั้งในโลกยุทธภพ!

ควาททรงจำในครั้งนั้นทำให้หลงโม่หรันตื่นตกใจไปชั่วครู่ จนพลาดโอกาสดีที่สุดในการหลบหลีกไปจากการโจมตีเหล่านี้

รังสีกระบี่สีน้ำเงิน ศรดารา และมีดบินทั้งสามเล่ม การโจมตีทั้งสามนี้พุ่งเข้าแทบจะพร้อมๆกัน ซึ่งอีกเพียงไม่ถึง 0.1 วินาที พวกมันก็จะจัดการปลิดชีพหลงโม่หรันแล้ว!

ปัง!

แต่ทันใดนั้น กำปั้นประทับของคนผู้หนึ่งก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าและปะทะเข้ากับแผ่นหลังของหลงโม่หรัน

ด้วยที่ไม่มีความสามารถพอจะต่อต้านได้ เขาจึงล้มลงไปบนพื้นโคลนที่เปียกชื้นและหนาวเย็น ราวกับสุนัขในโคลนตม พร้อมกับสิ้นสติไปในทันที

แต่อย่างไรก็ตามเพราะกำปั้นนี้เอง ในช่วงเวลาวิกฤต หลงโม่หรันจึงสามารถหลบการโจมตีสามผสานของพวกเย่เฟิงไปได้!

นอกจากนั้น กำปั้นประทับนี้ยังฝังคำว่า “ไอ้บ้า” ไว้กลางแผ่นหลังของหลงโม่หรัน ซึ่งเป็นภาพที่น่าตกใจจริงๆ

ใครกัน?

เย่เฟิงอยู่ในสภาพเหนื่อยอ่อนจากการสูญเสียเรี่ยวแรงเกือบทั้งหมดไป ชายหนุ่มสงสัยอย่างยิ่งว่าในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย ใครกันที่เป็นคนโผล่ขึ้นมาช่วยชีวิตหลงโม่หรันไว้ แต่สถานการณ์ตอนนี้ดูเหมือนว่ามีบางสิ่งที่น่าประหลาดอยู่……

รังสีกระบี่ครั้งสุดท้ายของเย่เฟิงปลดปล่อยออกไป ดูดกินพลังของเขาไปจนแทบหมดสิ้น ชายหนุ่มคุกเข่าลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงแต่ก็ยังพยายามประคองสติเอาไว้ ทั่วทั้งร่างของเย่เฟิงเต็มไปด้วยบาดแผลน้อยใหญ่นับร้อยพร้อมกับเลือดที่ไหลรินออกมา

“พามันแล้วรีบไสหัวไป”

น้ำเสียงแหบแห้งดังขึ้นมาไม่ไกลจากป่า ตามมาด้วยร่างของชายชราคนหนึ่งพร้อมกับเด็กสาวที่เดินเข้ามาหาพวกเขา

“เย่เฟิง!”

ทันทีที่เด็กสาวคนนี้มองเห็นเย่เฟิงที่เลือดท่วมไปทั้งตัว ใบหน้าของเธอก็กลายเป็นขาวซีด พร้อมกับรีบวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นกลัว

“เหมิงหาน? ปู่?”

เย่เฟิงที่มองเห็นทั้งสองคนก็พลันรู้สึกผงะ

กำปั้นประทับนั้นกลับเป็นของเย่เวิ่นเทียน! แล้วทำไมปู่ของเขาถึงได้ลงมือช่วยหลงโม่หรันไว้? นี่มันไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง!

ขณะที่อีกด้านหนึ่ง เมื่อชายชราปรากฏตัวขึ้นมา สีหน้าของหลงจื่อและหลงชิงก็เปลี่ยนไปพร้อมกัน

ทำไมผู้เฒ่าคนนี้ถึงได้มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่?

ถึงแม้พวกเขาจะยังไม่ฟื้นตัวเท่าไหร่นักกับการโจมตีด้วยกรงเล็บมังกรของเย่เฟิง แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลามายืดยาดอยู่อีกแล้ว ทั้งคู่รีบวิ่งไปยังร่างหมดสติของหลงโม่หรันทันที

“ท่านผู้นำ พวกเราพบแขนของท่านแล้ว!”

