บทที่ 192 เผชิญหน้ากับการสกัดกั้น

เมื่อเย่เฟิงกัดใส่แขนของหวังเฉ่าตงได้ก็ลากร่างของมันลงไปในน้ำทันที

หวังเฉ่าตงแผดเสียงร้องตลอดทางเมื่อคิดได้ว่าฉลามตัวนี้กำลังพยายามลากเขาลงไปในแอ่งน้ำที่หนาวเย็น ความคิดนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหวาดกลัวและเต็มไปด้วยสิ้นหวัง

เขารู้สึกเสียใจอย่างเหลือแสนที่เลือกเข้ามาในสถานที่บัดซบเช่นนี้ แต่ตอนนี้มันสายไปแล้ว ชีวิตของเขาจบสิ้นแล้ว…….

สำหรับเย่เฟิง เขาคิดว่าการลากหวังเฉ่าคงลงมาในน้ำก็เพียงพอจะทำให้มันจมน้ำตาย อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มไม่คิดจะรอจนถึงลมหายใจเฮือกสุดท้ายของมัน แต่ทันใดนั้นเอง สิ่งที่น่าตกใจก็เกิดขึ้นเมื่อทักษะสัมผัสวิญญาณของเขาพบว่าเสี่ยวเยวี่ยได้กระโดดน้ำตามหวังเฉ่าตงลงมา

“ยัยผู้หญิงคนนี้คิดจะฆ่าตัวตายรึไง?”

ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เย่เฟิงคิดว่าในสภาพฝนฟ้าอากาศแบบนี้ เสี่ยวเยวี่ยยังกล้ากระโดดลงน้ำมาอีก เธอไม่กลัวจะถูกปลาฉลามลากไปกินหรือไง? หรือว่าหวังเฉ่าตงมีความสำคัญกับเธอมากเสียจนไม่อาจปล่อยให้มันตายได้?

ชายหนุ่มไม่คิดอะไรต่ออีกเพราะจากทักษะสัมผัสวิญญาณ เขาพลันรับรู้ได้ว่ามีคลื่นทะเลอันแสนรุนแรงที่ราวกับจะกลืนกินพวกเขาได้กำลังพุ่งเข้ามา อีกอย่างหลังจากคลื่นลูกนี้ น้ำทะเลที่ท่วมหมู่บ้านจะสูงขึ้นอีกหลายเซนติเมตร

ดังนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการที่เสี่ยวเยวี่ยกระโดดลงน้ำมาในตอนนี้ถือเป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ ถ้าเย่เฟิงเลือกจะเมินเฉยต่อผู้หญิงคนนี้ หญิงสาวก็คงถูกคลื่นทะเลซัดและตายโดยไม่เหลือศพไว้ให้ฝังแน่นอน

เสี่ยวเยวี่ยควรจะรู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ แม้แต่หลงโม่หรันยังไม่กล้าจะก้าวเท้าลงไปในทะเล แล้วนับประสาอะไรกับเธอ ยัยผู้หญิงนมโตไร้สมอง!

เจินชี่ในร่างเย่เฟิงพลันไหลเวียนและในเวลาถัดมา เขาใช้มือตัดเส้นเลือดแดงที่หัวใจของหวังเฉ่าตง จากนั้นจึงคลายมือเพื่อปล่อยร่างของมันให้ไหลไปตามคลื่นทะเล เจ้าหนุ่มเพลย์บอยคนนี้ไม่เพียงมีแต่ความคิดที่ชั่วร้ายในหัว มันยังชอบเล่นกับความรู้สึกของสาวน้อยไร้เดียงสามากมาย แต่ในที่สุด วาระสุดท้ายของมันก็มาถึง

ถ้าเขาสังหารมันและทิ้งศพลงทะเลแบบนี้ ใครจะไปรู้?

