บทที่ 173: ขี้เถ้า (4)

 

 

 

คนที่เหลือจากไปหมด เหลือเพียงแค่สองคนเท่านั้น

‘เอคิดูกับคาร์ฮาล แค่สองคนงั้นเหรอ’

ฮันซูผงกศีรษะขณะที่เขามองไปยังทั้งสองคนที่สมัครใจรั้งอยู่เบื้องหลัง

เขาจะพาสองคนนี้ฝ่าผ่านถนนสีเขียวไป

ไปยังหยกทำลายล้าง

และพวกเขาจะต้องสร้างโอกาสให้พวกชาวบ้านเหล่านั้นที่หลบซ่อนอยู่และเฝ้ารอโอกาสนั้น

แม้ว่าจะมีคนเพียงแค่สองคน มันก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ

ในเมื่อเข้าไม่ได้ต้องการคนจำนวนมากมายหรืออะไรแบบนั้น

ไม่สิ มันจะยิ่งเตะตาถ้ามีคำคนจำนวนมากขนาดนั้น

มันจะดีกว่าในการมียอดฝีมือกลุ่มเล็กๆ

และเอคิดูและคาร์ฮาลก็มีคุณสมบัติอย่างชัดเจน

เอคิดูมีพวกมันอย่างเห็นได้ชัด ส่วนลำแสงห้าเท่าของคาร์ฮาลเองก็ทรงพลังมากพอในการจะฆ่าเขาถ้าเขาถูกมันโจมตีเข้าเต็มๆ

‘แม้ว่าจะผ่านการกลายพันธุ์แล้วก็ตาม’

คาร์ฮาลบ่นขณะที่มองไปยังฮันซู

“งั้นไม่ใช่ว่าเรากำลังทำงานที่อันตรายที่สุดเหรอ?”

“ใช่ เราทำ”

ฮันซูผงกศีรษะ

ในเมื่อความเสี่ยงที่พวกเขาต้องแบกรับนั้นมากกว่าพวกที่ไปยังหมู่บ้านมาก

“งั้นนายไม่ต้องการรูนมากกว่านี้เหรอ? เอาไปแค่นั้นจะไม่เป็นอะไรเหรอ?”

คาร์ฮาลแสดงสีหน้าหดหู่ออกมาในขณะที่คิดถึงรูนและอาร์คิแฟคที่พวกเขามอบให้กับพวกที่จากไป

รูนและอุปกรณ์ที่หล่นลงมาหลังจากที่ฆ่าพวกคนทรยศไป

และอาวุธที่ถูกซ่อนอยู่ในคลังแสงของหมู่บ้าน

ทำไมฮันซูถึงได้แบ่งของพวกนั้นออกอย่างเท่าเทียมกันทั้งหมด?

แน่นอนว่าฮันซู เอคิดู และคาร์ฮาลเองก็ได้รับรูนและอาร์ติแฟคเช่นกัน

ปัญหาคือมันยุติธรรม

ตามที่พวกเขามีส่วนร่วม

แน่นอนว่าฮันซูได้รูนไปจำนวนมากที่สุดเพราะเขาทำงานส่วนมากไป แต่มันก็ยังเป็นจำนวนที่น้อยอยู่ดี

มันไม่ได้มีรูนมากมายขนาดนั้นที่ดรอปจากการฆ่าคนอยู่แล้ว ทั้งมันยังมีคนจำนวนมากที่สู้กับคนพวกนั้น

‘หืม… ตอนนี้เขาคงมีราวๆ 50% ล่ะมั้ง?’

รูนของฮันซูที่ควรจะอยู่ที่ราวๆ 10% ตอนนี้น่าจะขึ้นไปที่ราวๆ 50%

แต่คาร์ฮาลรู้สึกหดหู่จากเรื่องนี้

ในเมื่อยิ่งคนที่จะไปกับเขาแข็งแกร่งเท่าใด มันก็ยิ่งดีเท่านั้น

‘มันจะช่วยได้มากถ้าเขาเอาทุกอย่างไป’

คารฮาลแสดงสีหน้าบูดบึ้งและบ่นออกมา

แม้ว่าฮันซูจะบอกว่าเขาจะเอาทุกอย่างไป ยังไงก็ไม่มีใครคัดค้านอยู่แล้ว

แต่ฮันซูส่ายศีรษะ

“ความแข็งแกร่งจำเป็นสำหรับพวกที่ไป”

คนอื่นๆ ไม่ได้ปฏิบัติกับพวกผู้อพยพดีเท่าไหร่อยู่แล้ว

และถ้าเป็นคนที่มาจากหมู่บ้านอื่นๆ พวกเขาก็จะยิ่งรู้สึกกดดัน

ถ้าพวกเขาอ่อนแอในสถานการณ์แบบนั้นเช่นกัน งั้นพวกเขาจะทำอะไรได้?