ในเวลานี้ เสียงฝีเท้าอย่างเร่งรีบก็ดังขึ้นมาจากในป่า พวกเขาคือศิษย์ตระกูลหลงสองคนที่พบแขนข้างที่ขาดของหลงโม่หรันแล้ว

“เอะอะเสียงดังทำไม? รีบไปเร็ว”

หลงจื่อขมวดคิ้วและตวาดออกมา เพราะเขาต้องการพาหลงโม่หรันออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

“เดี๋ยวก่อน ทิ้งแขนของมันไว้”

เย่เวิ่นเทียนเดินเข้ามาช้าๆด้วยท่าทีไม่แยแส แต่กลับเดินมาถึงข้างหน้าของศิษย์ทั้งสองอย่างรวดเร็ว ชายชราคว้าแขนข้างนั้นมาทันที

เห็นเช่นนั้น สีหน้าของพวกเขาก็กลายเป็นขาวซีด

Swish!

จากนั้น เย่เวิ่นเทียนได้ขว้างแขนของหลงโม่หรันออกไปออกไปไกลสุดกู่ ไม่นานก็เสียงดัง “ตุ๋ม” ดังขึ้นมา แสดงให้เห็นว่าแขนข้างนั้นได้ตกลงไปในทะเลแล้ว

“ทำไมคนตระกูลหลงถึงยังไม่ไปอีก? ผู้เฒ่าคนนี้จะนับหนึ่งถึงสาม และถ้าฉันยังเห็นใครอยู่ที่นี่อีก พวกแกได้เจอดีแน่!”

เย่เวิ่นเทียนเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงที่น่าเกรงขาม

“รีบไปเร็ว”

หลงชิงและหลงจื่อไม่กล้าพูดอะไรอีกเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าเย่เวิ่นเทียนที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับตำนาน ต่อให้เป็นหลงโม่หรันที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ก็ยังไม่กล้าพูดอะไรเสียงดังเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าชายชราคนนี้

แต่ก่อนจะจากไป หลงจื่อได้หันไปมองเย่เฟิง

สำหรับเขาแล้ว มันเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะทำใจเชื่อได้ว่าชายสวมหน้ากากคือเย่เฟิง…..

ความรู้สึกเศร้าใจอันใหญ่หลวงมาพร้อมกับสัญญาณของความอันตรายพุดขึ้นมาในใจหลงจื่อ เย่เฟิงไม่เพียงกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว แต่พรสวรรค์ของเขายังสูงส่งจนน่าใจหาย ทั้งในเวลานี้ หลงหวางเอ๋อก็อยู่ข้างเดียวเด็กคนนั้น สถานการณ์ตอนนี้มันย่ำแย่อย่างแท้จริง!

หากเย่เวิ่นเทียนยืนหยัดปกป้องเย่เฟิงด้วยทุกสิ่งที่มี เมื่อเวลาผ่านไป เด็กคนนั้นต้องเติบโตขึ้นและกลายเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ในโลกยุทธภพเป็นแน่!

อายุน้อยเพียงแค่นี้แต่กลับสามารถเผชิญหน้ากับหลงโม่หรันได้ ถึงแม้จะอาศัยพลังของคนอื่นในการต่อสู้ด้วย แต่ศักยภาพของเขาก็ไม่อาจดูแคลนได้ หลังจากกลับไปแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำคือการรักษาหลงโม่หรัน จากนั้นก็รอฟังแผนของผู้นำตระกูลต่อไป เพราะเรื่องสำคัญเช่นนี้ พวกเขาไม่ควรตัดสินใจด้วยตัวเอง

สำหรับแขนข้างที่ถูกตัดออกไป เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้คือเย่เวิ่นเทียน พวกเขาก็ไม่อาจทำอะไรได้อีก

“พวกแกทุกคนจงฟัง เย่เฟิงคือหลานชายของฉัน”

เย่เวิ่นเทียนตะโกนก้องออกมา ชายชรายืนอย่างสง่าอยู่ต่อหน้าทุกคนพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบๆ จากนั้นจึงกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงอันทรงพลังที่ทำให้หัวใจของผู้ฟังต้องหวาดผวา “หากใครหน้าไหนที่กล้าคิดร้ายต่อหลานชายของฉัน ผู้เฒ่าคนนี้จะแสดงให้เห็นเองว่าความโหดเหี้ยมมันเป็นยังไง!”

ทันทีที่ชายชรากล่าวคำพูดเหล่านั้นออกมา ความโกลาหลก็กระจายออกไปทั่วทันที

นี่คือคำประกาศกร้าวของเย่เวิ่นเทียน!