สุดท้ายความคิดแรกเริ่มของหวังเฉ่าตงก็เป็นจริง แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือกลับเป็นมันเสียเองที่ถูกสังหารและโยนทิ้งลงทะเล

เมื่อเย่เฟิงคลายวงแขนออก คลื่นทะเลอันแสนรุนแรงพุ่งเข้ามากระทบและพัดพาร่างหวังเฉ่าตงไป ในเวลาเดียวกัน คลื่นลูกนี้ก็พุ่งเข้ากระทบเย่เฟิงและเสี่ยวเยวี่ยเช่นกัน เย่เฟิงได้ใช้ทักษะเต่ามังกรกลั้นใจอย่างรวดเร็ว แต่เสี่ยวเยวี่ยไม่อาจใช้ทักษะแบบเขาได้

คลื่นทะเลอันมหึมาได้ปะทะกับร่างของหญิงสาวโดยที่เธอไม่มีเวลาจะตอบสนองได้ทัน

ภายใต้พายุในค่ำคืนอันมืดมิดแห่งนี้ แม้จะมีแสงสว่างจากฟ้าแลบอยู่บ่อยครั้ง แต่หญิงสาวก็มองเห็นคลื่นยักษ์เมื่อมันเข้ามาใกล้ถึงเธอแล้ว! ลืมเรื่องการค้นหาหวังเฉ่าตงไปได้เลย แค่เอาตัวรอดไปจากคลื่นทะเลลูกนี้ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้

แต่สิ่งที่น่าแปลกคือเสี่ยวเยวี่ยไม่รู้สึกเสียใจเท่าไหร่นัก เพราะหญิงสาวรู้ว่าหากไม่สามารถพาหวังเฉ่าตงกลับไปได้ และกลับไปเซี่ยงไฮ้เพียงลำพัง เธอก็จะถูกตระกูลหวังเหยียบย่ำและต้องจำใจกลับไปที่เหยียนจิง……

และนี่คือสิ่งที่หญิงสาวไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุด เธอมาที่เซี่ยงไฮ้เรียนต่อซึ่งหลังจากจบการศึกษาแล้ว เสี่ยวเยวี่ยก็ตัดสินใจจะอยู่ที่นั่นต่อเพราะไม่ต้องการกลับไปอยู่ในกรงของตระกูลเธออีก

เมื่อต้องปะทะเข้ากลับคลื่นยักษ์ เสี่ยวเยวี่ยไม่อาจยืนหยัดอยู่ได้อีก และไม่นาน ร่างของเธอก็ถูกพัดพาไปในน้ำที่เย็นเฉียบจนแสบกระดูก สติของหญิงสาวค่อยๆพร่ามัวลงไปเรื่อยๆแต่ในเวลานั้นเอง เธอก็รู้สึกว่าถูกใครบางคนดึงแขนไว้

“จับไว้”

เสียงทุ้มลึกของผู้ชายดังก้องอยู่ในหูของเสี่ยวเยวี่ย กระตุ้นสติของเธอให้กลับมาอีกครั้ง หญิงสาวพลันรู้สึกว่าถูกดึงร่างขึ้นมาบนชายฝั่ง

แน่นอนว่าไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เย่เฟิงที่ช่วยเหลือเธอไว้

เย่เฟิงได้สังหารหวังเฉ่าตงเพราะมันคิดจะฆ่าเขาก่อน แต่กับเสี่ยวเยวี่ยที่เป็นผู้บริสุทธิ์ เขาไม่ต้องการเห็นเธอตายไปแบบนี้

ในน้ำทะเลที่เย็นเฉียบ เย่เฟิงว่ายน้ำเข้าฝั่งพร้อมกับลากร่างของเสี่ยวเยวี่ยมาด้วย ขณะเดียวกัน เขาก็คอยหลบหลีกเศษน้ำแข็งมากมายที่พุ่งเข้ามาตลอดทาง ในที่สุด ทั้งคู่ฝ่าคลื่นทะเลมาถึงชายฝั่งจนได้

หลังจากนั้น คลื่นทะเลก็ได้ถอยกลับไป ทิ้งไว้เพียงร่างที่เปียกโชกทั้งสอง อย่างไรก็ตาม เย่เฟิงไม่รอช้าที่จะรีบกดร่างหญิงสาวเพื่อช่วยชีวิต

“แค่ก แค่ก……..”

เสี่ยวเยวี่ยตอนนี้อยู่ในสภาพเวียนหัวและไม่เข้าใจว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น แต่หญิงสาวก็รู้สึกได้รางๆว่ามีใครบางคนเข้ามาช่วยเธอไว้

นั่นเป็นเหตุว่าทำไมหน้าอกของเธอถึงถูกกดอย่างแรงและรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่ง

“กลับไปได้แล้ว อย่าสร้างปัญหาให้ผมอีก”

เย่เฟิงเอ่ยเสียงต่ำ จากนั้นจึงปลดปล่อยทักษะสัมผัสวิญญาณออกไปและพบว่าหลงหวางเอ๋อกำลังวิ่งเขามาหาเขา

“ทุกอย่างเรียบร้อยไหม?”