พวกเขาคงจะยุ่งอยู่กับการเอาชีวิตรอด

รูนเป็นเรื่องรอง แต่มันมีความจำเป็นให้พวกเขาได้รับอาร์ติแฟคที่ทรงพลัง

และในความเป็นจริง อาร์ติแฟคของพวกการ์ด นักล่า และชาวนาได้ดีดสูงกว่ามาตรฐานไปสองหรือสามขั้น

ในเมื่ออาร์ติแฟคของพวกคนทรยศเองก็แข็งแกร่งพอๆ กับตัวพวกเขา

ไม่มีอะไรให้พูดถึงมากเกี่ยวกับอาวุธที่อยู่ในคลังแสงเช่นกัน

และด้วยรูน พวกเขาจะไม่มีปัญหามากในการทำตัวกลมกลืนกับหมู่บ้าน

“อึก ถ้านายเอารูนไปสักครึ่งหนึ่งแล้วแบ่งที่เหลือให้คนอื่นๆ มันจะไปต่างอะไรกันสำหรับพวกนั้น?”

ฮันซูผงกศีรษะเมื่อได้ยินคำพูดของคาร์ฮาล

การโจมตีครั้งที่สองคือครั้งที่สำคัญที่สุด

‘ฉันไม่สามารถทิ้งประกายแห่งปัญหาเอาไว้เบื้องหลังได้’

มันไม่ใช่ปัญหาในสัดส่วนการแบ่งของ แต่เป็นความสำคัญของการเรียงลำดับ

ฮันซูเติมเต็มรูนของเขาก่อนจะแบ่งที่เหลือให้คนอื่นๆ

หรือแบ่งมันอย่างยุติธรรมตั้งแต่แรก

มันมีความแตกต่างมหาศาลระหว่างทั้งสองอย่าง

มันมีเหตุผลที่ทำให้จ่าฝูงกินเป็นตัวสุดท้าย

‘เรื่องแบบนั้นจะติดอยู่ในใจของพวกเขาและกลายเป็นมะเร็ง’

เหตุผลที่ทำให้เขื่อนพังลงไม่ใช่เพราะหินก้อนยักษ์หรือแรงของกระแสน้ำ

มันก็แค่รอยแตกเล็กๆ ที่ปรากฏขึ้นบนเขื่อน

ทั้งหมดเป็นเพราะรอยแตกนี้

และเมื่อรอยแตกนี้ใหญ่ขึ้น เขื่อนก็พัง

เมื่อผู้คนจากไป พวกเขาจะนึกถึงเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ ในระหว่างที่พวกเขาอดทนต่อสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายในหมู่บ้าน

การปฏิบัติอันไม่ยุติธรรมที่พวกเขาได้รับก่อนที่พวกเขาจะจากไป

ขึ้นอยู่กับการที่พวกเขาจะสามารถหลอกพวกคนทรยศได้มากแค่ไหนด้วยการหลบซ่อนอยู่ในหมู่บ้าน ผู้คนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเหล่านั้นอาจจะกลายเป็นมิตรหรือศัตรูในระหว่างที่พวกเขาเริ่มการต่อสู้กับพวกเผ่าพันธุ์ชั้นสูง

ในเมื่อคนทรยศมีอำนาจมากในหมู่บ้านเหล่านั้น

ดูอย่างคาริม ไม่มีใครสงสัยว่าเขาเป็นผู้ที่คอยควบคุมหมู่บ้านอยู่

ถ้าชาวบ้านเหล่านั้นที่เดินทางไปพร้อมกับบางอย่างที่ติดค้างอยู่ในใจ งั้นมนุษย์ที่ควรจะกลายมาเป็นมิตรก็อาจจะกลายเป็นศัตรูแทนในสงครามต่อต้านเผ่าพันธุ์ชั้นสูง

นี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาต้องปฏิบัติต่อพวกที่จากไปอย่างดี

ฮันซูไม่ต้องการจะเสี่ยงกับเรื่องแบบนั้นเพียงเพื่อรูน 50% ของเขา

‘ฉันยังหารูนได้อีกหลังจากนี้’

มันมีโอกาสอีกมากมายในระหว่างทางสู่ถนนสีเขียว

แต่คาร์ฮาลยังคงแสดงสีหน้าบึ้งตึงต่อไปราวกับว่ามันมีบางอย่างติดค้างอยู่ในใจของเขาขณะที่เขาเอ่ยออกมา

“… มีเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งที่ยังไม่ได้แก้ นายจะทำยังไงกับป้อมปราการดาวเทียม?”