“ไปกันได้แล้ว”

ฉีเสี่ยวหยูโบกมือออกคำสั่งโดยไม่รีรอ และนำคนของสำนักหมัดเทพทวาราจากไปในทันที

เมื่อตัวตนของชายสวมหน้ากากถูกเปิดเผยออกมาว่าเป็นเย่เฟิง ฉีเสี่ยวหยูก็ตกอยู่ในความตื่นตะลึงไปชั่วขณะ แต่ชายชราก็เกิดความคิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาย่อมไม่กล้าจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่ข่าวเรื่องเย่เฟิงกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์นี้ต้องถูกกระจายออกไปให้เร็วที่สุด! ด้วยในโลกยุทธภพนั้นมีผู้ที่แค้นเคืองกับตระกูลเย่อยู่มากมาย ด้วยวิธีนี้ ไอ้แก่เย่กับหลานชายของมันจะต้องประสบกับปัญหาที่กระหน่ำเข้ามามากมายไม่รู้จบ

สำหรับเรื่องการเผชิญหน้ากับเย่เฟิง ชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์สูงจนน่าใจหายคนนี้ เขาต้องรีบคิดวิธีจัดการเอาไว้หลายทาง คงจะดีที่สุดหากมีผู้คนมากมายช่วยกันรุมสังหารมัน เพราะอาศัยแค่เย่เวิ่นเทียนคนเดียวย่อมไม่อาจรับมือได้ไหว……

ฉีเสี่ยวหยูคือผู้สูงวัยที่มีประสบการณ์มากมาย โดยธรรมชาติแล้วเขาย่อมรู้ดีว่าวิธีใดคือวิธีที่เหมาะสมที่สุด

เมื่อฉีเสี่ยวหยูนำคนของเขาจากไปแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นก็ไม่กล้าจะรั้งรออยู่ที่นี่ต่อไป เหตุการณ์ในวันนี้คงได้สั่นสะเทือนไปทั่วโลกยุทธภพเป็นแน่ ซึ่งข้อมูลสำคัญที่สุดที่พวกเขาได้รับก็คือ เย่เฟิงได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว!

นอกจากนี้ยังมี ยังมีผู้เชี่ยวชาญที่มีสายตาอันแหลมคม ซึ่งสามารถแสดงทักษะมีดบินปีศาจคำรามออกมาอย่างง่ายดาย หากข่าวนี้ถูกกระจายออกไป มันคงเป็นเรื่องที่น่าตกใจในโลกยุทธภพไม่แพ้กัน

ในเวลาไม่นาน ผู้ฝึกยุทธ์โดยรอบก็กระจัดกระจายออกไปอย่างรีบร้อนราวกับนกแตกรัง

“เย่เฟิง!”

หลงหวางเอ๋อรีบวิ่งออกมาจากที่ซ่อนตัวเช่นกัน เพราะเธอต้องการจะใช้ทักษะแสงศักดิ์สิทธิรักษาบาดแผลให้แก่ชายหนุ่ม

แต่เมื่อมาได้ครึ่งทาง หลงหวางเอ๋อก็มองเห็นซูเหมิงหานในชุดกระโปรงสั้นได้พยุงชายหนุ่มขึ้นมาอิงไว้กับรถบรรทุก สีหน้าของเด็กสาวฉาบไว้ด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัดเจน

ในชั่วขณะนี้ หลงหวางเอ๋อเริ่มลังเลเล็กน้อย และในขณะเดียวกัน หญิงสาวก็พลันกังวลใจเมื่อรับรู้ได้ว่าเย่เวิ่นเทียนกำลังมองมา มันน่าอึดอัดเล็กน้อยที่ตัวตนอย่างเธอจะมาอยู่ที่นี่………ไม่สิ มันไม่ใช่แค่น่าอึดอัดเล็กน้อย แต่มันน่าอึดอัดอย่างมาก……….

หลงหวางเอ๋อกัดฟังและตัดสินใจไม่คิดอะไรอีก

ชีวิตของเธอมันไม่เคยเรียบง่ายและราบรื่นอยู่แล้ว

หญิงสาวเพียงอยากจะช่วยรักษาบาดแผลของเย่เฟิง และตามเขากลับไปที่ก้นทะเลเพื่อจัดการเรื่องทั้งหมดให้จบ จากนั้น ก็คงถึงเวลาที่เธอควรจะจากไป……….

หลงหวางเอ๋อตัดสินใจอยู่ในใจเงียบๆว่าจะไม่สนใจซูเหมิงหานและแววตาที่มีร่องรอยความหึงหวงของเด็กสาว เธอรีบวิ่งเข้าไปหาเย่เฟิงอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงหันไปมองซูเหมิงหานและกล่าวว่า “ขอโทษนะ ถอยออกไปก่อนได้ไหม ฉันจะรักษาแผลให้เขา”

………………………

แปลโดย Solar Spark