น้ำเสียงหวานใสของหลงหวางเอ๋อในยามค่ำคืนที่มืดมิดนี้ ฟังดูราวกับนางฟ้านางสวรรค์ อย่างน้อยสำหรับเสี่ยวเยวี่ย มันก็มากพอจะทำให้เธอรู้ว่าตัวเองยังคงมีชีวิตอยู่

“อืม เรียบร้อยแล้ว เราไปกันเถอะ”

เย่เฟิงเอ่ยตอบและเตรียมตัวจากไป……

“แค่ก แค่ก……หวัง…หวังเฉ่าตงล่ะ?”

เสี่ยวเยวี่ยค่อยลุกขึ้นยืนโดยใช้ต้นไม้คอยพยุง แม้จะอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างย่ำแย่ แต่หญิงสาวก็ยังเอ่ยถาม

“เขาถูกปลาฉลามลากไปแล้ว ผมขอโทษด้วยที่ช่วยเขาไว้ไม่ได้”

เย่เฟิงตอบกลับไป

ขณะเดียวกัน แสงสว่างอันเลือนรางจากระยะไกลที่ส่องสว่างเป็นช่วงๆ พลันเข้ามาปะทะกับหน้ากากที่เย่เฟิงสวมอยู่ ทำให้หญิงสาวเบิกตากว้าง

“คุณ!”

เสี่ยวเยวี่ยร้องออกมาเสียงดังเพราะหญิงสาวไม่คาดคิดเลยว่าชายสวมหน้ากากจะเป็นคนช่วยชีวิตเธอไว้ในสถานการณ์แบบนี้

“ถ้าคุณอยากจะกระโดดน้ำทะเลเพื่อฆ่าตัวตายอีกก็ตามใจ ผมจะช่วยคุณครั้งนี้แค่ครั้งเดียว ไม่มีครั้งหน้าอีก”

หลังจากกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส เขาก็ดึงแขนหลงหวางเอ๋อและเดินจากไป

“เดี๋ยวก่อน!”

เสี่ยวเยวี่ยยังจำได้ว่าเธอมาที่นี่กับหวังเฉ่าตงก็เพื่อตามหาชายสวมหน้ากาก แต่ตอนนี้ ถึงแม้จะพบตัวชายสวมหน้ากาก แต่หวังเฉ่าตงก็ได้จากไปแล้ว…….

เธอไม่ใช่คนโง่และสามารถเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ได้อย่างรวดเร็ว การลงไปในทะเลตอนนี้ก็ไม่ต่างจากการฆ่าตัวตาย หญิงสาวจึงทำได้เพียงทิ้งความคิดที่จะค้นหาหวังเฉ่าตงไป

เสี่ยวเยวี่ยอยากหยุดทั้งสองคนไว้ แต่ด้วยที่ไม่มีไฟฉายอยู่ในมือ หญิงสาวจึงมองไม่เห็นแม้แต่เงาของพวกเขา ดูเหมือนว่าจะมีเธออยู่แค่คนเดียวในป่าของหมู่บ้านแห่งนี้เสียแล้ว

ในที่สุดตอนนี้ เสี่ยวเยวี่ยก็ได้เข้าใจบ้างแล้วว่าการที่เสี่ยวฉีถูกชายสวมหน้ากากช่วยชีวิตไว้ถึงสองครั้ง ทำให้รู้สึกอย่างไร

แล้วตอนนี้จะอะไรต่อ?

