บทที่ 193 สถานการณ์เลวร้าย

พูดกันตามตรง เมื่อเย่เฟิงมองเห็นร่างของหลินชื่อฉิงและเสี่ยวฉี ชายหนุ่มก็รู้สึกตื่นตกใจและไม่เข้าใจว่าเหตุใดสองสาวแห่งเมืองเหยียนจิงถึงมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ได้

แต่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ถ้าคิดจะหยุดเขาล่ะก็ ชายหนุ่มก็มีเพียงสามพยางค์ที่จะมอบให้คือ ไม่มีทาง!

เย่เฟิงพร้อมด้วยหลงหวางเอ๋อที่อยู่ในสภาพล่องหนพุ่งตัวเข้าหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

ทหารหน่วย NSA อาวุธครบมือ 4 คน ยืนอยู่กับหญิงสาวทั้งสองเพื่อคอยคุ้มกัน และช่วยเหลือพวกเธอในปฏิบัติการพิเศษ น่าสนใจที่เป้าหมายของปฏิบัติการนี้ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากคุมตัวชายสวมหน้ากากกลับไป

เมื่อพวกเขามองเห็นหนานฟางและชูชูก็รีบสั่งให้จับกุมทันที เพราะในยามค่ำคืนของที่แห่งนี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อว่าทั้งสามคนเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาทั่วไป

ทหารสองคนถอยหลังกลับเพื่อคอยคุ้มกันหลินชื่อฉิงและเสี่ยวฉี ขณะที่อีกสองคนที่เหลือถืออาวุธไว้ในมือพร้อมกับเดินเข้ามาหากลุ่มของหนานฟางอย่างรอบคอบ

“มีอีกหนึ่งคนบนรถงั้นรึ?”

ในเวลานี้ เย่เฟิงปลดปล่อยทักษะสัมผัสวิญญาณและพบว่ามีทหารอีกคนหนึ่งบนรถบรรทุกที่ทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว เพราะเมื่อเป็นแบบนี้ อีกฝ่ายก็มีทหารแยกกันอยู่สามกลุ่ม ขณะที่พวกเขามีแค่สองคน มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะจัดการทหารเหล่านั้นทั้งหมดในทีเดียว

สำหรับทหารของ NSA นั้น เย่เฟิงไม่ต้องการจะสังหารพวกเขา มันไม่ใช่เพราะว่าเขากลัวจะเกิดปัญหาขึ้นในอนาคต แต่ในมุมมองของชายหนุ่มแล้ว ทหารเหล่านี้คือฮีโร่ของผู้คนที่ทุ่มเทชีวิตทั้งหมดเพื่อรับใช้ประเทศชาติ

แต่แน่นอนว่าสำหรับพวกหัวรุนแรงและไร้เหตุผลอย่างหลี่เฟิง การฆ่ามันสักร้อยครั้งก็ไม่ทำให้เขารู้สึกผิดใดๆ

เย่เฟิงหันหน้าไปมองหนานฟาง พวกเขาทั้งสามคงต้องร่วมมือกันอีกครั้งแล้ว

โดยปราศจากความลังเลขณะที่อยู่ในสภาพล่องหน เย่เฟิงวิ่งเข้ามาใกล้สองสาวและเริ่มจู่โจมใส่ทหารคุ้มกัน มือทั้งสองข้างที่ถือมีดไว้ ได้ใช้ท้ายมีดทุบเข้าใช้ทหารหน่วย NSA อย่างแรงทำให้พวกเขาหมดสติไปในทันที

เสียงครางในลำคอดึงดูดความสนใจของทหารอีกสองคน พวกเขาจึงรีบหันกลับมาและยกปืนในมือขึ้นเล็ง แต่ทันใดนั้น หลงหวางเอ๋อก็เคลื่อนไหว

ปัก! ปัก!