เอคิดูผงกศีรษะให้กับคำพูดของคาร์ฮาล

ในเมื่อมันคือปัญหาที่สำคัญอย่างมากอย่างชัดเจน และเป็นปัญหาที่ต้องแก้

และจะยังไง พวกเธอก็ไม่รู้ว่าหยกทำลายล้างถูกซ่อนเอาไว้ที่ไหน

พวกเขาจะต้องทะลวงฝ่ากองกำลังของคลีเมนไทล์ไปเพื่อค้นหาร่องรอย

แต่การปะทะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มันจะเป็นสิ่งที่เตะตาอย่างแน่นอน

พวกเธออาจจะพอทำอะไรได้ถ้ามันเป็นมนุษย์ แต่ป้อมปราการดาวเทียมดูจะเกินไปซะหน่อย

การโจมตีของแสงที่ปรากฏขึ้นจากด้านบนแค่ครั้งเดียว ทุกอย่างก็จะจบลง

“นายคงไม่คิดใช่ไหมว่ามันจะไม่ใช้เวลานานขนาดนั้น”

นี่เป็นแผนการที่เต็มไปด้วยช่องโหว่ไม่ว่าจะมองยังไงก็ตาม

พวกเขาจะกระทั่งคิดได้ยังไงว่าพวกเขาจะไม่ถูกจับในดินแดนของศัตรู?

ฮันซูส่ายศีรษะเมื่อได้ยินคำพูดของคาร์ฮาล

“อย่ากังวลเลย ฉันจะทำให้พวกนั้นไม่แม้แต่จะสนใจเรา”

“ยังไง?”

ฮันซูชี้ไปยังป้อมปราการดาวเทียมที่ลอยอยู่ด้านบน อัททิลลาน

คาร์ฮาลแสดงสีหน้าไม่สบายใจออกมาขณะที่มองไปยังฮันซู

“เฮ้… นายคงไม่คิดจะเล่นเกม 1945 arcade ตอนที่นั่งอยู่บนไอ้นั่นใช่ไหม?”

สู้กับป้อมปราการดาวเทียมนับสิบด้วยป้อมปราการดาวเทียมป้อมเดียวเนี่ยนะ?

ไม่ว่าฮันซูจะเก่งกาจแค่ไหน มันก็ดูจะฝืนเกินไป

“ฉันไม่รู้ว่ามันคือเกมอะไร แต่มันไม่ใช่แบบนั้น”

ฮันซูไม่ได้ยึดครองอัททิลานเพื่อที่จะทำอะไรกับมันอยู่แล้ว

แต่เขาจะไปเอามันมาโดยไร้เหตุผลหรือ?

ตอนนี้คือเวลาที่จะใช้มันแล้ว

“ฉันจะไปโรงเก็บมานาคริสตัล”

“… อะไรนะ?”

คาร์ฮาลและเอคิดูรู้ว่าอะไรคือโรงเก็บมานาคริสตัลอย่างน่าประหลาดใจ

ในเมื่อมันถูกกาเอาไว้อย่างชัดเจนบนแผนที่ของดาคิดัส

กาเอาไว้ว่าเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกพิเศษทางการทหาร

“บ้าอะ… นี่นายจะไปฆ่าตัวตายรึไง?”

