บทที่ 194 การต่อสู้

ทันทีที่เสียงของหลงโม่หรันดังขึ้นมา สีหน้าของทุกคนที่นี่ก็เปลี่ยนไปอย่างพร้อมเพรียงกัน

เย่เฟิงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะปรากฏตัวขึ้นมารวดเร็วขนาดนี้ ด้วยความสงสัย เขาหันไปมองหลินชื่อฉิงและในใจว่าถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนี้นำทหารหน่วย NSA มาคุมตัวเขา ชายหนุ่มก็คงไม่ต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่นานจนดึงดูดความสนใจของหลงโม่หรันและคนอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะได้ยินเสียงของหลงโม่หรัน แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด

สำหรับการเผชิญหน้ากับหลงโม่หรันอีกครั้ง เย่เฟิงได้คิดแผนเอาไว้รองรับแล้วโดยเฉพาะในตอนนี้ที่เขามีหลงหวางเอ๋ออยู่ข้างๆ ตราบใดที่พอมีโอกาสที่อีกฝ่ายจะลดการป้องกันลง หญิงสาวก็สามารถมอบการโจมตีอันแสนร้ายกาจให้แก่มันได้แน่นอน!

เย่เฟิงหันไปมองหลงหวางเอ๋อและคิดว่าหญิงสาวจะสามารถทำสิ่งนั้นในช่วงเวลาวิกฤตได้หรือไม่ เพราะอย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายก็เป็นพ่อบังเกิดเกล้าของเธอ……..

หลงหวางเอ๋อนั้นไม่ได้มีความมั่นใจในตัวเองมากเท่าเย่เฟิง ทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงของหลงโม่หรัน ความกังวลก็พลันปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าหญิงสาว

ตั้งแต่ยังเด็ก เธออยู่ภายใต้การควบคุมของหลงโม่หรันมาโดยตลอด ความกลัวที่มีต่อเขาจึงกัดกินเข้าไปลึกในหัวใจ ถึงแม้ตอนอยู่ที่หมู่บ้านชาวประมง หลงหวางเอ๋อจะกล้าต่อต้านพ่อของเธอ แต่นั่นก็เป็นเพราะสถานการณ์ชี้เป็นชี้ตายที่คิดว่าจะถูกหลงโม่หรันสังหารแน่นอน

ในตอนนี้ หญิงสาวตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้อีกครั้งกับเย่เฟิง นอกจากนี้ เธอยังกลายเป็นผู้ฝึกเซียนแล้ว ช่วงเวลาอันแสนสุขที่ได้อยู่กับเย่เฟิงตลอดมา ปลุกจิตวิญญาณความกล้าในตัวหญิงสาวขึ้นมา และเธอก็ไม่ต้องการกลับไปที่ตระกูลหลงอีกแล้ว

“รอโอกาสโจมตี!”

เย่เฟิงส่งสัญญาณด้วยการขยับมุมปาก หากมีวรยุทธ์ถึงระดับ 20 ปี เขาสามารถใช้ทักษะเพื่อลอบส่งเสียงด้วยเจินชี่ได้อย่างง่ายดาย แต่น่าเสียดายที่เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้ในตอนนี้

ในโลกยุทธภพนั้น หากผู้ฝึกยุทธ์คนใดมีระดับวรยุทธ์ที่สูงมากๆ พวกเขาก็จะสามารถลอบส่งเสียงด้วยพลังชี่ภายในได้ แต่มันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากอย่างยิ่งซึ่งแม้แตหลงโม่หรันก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ คนๆเดียวที่เย่เฟิงรู้ว่าสามารถใช้ทักษะนั้นได้มีเพียงเย่เวิ่นเทียนเท่านั้น

เมื่อหลงหวางเอ๋อเห็นสัญญาณที่เย่เฟิงส่งมาด้วยการขยับมุมปาก ถึงแม้จะลังเลเล็กน้อย แต่หญิงสาวก็พยักหน้าและวิ่งเข้ามายืนอยู่ชายหนุ่ม

ส่วนหนานฟางนั้นไม่จำเป็นต้องให้เย่เฟิงแนะนำอะไรเพราะเขาได้เคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบโดยเข้าไปหลบอยู่ใต้ท้องรถบรรทุกแล้ว

ถึงแม้เย่เฟิงจะเย่เฟิงจะไม่สามารถเพิ่มระดับวรยุทธ์ได้เร็ว แต่ใครเป็นคนบอก ว่าหากจะสังหารใครคนหนึ่ง จำเป็นต้องอาศัยแค่ความแข็งแกร่งของตัวเองและต่อสู้คนเดียวเท่านั้น?

ถ้าทั้งสามคนรวมมือกันลอบโจมตีใส่อีกฝ่าย พวกเขาก็มีโอกาสประสบความสำเร็จค่อนข้างสูง ทั้งยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้อีกด้วย

เพื่อจัดการกับศัตรูอันแสนร้ายกาจ พวกเขามีเพียงทางนี้ทางเดียวเท่านั้น!