เสี่ยวเยวี่ยรู้ดีว่าเธอควรกลับไป แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าแผนการทั้งหมดล้มเหลวงั้นหรอ? เพราะทีแรกเธอตั้งใจว่าจะขุดตัวตนของชายสวมหน้ากากออกมา และเตือนเขาให้รู้ไว้ว่าอย่ามายุ่งกับเสี่ยวฉี น้องสาวของเธออีก

ตอนนี้ หญิงสาวกลับรู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไร้สาระสิ้นดี

ชายสวมหน้ากากได้ช่วยเสี่ยวฉีไว้ถึงสองครั้งโดยไม่มีจุดประสงค์แอบแฝง แต่กลับเป็นน้องของเธอเองที่หลงใหลในตัวเขา ในตอนนี้ เธอควรกลับไปบอกเสี่ยวฉีว่าชายสวมหน้ากากนั้นไม่ได้เป็นของใคร

เดิมที เธอคิดว่าชายสวมหน้ากากคนนี้ต้องการจะจับปลาสองมือ………

แต่ตอนนี้เธอกลับถูกเขาช่วยชีวิตไว้ เสี่ยวเยวี่ยเข้าใจชัดเจนว่าอีกฝ่ายไม่ได้ช่วยเธอเพราะมีความรู้สึกอะไรเป็นพิเศษ นอกจากนี้ เธอยังไม่รู้ว่าชายสวมหน้ากากคนนี้มีความสัมพันธ์อย่างไรกับเย่เฟิงจากเมืองเหยียนจิง

เสี่ยวเยวี่ยครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงหันตัวและเริ่มเดินกลับไปอย่างเร่งรีบ แต่เมื่อหญิงสาวเพิ่งจะเดินไปได้เพียงครึ่งก้าว เธอก็พลันได้ยินเสียงเอะอะของผู้คนกลุ่มหนึ่ง

………

“คนที่อยู่ตรงนั้น หยุดเดี๋ยวนี้!”

เสียงของชายคนหนึ่งดังผ่านเครื่องกระจายเสียงด้วยท่าทีคุกคาม “ค้นหาบุคคลที่น่าสงสัยและพากลับไปด้วย!”

บนยอดเขาพลันปรากฏเงาของกลุ่มคนมากมาย นอกจากนี้ ด้วยแสงไฟของยานพาหนะจึงสามารถมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน พวกเขาคือหลินชื่อฉิงและเสี่ยวฉีที่มาพร้อมกับทหารหน่วย NSA จำนวน 4 คน

แต่ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน และหนึ่งในนั้นคือชายชุดดำที่แบกร่างของเด็กหนุ่มที่หมดสติไว้ ส่วนอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆคือหญิงสาวที่งดงามแบบผู้ใหญ่

พวกเขาคือ หนานฟาง ชูชู และเด็กหนุ่มจากวังไท่จี๋

เมื่อเย่เฟิงออกไปจัดการกับหวังเฉ่าตง เขาได้ให้คนที่เหลือออกจากหมู่บ้านไปอย่างเงียบๆ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าในระหว่างทาง พวกเขาจะพบกับการขัดขวางของหน่วย NSA เข้าซะได้

หนานฟางหยุดเดิน จากนั้นจึงหันมองไปรอบๆเพื่อประเมิณสถานการณ์ในตอนนี้

ดูเหมือนสถานการณ์จะไม่ดีเท่าไหร่ พวกหน่วย NSA คงไม่มาหาพวกเขาเพื่อชวนนั่งจิบน้ำชากันหรอกจริงไหม? ความจริงแล้วเขาไม่กังวลเลยหากต้องเผชิญหน้ากับพวกผู้ฝึกยุทธ์คนอื่น แต่หากต้องตกอยู่ในมือของหน่วย NSA นี้คงมีจุดจบที่ไม่สวย….

“ใช้ทักษะล่องหนและลงมือพร้อมกัน”

ในเวลานี้ เย่เฟิงกระซิบเสียงเบาข้างหูหลงหวางเอ๋อ และจากนั้น ร่างของทั้งคู่ก็อยู่ในสภาพล่องหนอย่างสมบูรณ์

เดิมที พวกเขาตั้งใจจะเตรียมตัวดำลงไปที่ก้นทะเล แต่ทักษะสัมผัสวิญญาณก็พลันรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ตอนนี้ เย่เฟิงและหลงหวางเอ๋อจึงกลับมาที่นี่เพื่อช่วยหนานฟางจัดการกับพวกคนของหน่วย NSA

ร่างล่องหนของทั้งคู่ดูราวกับภูติผีวิญญาณ พวกเขามุ่งหน้าไปยังรถบรรทุกของหน่วย NSA อย่างรวดเร็ว!

………………………..

แปลโดย Solar Spark