ฮันซูส่ายศีรษะกับคำพูดของคาร์ฮาล

‘ฉันต้องจัดการกับพวกผู้คุมสอบไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม’

 

 

 

ครืนนนน

ฝั่งหนึ่งของป่าใหญ่

สิ่งก่อสร้างใหญ่โตที่ดูเหมือนโรงงานที่สูงมากกว่าหนึ่งกิโลเมตรได้ตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่

มันถูกตั้งอยู่ในที่ที่ค่อนข้างจะชนบทห่างไกลจากเมืองที่อารูคอนอาศัยอยู่ แต่มันไม่ได้ถูกตั้งแยกออกมาเช่นนี้เพราะความมันไม่มีความสำคัญ

โรงกลั่นและกักเก็บมานาคริสตัล

บางทีมันอาจจะเป็นหนึ่งในสามตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในการรักษาเผ่าพันธุ์เอาไว้

เชื้อเพลิงจำนวนมหาศาล มานาคริสตัล เป็นสิ่งจำเป็นในการใช้งานอัททิลลาน

และมานาคริสตัลเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากสำหรับสามเผ่าพันธุ์เช่นกัน

ในเมื่อเหตุผลที่ทำให้พวกเขาต่อสู้กันเองก็เพราะพยายามจะครอบครองมานาคริสตัลนี้ให้ได้มากขึ้นอีกนิดจากบรรดาปริมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด เพื่อที่พวกมันจะสามารถรักษาอารยะธรรมของพวกมันเอาไว้ได้

มานาคริสตัลมาจากบ่อน้ำที่ปรากฏอยู่ในเมืองหลวงของแต่ล่ะเผ่า <กรังดาร์> และถูกส่งไปยังสนามรบทั้งหมด

เมืองหลวงต้องถูกปกป้องเป็นเรื่องแน่นอน แต่โรงกลั่นและกักเก็บมานาคริสตัลทั้งสี่เองก็ต้องถูกป้องกันอย่างหนาแน่นเช่นกัน

และป้อมปราการดาวเทียมนับสิบที่คอยตรวจตราอยู่ที่อาณาเขตของพวกเขาก็ได้รับมานาคริสตัลจากโรงกลั่นและกักเก็บมานาคริสตัลเหล่านี้ขณะที่พวกเขาคอยเฝ้าระวังเผ่าพันธุ์อื่นอย่างต่อเนื่อง

และโรงกลั่นและกักเก็บมานาคริสตัลก็สำคัญที่สุดในบรรดาทั้งสี่โรง

มันเป็นสิ่งก่อสร้างที่สำคัญมากที่คอยเติมเต็มป้อมปราการดาวเทียมที่รับผิดชอบพื้นที่ที่ติดอยู่กับอาณาเขตของอาคาลาเชียและรีบีลูง

แน่นอนว่าผู้ที่คอยป้องกันสถานที่แห่งนี้จำเป็นต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน

และหนึ่งในผู้ปกป้องเหล่านั้น ออร์ทาเนียน มองไปยังป้อมปราการดาวเทียมที่อยู่ห่างออกไปก่อนจะเริ่มขมวดคิ้ว

‘กับการที่ไอ้นกกับหนูเวรนั่นมา’

ป้อมปราการดาวเทียมที่เขามองเห็นไม่ใช่ของอารูคอน

มันตรงกันข้าม

มันคือป้อมปราการดาวเทียมของพวกที่ต้องการทรัพยากรของพวกเขา รีบีลูงและอาคาลาเชีย

แม้ว่าป้อมปราการดาวเทียมสี่ป้อมจะคอยป้องกันมันอยู่ มันก็ไม่มีเวลาให้พัก

ไม่สิ การที่ป้อมปราการดาวเทียมสี่ป้อมได้ถูกส่งมายังตำแหน่งนี้ในบรรดาชายแดนอันกว้างใหญ่ก็อธิบายถึงความสำคัญและอันตรายของสถานที่แห่งนี้แล้ว

‘เวรเอ้ย… มันจะดีกว่าถ้าถูกเลือกเป็นผู้เก็บเกี่ยว หรือแม้แต่ผู้เฝ้ามอง’

กัปตันของป้อมปราการดาวเทียม อัททิลาน

ในบรรดาอารูคอนนับหมื่น มันมีตำแหน่งอันทรงเกียรติที่มีเพียงแค่ไม่กี่สิบตัวเท่านั้นที่จะไต่มาถึง

ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถครอบครองตำแหน่งเหล่านี้และสามารถครอบครองเกียรติยศและอำนาจมหาศาลเหล่านี้ได้

ตำแหน่งที่อารูคอนที่ตัวต้องการ

แต่แน่นอนว่ามันมีความแตกต่างว่าแต่ล่ะตัวต้องไปที่ไหน และไม่ใช่ว่ากัปตันของอัททิลลานเหมือนกันทั้งหมด