ณ อีกด้านหนึ่ง เมื่อหลินชื่อฉิงได้ยินน้ำเสียงที่ดังก้องไปทั่ว เธอก็ไม่ได้รู้สึกโล่งใจและยังรู้สึกร้อนใจมากขึ้นอีกด้วย เพราะคนๆนั้นคือผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่เคยเป็นมิตรกับหน่วย NSA อย่าว่าแต่เธอที่เป็นผู้หญิงเลย ต่อให้ธันเดอร์มาอยู่ที่นี่ตอนนี้่ เขาก็ไม่อาจพูดอะไรได้มากนัก

หลินชื่อฉิงพลันคิดบางสิ่งขึ้นมาได้ เธอรีบอาศัยช่วยเวลาที่เย่เฟิงกำลังสนใจเรื่องอื่นนี้ วิ่งไปยังรถบรรทุกเพื่อตั้งใจจะดูแลเสี่ยวฉีและมองดูเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น

เย่เฟิงที่เห็นหญิงสาวเคลื่อนไหวก็ไม่ได้สนใจอะไร ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งไม่ได้ส่งผลใดๆต่อสถานการณ์ตอนนี้อยู่แล้ว และสิ่งสำคัญที่สุดคือเขาไม่มีเวลามาสนใจเธออีก

เย่เฟิงปลดปล่อยทักษะสัมผัสวิญญาณและพบว่ามีผู้ฝึกยุทธ์มากมายล้อมพวกเขาไว้ทุกทิศทุกทาง นอกจากนี้ เสี่ยวเยวี่ยที่เขาเพิ่งช่วยไว้ ยังซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้พร้อมกับจ้องมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

สำหรับชูชู เมื่อได้ยินน้ำเสียงของหลงโม่หรัน สีหน้าของเธอก็พลันเปลี่ยนไปและรีบหาที่หลบซ่อน ถึงแม้ว่าเธอจะเริ่มฝึกวรยุทธ์แล้ว แต่ด้วยที่อยู่กับตระกูลหลงมานานหลายปี จึงรู้ดีกว่าความสามารถที่มีตอนนี้ไม่อาจต่อกรกับผู้ฝึกยุทธ์คนใดได้เลย

ภายใต้แสงสว่างจากไฟหน้ารถบรรทุก เย่เฟิงและหลงหวางเอ๋อยืนอยู่ข้างกันอย่างมั่นคง ขณะที่เหล่าทหารของหน่วย NSA ยังคงนอนหมดสติอยู่บนพื้น ส่วนหลินชื่อฉิงนั้น หญิงสาวกำลังดูแลเสี่ยวฉีที่หมดสติเพราะปืนยาสลบในมือเธอ

ในช่วงที่สภาพอากาศเต็มไปด้วยพายุฝน ทุกๆสิ่งแลดูปั่นป่วนและดูวุ่นวาย แม้หลินชื่อฉิงและสาวสวยมากมายจะปรากฏตัวอยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่มีใครคนใดมีเวลาไปชื่นชมกับความงดงามของพวกเธอ

เมื่อเวลาผ่านไปเพียงครู่เดียว พื้นที่เปิดหน้ารถบรรทุกก็เต็มไปด้วยจำนวนคนมากมาย นอกจากนี้ยังเป็นคนของตระกูลหลงที่นำโดยหลงโม่หรัน แต่ก็มีเหล่าศิษย์จากสำนักต่างๆด้วยเช่นกัน

แต่การที่มีหลงโม่หรันอยู่ที่นี่ คนอื่นๆจึงไม่กล้าลงมือแต่อย่างใด

ไม่นานนัก หลงโม่หรันในชุดคลุมสีขาวพร้อมด้วยกระบี่คาดเอวก็ปรากฏตัวขึ้นมา เขาก้าวเดินออกมาจากกลุ่มฝูงชนด้วยแววตาเยียบเย็น จากนั้นจึงหยุดอยู่ต่อหน้าเย่เฟิงและหลงหวางเอ๋อ

ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ หลงโม่หรันจะถูกพายุพัดกระเด็นไป และได้รับบาดเจ็บสาหัสขณะที่อยู่ใต้ก้นทะเล แต่ในเวลานี้ แววตาที่เย่อหยิ่งมาพร้อมกับอารมณ์ที่เดือดดาล ชุดของเขามีรอยเลือดประดับอยู่บริเวณหน้าอกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันดูแทบจะไม่ต่างอะไรกับหลงโม่หรันในตอนต้นเลย

ทักษะสัมผัสวิญญาณของเย่เฟิงทำให้รู้ว่าบาดแผลฉกรรจ์ที่หน้าอกของฝ่ายตรงข้ามมีอาการดีขึ้นมากแล้ว นี่ทำให้เขาสรุปว่าทักษะการรักษาของเหล่าผู้ฝึกยุทธก็น่าทึ่งอยู่ไม่น้อย….