ด้วยที่หญิงสาวมีระดับวรยุทธ์สูงกว่าเย่เฟิง เธอสามารถทำให้ทหารทั้งสองหมดสติได้อย่างง่ายดาย

เมื่อเห็นสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างร้ายแรง ทหารคนสุดท้ายที่อยู่บนรถบรรทุกรีบส่งสัญญาณเพื่อขอกำลังเสริม แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร ร่างในชุดดำก็กระโดดเข้ามาจากที่แห่งหนใดก็ไม่รู้

ผู้ที่กระโดดเข้ามาก็คือหนานฟางนั่นเอง ชายหนุ่มได้สวมรองเท้าไฟฟ้าของหนีกู่ซือติงไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

ฉึก!

หน้าไม้ในมือได้ยิงเข้าใส่ฝ่ามือของทหารคนนั่นป้องกันไม่ให้เขาสามารถส่งข้อความขอกำลังเสริมได้ หลังจากนั้น หนานฟางจึงดึงร่างของอีกฝ่ายจากที่นั่งคนขับรถ ลงมาบนพื้นอย่างรุนแรง

เย่เฟิงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเต็มพิกัด เขาวิ่งเข้ามาและใช้ท้ายมีดทุบให้ทหารคนนี้หมดสติตามไปอีกคน

ทหารหน่วย NSA นั้นสวมชุดที่ค่อนข้างหนาพร้อมด้วยอุปกรณ์ชั้นเยี่ยม หนานฟางจึงไม่สามารถทำให้พวกเขาหมดสติได้ ดังนั้นนี่จึงเป็นหน้าที่ของเย่เฟิง

เรียบร้อยหมดแล้ว!

กระบวนการทั้งหมดทั้งมวลนี้เกิดขึ้นเพียงไม่ถึงหนึ่งวินาที ซึ่งไม่ว่าหลินชื่อฉิงหรือเสี่ยวฉีก็ไม่อาจตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทัน เมื่อคนขับรถสลบไปแล้ว ทั้งสองสาวจึงหันกลับมาและมองเห็นร่างของหนานฟางและเย่เฟิงยืนอยู่ตรงหน้า

“นั่นเขา!”

ภาพที่เห็นนี้ทำให้เสี่ยวฉีรู้สึกตื่นเต้น ดวงตากลมโตจับจ้องนิ่งอยู่ที่หน้ากากของเย่เฟิง พร้อมกับใบหน้าอันแสนน่ารักภายใต้เสื้อกันฝนที่แดงระเรื่อขึ้นมา

“หยุดอยู่ตรงนั้น!”

หลินชื่อฉิงเอ่ยขึ้นมาอย่างเอาเรื่อง “พวกคุณถึงขนาดกล้าทำร้ายทหารหน่วย NSA ……………”

หัวใจของหญิงสาวเต้นรัวด้วยความตกตะลึง ทหารที่ถูกฝึกมาแบบพิเศษของหน่วย NSA ทั้ง 5 คนถูกจัดการลงทั้งหมดภายในเสี้ยววินาที และพวกเขาก็ไม่มีโอกาสได้ตอนสนองใดๆเลยแม้แต่น้อย! ทำไมอีกฝ่ายถึงเข้ามาใกล้โดยที่พวกเธอไม่อาจรับรู้ได้ พวกเขาสามารถล่องหนได้หรือไง?

“เลิกพูดไร้สาระและบอกผมมาได้แล้ว พวกคุณมาที่นี่ทำไม?”

เย่เฟิงเอ่ยถามขัดจังหวะการพูดของหลินชื่อฉิง

“พวกเรามาหาคุณค่ะ”

เสี่ยวฉีกล่าวออกมาตามตรง

“เฮ้ เสี่ยวฉี พี่สาวหลิน พวกเราไม่ได้เจอกันนานแค่ไหนแล้วนะ?”

ในเวลานี้ หนานฟางที่ยืนพิงต้นไม้อยู่ เอ่ยทักทายเล่นๆด้วยน้ำเสียงที่คล้ายผู้หญิงแต่ก็ปนด้วยความโมโหเล็กน้อย “สำหรับเรื่องที่นี่ ผมขอแนะนำว่าทั้งสองคนอย่ามายุ่งด้วยเลยจะดีที่สุด มันเป็นเรื่องของโลกยุทธภพ และต่อให้หน่วย NSA จะมาเพื่อสำรวจที่นี่ แล้วทำไมทั้งสองคนถึงได้ตามมาด้วย?

จ้าวหมิงซือ?

หลินชื่อฉิงและเสี่ยวฉีผงะไปในทันทีเมื่อได้ยินน้ำเสียงนี้

ในสายตาของพวกเธอ หนานฟางคือชายท่าทางตุ้งติ้งที่เป็นเพื่อนสนิทของไซ่เชาหง แต่ในตอนนี้ ไม่เพียงเขาอยู่ด้วยกันกับชายสวมหน้ากาก เขายังกล้าลงมือกับทหารหน่วย NSA ด้วย!

นี่มันอุกอาจเกินไปแล้ว

หลังจากตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียด หลินชื่อฉิงรู้ว่าตระกูลหนานตอนนี้เหลืออยู่เพียงแค่สองคน คนแรกคือหนานฟางและอีกคนหนึ่งคือหนานเฟิงที่ได้เข้าร่วมกับสำนักหมัดเทพทวารา นั่นหมายความว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอคือหนานฟางอย่างแน่นอน

แม้หลัวเฟิงได้ตายไปแล้วแต่ข่าวเรื่องนี้ยังไม่ได้กระจายออกไป นอกจากนี้ หลินชื่อฉิงไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ เธอจึงไม่อาจรู้เรื่องนี้ได้ทันที

(หนานเฟิง กับ หลัวเฟิง คือคนๆเดียวกันนะครับ หลัวเฟิงเป็นชื่อที่เปลี่ยนตอนเข้าสำนักหมัดเทพทวารา)

“ดีเลยที่ทั้งสองคนอยู่ที่นี่”

หลินชื่อฉิงพลันใช้น้ำเสียงอ่อนลง เธอเริ่มเปลี่ยนมาใช้คำพูดเชิงเจรจาด้วยน้ำเสียงนุ่ม “ในตอนนี้ เผ่ยเขิงกรุ๊ปกำลังพยายามกดดันประเทศเรา ถ้าเป็นไปได้ ฉันหวังว่าพวกคุณทั้งคู่จะให้ความร่วมมือ……..”

“ขอโทษนะ พวกผมไม่มีเวลาหรอก”

เย่เฟิงรีบตอบปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา พร้อมกับรู้สึกขบขันเล็กน้อย “ทำไมบริษัทเล็กๆของอเมริกาถึงกล้าท้าทายประเทศที่ใหญ่โตแบบประเทศจีนได้ล่ะ? ผมไม่เชื่อเรื่องนี้หรอก”

เหตุผลที่เย่เฟิงไม่ทำให้หญิงสาวทั้งสองสลบไปพร้อมกับเหล่าทหารก็เพราะเขาต้องการรู้เป้าหมายของพวกเธอ ในเมื่อตอนนี้ได้รู้คำตอบแล้ว ก็ถึงเวลาจะจบเรื่องนี้ซะที แน่นอนว่าการทำให้แต่ละคนหมดสติอยู่กลางสายฝนแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ เขาจึงตัดสินใจว่าจะนำร่างทุกคนเข้าไปในรถบรรทุกหลังจากที่ทุกคนหมดสติแล้ว

เย่เฟิงพลันเคลื่อนที่เข้าไปหาสองสาว ด้วยหน้ากากที่สวมไว้ ทำให้เขาดูน่าหวาดกลัวไม่น้อย

“คุณคิดจะทำอะไร?”

การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของชายสวมหน้ากากทำให้หลินชื่อฉิงตื่นตระหนก ในสถานที่ไร้ซึ่งผู้คนแบบนี้ ถ้าชายคนนี้มีความคิดอกุศลล่ะก็ พวกเธอย่อมไม่มีทางขัดขืนได้เลย!

อย่างไรก็ตาม หลินชื่อฉิงไม่ได้ถอยหนี ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะเธอมาที่นี่ก็เพื่อคุมตัวชายสวมหน้ากาก และเขาคนนี้มีความสำคัญต่อประเทศมากๆ หญิงสาวใช้มือล้วงเข้าไปในเสื้อกันฝน และกำปืนยาสลบไว้แน่นเพื่อเตรียมใช้ยิงใส่ชายสวมหน้ากาก

แต่เสี่ยวฉีนั้นต่างออกไป หญิงสาวไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่ผิดปกติใดๆ เธอฉีกยิ้มและวิ่งเข้าไปหาเย่เฟิงพร้อมกับเอ่ยขึ้นมา “ฉันอยากเจอคุณมานานแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับเรื่อง……….”

เย่เฟิงมองหญิงสาวที่วิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข นี่ทำให้เขารู้สึกช่วยไม่ได้อยู่ในใจ สาวน้อยคนนี้ เธอไม่กลัวเขาเลยรึไงกันนะ?

“ไม่เป็นไรหรอก คุณไม่ต้องสุภาพเกินไปก็ได้”

ชายหนุ่มโบกมือเล็กน้อย จากนั้นจึงหันไปมองหลินชื่อฉิง “คุณไม่ต้องคิดจะทำอะไรที่ไร้สาระหรอก ปืนยาสลบมันไม่มีผลกับผม”

คำพูดเหล่านั้นทำให้หญิงสาวขวัญเสีย เธอได้ซ่อนปืนยาสลบไว้อย่างแนบเนียนในเสื้อกันฝนแล้ว แล้วอีกฝ่ายจะรู้ได้อย่างไร? นี่หมายความว่าเขาต้องหลอกเธอแน่นอน!

หลินชื่อฉิงไม่คิดอะไรอีก หญิงสาวดึงปืนยาสลบออกมาและยิงใส่ชายสวมหน้ากากทันที!

ปิ้ว!

เย่เฟิงพลันดึงร่างของเสี่ยวฉีที่ยืนอยู่ตรงหน้าเข้ามารับกระสุนยาสลบแทน เพราะไม่ว่าอย่างไร นี่ก็ไม่ใช่อาวุธสังหารอยู่แล้ว ชายหนุ่มจึงไม่คิดมากที่จะใช้เธอเป็นโล่ ทั้งวิธีนี้ยังช่วยให้เขาไม่ต้องออกแรงเพื่อทำให้หญิงสาวหมดสติด้วย

“นี่มัน……”

เสี่ยวฉีได้รับกระสุนยาสลบและหมดสติไปในทันที

เย่เฟิงรับร่างของหญิงสาวไว้ จากนั้นจึงอุ้มเธอไปยังรถบรรทุกเพื่อจะได้ไม่ต้องโดนพายุฝนจนเป็นไข้

“ถึงตาคุณแล้ว”

เย่เฟิงเงยหน้าขึ้นมองหลินชื่อฉิง หญิงสาวคนนี้เป็นเพียงคนธรรมดา แล้วทำไมเขาต้องเสียเวลากับเธอด้วย?

เมื่อเย่เฟิงกำลังจะเคลื่อนที่เข้าไปจัดการกับหลินชื่อฉิง ทันใดนั้น หลงหวางเอ๋อที่ยืนอยู่ข้างๆก็พลันรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ทำให้สีหน้าของเธอกลายเป็นขาวซีด

“แย่แล้ว นี่มันสายเกินไป”

หลงหวางเอ๋อกล่าวเสียงเบา ความจริงแล้วไม่ต้องให้หญิงสาวต้องร้องเตือน แม้แต่หนานฟางเองก็สามารถได้ยินเสียงฝีเท้ามากมายพร้อมด้วยน้ำเสียงของคนกลุ่มหนึ่งที่ดังมาจากโดยรอบ

ผู้ฝึกยุทธ์ที่ค่อยเฝ้าสังเกตอยู่ตามแนวชายหาด ในที่สุดพวกเขาก็พบความผิดปกติในหมู่บ้าน นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมทุกคนจึงได้ปิดล้อมพื้นที่นี้

“ล้อมพวกมันไว้!”

น้ำเสียงทุ้มลึกอันแสนคุ้นเคยดังก้องไปทั่วบริเวณ

หลงโม่หรัน!

……………………..

แปลโดย Solar Spark

Solar Spark: งานเข้าละ บอสมา