ตำแหน่งที่ทุกคนใฝ่ฝันถึงมากที่สุดคือผู้เก็บเกี่ยว

มันยอดเยี่ยม

มันยอดเยี่ยมเกินไป

ในเมื่อพวกนั้นไม่ต้องทำอะไรเลย

พวกเขาก็แค่ต้องวนไปตามปศุสัตว์ กินขนมอย่างที่ต้องการ และกระทั่งเฝ้ามองเกมอันน่าสนุกที่เกิดขึ้นในฟาร์ม

ตำแหน่งในฝันที่อารูคอนทุกตัวต้องการ

และตำแหน่งนี้ได้ถูกดาคิดัสเอาไป

‘ไอ้เวรเอ้ย’

เขาพลันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเมื่อนึกถึงเสียงหัวเราะของดาคิดัสที่ราวกับว่าเขาได้ครอบครองทุกอย่างในโลกใบนี้หลังจากที่ถูกเลือกเป็นผู้เก็บเกี่ยว

‘ฉันหวังว่ามันจะพิการ’

แน่นอนว่าเขารู้ว่ามันไม่มีทางจะเกิดขึ้น

กับการที่ถูกสัตว์เลี้ยงทำร้าย

กัปตันของป้อมปราการดาวเทียมเนี่ยนะ?

ถ้าหาเสียหน้ามากขนาดนั้น งั้นคนคนนั้นก็คงถูกทั้งเผ่าแบน

ที่ดีรองลงมาคือผู้เฝ้ามอง

มันไม่ได้ดีเท่าผู้เก็บเกี่ยว แต่มันก็ยังดี

ในเมื่อสิ่งเดียวที่พวกเขาทำคือการเฝ้ามองถนนสีเขียว

ค้นหาหยกทำลายล้างก็เป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่ แต่พวกเขายอมแพ้เรื่องนั้นนานแล้ว

ในเมื่อมนุษย์อาจจะใช้มันในทันทีที่พวกเขารับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวผิดปกติของเผ่าพันธุ์ชั้นสูง

อย่างน้อยถนนสีเขียวก็อยู่ในดินแดนของพวกเขา

มันไม่ได้ง่ายในการที่จะทำตามอำเภอใจในส่วนนั้นที่มีสัตว์เลี้ยงที่ค่อนข้างแข็งแกร่งอยู่

และความจริงแล้วมันคือสิ่งที่ทำให้มันเป็นที่ชื่นชอบยิ่งขึ้นไปอีก

ในเมื่อมันไม่มีอะไรให้ทำมาก

มันค่อนข้างน่ารำคาญนิดหน่อยกับการที่พวกเขาต้องรับมือกับลูกน้องของคลีเมนไทล์และหัวหน้าของคนเหล่านั้น เมทิออน แต่มันก็ยังสบายมากอยู่ดี

และเมรุตได้ตำแหน่งนี้ไป

เจ้าหมอนั่นอาจจะกำลังวนไปมารอบๆ ถนนสีเขียวห่างออกไปเช่นกัน

ในเมื่อมันไม่ได้ไกลจากที่นี่มากขนาดนั้น

‘เวรเอ้ย ผู้เก็บเกี่ยวกับผู้เฝ้ามอง… พวกนั้นควรจะถูกยกเลิกได้แล้ว’

น่าเศร้าที่มันมีเพียงตำแหน่งเดียวสำหรับตำแหน่งเหล่านั้น

ดังนั้นแน่นอนว่าคนที่เหลือจึงกลายไปเป็นผู้ป้องกัน

พวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งป้องกันอันเป็นที่ชื่นชอบน้อยที่สุดในชายแดนที่ห่างไกลจากเมืองหลวงมากที่สุด

มันไม่มีเวลาให้พักเช่นกัน

ป้อมปราการดาวเทียมต้องผลัดกันไปเติมมานาคริสตัล

ในเมื่อพวกเขาไม่รู้ว่าศัตรูจะทำอะไรทันทีที่มีช่องว่างเกิดขึ้น

แม้ว่ามันจะไม่มีอารูคอนนักรบแม้แต่ตัวเดียวในป้อมปราการดาวเทียมของผู้เก็บเกี่ยวหรือผู้เฝ้ามอง มันก็มีอารูคอนนับสิบถึงร้อยอยู่ในป้อมปราการดาวเทียมของผู้ป้องกัน