“โม่จิ่วเกอ วันนี้แกหนีไปไหนไม่ได้อีกแล้ว”

หลงโม่หรันหลี่ตามองมายังเย่เฟิงที่ยืนอยู่ต่อหน้าพร้อมกับสวมหน้ากากไว้ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกลียด

สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้หลงโม่หรันคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีก่อนที่ถ้ำภูเขาหลัวฝู ที่ที่เขาได้กวาดล้างตระกูลเย่ มันก็เหมือนกับวันนี้ หลงโม่หรันได้ปิดล้อมเย่หยุนเฟยเอาไว้ และในเวลานั้น ภรรยาของเขาก็ยืนอยู่ข้างกายอีกฝ่าย……

ด้วยอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด หลงโม่หรันไม่เพียงกุดหัวเย่หยุนเฟย แต่ยังสังหารภรรยาของเขาไปพร้อมกัน ความแค้นอันใหญ่หลวงนี้ต้องได้รับการชำระ!

ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน ชายสวมหน้ากากโม่จิ่วเกอได้พรากลูกสาวของเขาไป สิ่งที่แย่กว่านั้นคือลูกสาวของเขาได้เต็มใจที่จะไปอยู่กับอีกฝ่าย นี่ทำให้เลือดของหลงโม่หรันเดือดพล่านไปด้วยความเกรี้ยวกราดอีกครั้ง

แล้วเหตุใดสถานการณ์ในปัจจุบันถึงได้คล้ายคลึงกับสถานการณ์ในตอนนั้น?

แต่เพียงแค่ในเวลานี้ เป้าหมายของเขาถูกแทนที่ด้วยลูกสาวของตัวเอง

เอาละ ในเมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ หากในอดีตเขาได้กุดหัวเย่หยุนเฟยอย่างไร สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้ก็คือกุดหัวพวกมันทั้งคู่แบบเดียวกัน!

เมื่อหลงโม่หรันคิดได้เช่นนั้น เขาก็พลันดึงกระบี่ที่เอวออกมาชี้ไปยังเย่เฟิง!

ฉากสนุกกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว นอกเหนือจากทั้งสามคน คนที่เหลือเริ่มกระซิบกระซาบกันขณะที่ชี้นิ้วมายังเย่เฟิงและหลงหวางเอ๋อ

พวกเขาทั้งหมดรู้สึกเหมือนกันว่าในตอนนี้ หนุ่มสาวทั้งสองควรยอมจำนวนเสียแต่โดยดี เพราะความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่มีทางเทียบกับหลงโม่หรันได้เลย และหากขัดขืนไป สุดท้ายยอมถูกหลงโม่หรันสังหารในที่สุด

หลงชิงที่ยืนพิงต้นไม้อยู่ด้านหนึ่ง กำลังจ้องมองมายังใบหน้าอันงดงามและไร้เดียงสาของหลงหวางเอ๋อ จากนั้นก็ได้แค่ส่ายหัวอย่างจนใจ เขาเอ็นดูหลานสาวคนนี้อย่างมาก แต่ภายใต้สถานการณ์ในวันนี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจช่วยอะไรเธอได้

ส่วนหลงจื่อที่สวมชุดคลุมสีม่วงนั้น ยืนอยู่เงียบๆขณะจ้องมองมายังหน้ากากของเย่เฟิงด้วยแววตาที่ดูซับซ้อน ความจริงแล้ว เขาอยากจะดึงตัวชายสวมหน้ากากคนนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลหลง เพื่อทำให้ตระกูลของเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่หลังจากพยายามอธิบายสิ่งต่างๆแก่หลงโม่หรันที่หมู่บ้านชาวประมง เขาก็เข้าใจชัดเจนว่าไม่มีทางที่หลงโม่หรันจะยอมไว้ชีวิตชายหนุ่มคนนี้

เมื่อเห็นทุกคนต่างพากันกระซิบกระซาบ หลงหวางเอ๋อก็พลันรู้สึกกดดันและร้อนรนใจ

“ต่อให้ฉันต้องตาย ก็ไม่มีทางให้เธอได้รับแม้แต่รอยขีดข่วน!”

เย่เฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง จากนั้นจึงดึงร่างหญิงสาวมาไว้ด้านหลังของเขา

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น และจ้องมองไปยังหลงโม่หรันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ “เริ่มกันได้แล้ว!”

นี่คือคำประกาศก้องราวกับลูกระเบิดที่ก่อให้เกิดคลื่นความประหลาดใจแก่คนรอบๆ

ชายสวมหน้ากากถึงกลับกล้าเอ่ยท้าทายหลงโม่หรันตรงๆแบบนี้เลย? มันไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง!

ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แม้แต่หลินชื่อฉิงที่อยู่บนรถบรรทุก เมื่อได้ยินคำประกาศก้องนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปชั่วครู่ ชายคนนี้ถึงกลับกล้าเผชิญหน้ากับหลงโม่หรันจริงงั้นหรอ?

…………………….

แปลโดย Solar Spark