เผื่อว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น

และมันก็เหมือนกับสำหรับศัตรู

ซึ่งหมายความว่าสถานการณ์ที่นี่มันตึงเครียดขนาดนั้น

‘ครืนนนน’

ตูมมมม

ออร์ทาเนียนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงดังจากด้านล่าง

ซึ่งหมายความว่าการเติมพลังงานของมานาคริสตัลสำหรับป้อมปราการดาวเทียมจากโรงกลั่นและกักเก็บมานาคริสตัลเกือบจะเสร็จสิ้นแล้ว

ตอนนี้คือเวลาที่จะต้องกลับไปยังสนามรบ

‘เมรุต ฉันควรจะไปดูหน่อยไหมว่าเขาทำอะไรอยู่?’

มันคงจะค่อนข้างน่าเบื่อจนกว่าเขาจะกลับมา

แต่มันมีเรื่องดีเกี่ยวกับการอยู่ในพื้นที่ที่อาจจะเกิดการปะทะได้ตลอดเวลา

เพราะว่ามันมีป้อมปราการดาวเทียมจำนวนมากรวมตัวกัน เขาจึงสามารถเห็นได้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นด้วยป้อมปราการดาวเทียมอื่นๆ

กิ้งงงง

ระบบตรวจจับของป้อมปราการดาวเทียมแจ้งเตือนขึ้น เขาเริ่มที่จะขยายไปยังป้อมปราการดาวเทียมของผู้เฝ้ามอง เมรุต

‘โฮ่? นั่นคือฟุตบอลที่พวกมนุษย์นั่นเล่นเหรอ?’

ตูมมมมม!

ตูมมมม!

เมรุตนั่นกำลังเตะบางอย่างไปในโกลที่ส่วนหนึ่งของป้อมปราการดาวเทียม

แต่หากมนุษย์เห็นภาพนั้น พวกเขาย่อมคิดว่าอารูคอนเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง

ฟุตบอลไม่ใช่อะไรที่จะเล่นด้วยตัวคนเดียว และมันไม่ใช่แค่การเตะลูกบอลเข้าไปในโกล

และพวกเขาไม่เคย ไม่ว่าจะในสถานการณ์แบบไหน ใช้มนุษย์มาแทนที่ลูกบอล

คนคนหนึ่งที่ถูกตัดแขนขาออก

ตูมมมม!

<อ๊ากกกก!>

<โอ้ยยยย!>

เสียงกรีดร้องและตะโกนขึ้นขึ้นมาจากปากของสัตว์เลี้ยงที่แขนขาถูกตัดออกและเหลือเพียงแค่ร่างกับหัว

คนเหล่านี้ที่ถูกเตะโดยอารูคอนที่ทรงพลังกำลังกระแทกกับกำแพงของป้อมปราการดาวเทียมที่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีฟ้าและกระจัดกระจายเป็นชิ้นๆ

บดขยี้และระเบิดออก

มันมี <ลูกบอล> มากกว่าห้าสิบลูกที่ระเบิดคาเท้าของเมรุต

ออร์ทาเนียนรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นภาพนั้น

‘ไอ้ความอิจฉานี่กำลังจะฆ่าฉันตาย’

ในเมื่อเมรุตมักจะเอาของเล่นออกมาจากถนนสีเขียว ปริมาณของเครื่องสังเวยนั้นสูงไม่น้อย

เช่นเดียวกับผู้เก็บเกี่ยว ดาคิดัส

พวกเขามีไม่มากพอที่จะเล่นแบบนั้นในเมื่อพวกเขาได้แค่ส่วนเล็กๆ มาเป็นขนม

แต่ในขณะที่ออร์ทาเนียนกำลังมองภาพนั้นด้วยความอิจฉา

วูบบบบบ

‘หือ? ทำไมเขามาแล้วล่ะ…’

ป้อมปราการดาวเทียมของดาคิดัส

ทำไมป้อมปราการดาวเทียมของหมอนั่นถึงได้มาแล้วในตอนที่อีกฝ่ายควรจะไปอยู่แถวๆ ฟาร์มในตอนนี้?

มันน่าจะมีมานาคริสตัลเหลือพออีกสัก 2-3 วัน

‘น่าสงสัย’

ออร์ทาเนียนแสดงสีหน้างุนงงออกมากับป้อมปราการดาวเทียมที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ จากห่างออกไปขณะที่เขาเริ่มใช้ระบบสื่อสาร

เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถพูดคุยกันได้