บทที่ 172: ขี้เถ้า (3)

 

 

 

“… จะเกิดอะไรขึ้นกับเราต่อไป?”

ผู้คนที่กำลังพูดเกี่ยวกับหลายๆ เรื่องในระหว่างที่เก็บรูนและอาร์ติแฟคจากด้านล่างกระซิบกันขณะที่พวกเขามองขึ้นไป

พวกเขาบอกว่าพวกเขาจะติดตามไป แต่เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลงและความเป็นจริงถาโถมใส่พวกเขา พวกเขาก็เริ่มที่จะเป็นกังวล

‘พวกเขาคงไม่โยนพวกเราทิ้งไปทั้งหมด…’

แม้ว่าคนเหล่านั้นจะไม่ทิ้งพวกเขา คนจำนวนมากก็อาจจะยังตายอยู่ดี

แมคคิลถอนหายใจขณะที่เธอมองไปยังป้อมปราการดาวเทียมที่ลอยนิ่งอยู่บนท้องฟ้า อัททิลลาน

 

 

 

ฮันซูคิดถึงคำพูดของเพื่อนของเขาในอดีตขณะที่มองไปยังข้อมูลเกี่ยวกับหยกผนึก

<เวรเอ้ย… ถ้าเรารู้ว่าเรื่องนั้นจะเกิดขึ้น งั้นเราก็คงทำลายมันทิ้งในระหว่างทางที่ขึ้นมา>

เพื่อนทั้งสามคนของเขาหนีไปเพราะแข็งแกร่งไม่พอ พวกเขาหวังว่าคนที่มาหลังจากพวกเขาจะใช้มันเพื่อมนุษย์

เพื่อที่คนเหล่านั้นจะได้ทำในสิ่งที่พวกเขาไม่อาจทำได้และช่วยเหลือมวลมนุษย์เอาไว้

พวกเขาเชื่อในมนุษย์ในตอนนั้น

แม้ว่าพวกเขาจะต่อสู้กันเอง พวกเขาก็เชื่อว่าพวกเขาจะสามารถรวมพลังกันและต่อสู้ได้เมื่อมีเผ่าพันธุ์อันทรงพลังอย่างเผ่าพันธุ์ชั้นสูงอยู่

ดังนั้น พวกเขาจึงซ่อนคำใบ้สู่ผยกหนึกเอาไว้ ที่ที่เผ่าพันธุ์ชั้นสูงจะไม่อาจหามันพบ

แต่น่าเศร้าที่คนที่หามันพบคือคลีเมนไทล์

หยกผนึกได้ไปอยู่ในอุ้งมือของคนที่เสียสติที่สุด

อืม มันก็ควรจะเป็นแบบนั้นเมื่อคิดในแง่หนึ่ง

ในเมื่อคลีเมนไทล์มีความสามารถมากพอๆ กับความเสียสติของเธอ

ขณะที่เธอควบคุมป่าใหญ่ด้วยความเร็วสูงและสร้างกองกำลังมหาศาลขึ้นที่คอยรั้งอยู่ในป่าใหญ่ การค้นพบของเธอก็จะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว

แต่ด้วยสิ่งนี้ แผนการของคลีเมนไทล์ก็ได้สมบูรณ์แบบ

อืม การค้นพบหยกผนึกคือเหตุผลที่ทำให้เธอสามารถเผชิญหน้ากับเผ่าพันธุ์ชั้นสูงและยื่นข้อเสนอได้

‘แม้ว่ามันจะเป็นข้อเสนอที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย… ถ้าความแตกต่างด้านพลังในระหว่างทั้งสองฝ่ายมันมากเกินไป งั้นสัญญาแบบนั้นก็คงไม่อาจเกิดขึ้นได้’

สิ่งที่ต้อนรับคลีเมนไทล์ครั้งแรกที่เธอไปพบเผ่าพันธุ์ชั้นสูงครั้งแรกไม่ใช่ความสงสัยใคร่รู้ แต่เป็นเสียงเหยียดหยามและคำดูถูก

แต่สุดท้ายแล้ว พวกนั้นก็ทำได้เพียงยอมรับข้อเสนอ

จากคำพูดของคลีเมนไทล์ที่บอกพวกเขาว่าถ้าพวกเขาไม่ทำสัญญาหรือโจมตีมนุษย์ เธอจะใช้หยกผนึกที่เธอมี

มันอาจจะต่างออกไปถ้าเผ่าพันธุ์ทั้งสามสูญเสียมานาไปพร้อมๆ กัน แต่ถ้ามันเกิดขึ้นกับแค่เผ่าพันธุ์เดียว งั้นเหตุการณ์แบบเดียวกับในอดีตก็จะเกิดขึ้นอีกครั้ง

พวกเขาจะถูกบดขยี้จากการโจมตีของอีกสองเผ่าพันธุ์

คลีเมนไทล์ที่ได้ครอบครองอาวุธในการต่อต้านเผ่าพันธุ์ชั้นสูงซ่อนมันไว้ในส่วนที่ลึกที่สุด

และเผ่าพันธุ์ชั้นสูงได้วางป้อมปราการดาวเทียมป้อมหนึ่งมาจากแต่ล่ะเผ่าเพื่อเฝ้ามองกองกำลังของคลีเมนไทล์เผื่อว่าคนเหล่านั้นจะทำบางอย่าง

และไม่ช้า สัญญาก็ได้ถูกสร้างขึ้น

‘อืม ไม่มีเหตุจำเป็นให้บอกพวกเขาถึงเรื่องพวกนี้’

ถ้าพวกเขารู้มากเกินไป มันก็จะมีแต่อันตรายสำหรับพวกเขาเท่านั้น

และแม้ว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องนี้ เป้าหมายก็ได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว

ทวงเอาหยกผนึกกลับคืนมาหลังจากที่ไปถึงยังปลายทางของถนนสีเขียว

แต่ความยากของภารกิจนี้นับว่าเป็นปัญหาไม่น้อย

เอคิดูมองไปยังฮันซูและเอ่ยถาม

“ตอนนี้คุณจะทำยังไง? ป้อมปราการดาวเทียมจะกลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเรา”

การพูดมันมักจะง่ายกว่าเสมอ พวกเขาต้องจัดการผู้ติดตามของคลีเมนไทล์ลงในขณะที่พวกเขาค้นหาหยกผนึกไปพร้อมๆ กัน

ถ้าพวกเขาจะเดินทางผ่านถนนสีเขียวไป ป้อมปราการดาวเทียมก็จะเป็นปัญหาอยู่ดี

พวกเขาจะไม่อาจทำอะไรได้

ในเมื่อเพียงแค่การเรียกกำลังเสริมธรรมดาๆ จะเรียกเอาลำแสงสีฟ้าลงมาจากป้อมปราการดาวเทียม

‘ถึงพวกเราจะมีอยู่ป้อมหนึ่ง…’

มันสามารถมองเห็นผลลัพธ์ได้อย่างง่ายดาย

สามต่อหนึ่ง

พวกเขาไม่อาจเอาชนะพวกมันสามป้อมได้ด้วยป้อมเพียงป้อมเดียว

ไม่สิ ถึงจะชนะก็เป็นปัญหาอยู่ดี

ในเมื่อป้อมปราการดาวเทียมป้อมอื่นๆ จะมุ่งหน้าเข้ามา

‘เราจะทิ้งป้อมปราการดาวเทียมเอาไว้งั้นเหรอ? แล้วเดินทางผ่านป่าใหญ่ไป?’

แต่เอคิดูส่ายศีรษะ

มันอาจจะต่างออกไปถ้าพวกเธอมีคนน้อย แต่ด้วยคนจำนวนมากขนาดนี้ การพยายามเคลื่อนไหวไปไหนย่อมทำให้พวกเขาถูกจับได้ในที่สุด

พวกเธอไม่อาจเดินทางผ่านถนนสีเขียวไปได้เช่นกัน

พวกเขารู้ว่ามันคือปากเสือ แล้วทำไมพวกเขาจะต้องเข้าไปด้วย?

และชาวนาส่วนมากก็อ่อนแอเกินไปสำหรับถนนสีเขียวอยู่ดี

ชาวนาเหล่านั้นจะถูกลูกน้องของคลีเมนไทล์ที่เรียกตนเองว่าผู้คุมสอบกวาดล้างและส่งไปเป็นเครื่องสังเวย

‘แต่พวกเราก็ทิ้งพวกเขาไว้ที่นี่ไม่ได้เหมือนกัน…’

มันยังสงบอยู่ในตอนนี้ แต่เมื่อพวกมันเห็นดาคิดัสไม่กลับไปแม้ว่ามันจะถึงเวลาที่เขาต้องกลับ พวกเขาก็จะถูกสงสัย

‘เวรเอ้ย ฉันเห็นได้ชัดเจนเลยว่าเราเสียเปรียบอย่างหนัก’

เอคิดูกัดฟันกรอด

พวกเธอจะถูกจับได้ไม่ว่าพวกเธอจะทำอะไร และทางอื่นๆ ก็ล้วนถูกปิด

ถ้าคนกลุ่มหนึ่งได้เปรียบและแข็งแกร่ง งั้นมันก็ไม่มีอะไรให้เป็นกังวล

ในเมื่อพวกเขาสามารถรวมตัวกันและทะลวงผ่านทุกอย่างไปไม่ว่าศัตรูจะพยายามทำอะไร

ทั้งหมดนี่เป็นเพราะพวกเธออ่อนแอ

จนถึงขีดสุดเมื่อเทียบกับอีกฝ่าย

บางอย่างแบบนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อพวกเธอไม่อาจกระทั่งจะชี้นิ้วใส่ศัตรูได้

การมีคนจำนวนมากไม่ได้ทำให้ได้เปรียบขนาดนั้นเช่นกัน

ไม่สิ จริงๆ แล้วมันนับเป็นข้อเสียเปรียบด้วยซ้ำ

ในเมื่อมันจะทำให้ยิ่งเตะตา…

‘เราสามารถปล่อยพวกเขากระจายตัวออกไปและเก้บไว้แค่พวกยอดฝีมือ…’

เมื่ออารูคอนและอีกสองเผ่าพันธุ์ชั้นสูงรู้ว่าหมู่บ้านถูกทำลายและคนร้ายได้หนีไปในป่าใหญ่ งั้นพวกมันก็จะเริ่มไล่ตามอย่างบ้าคลั่ง

แต่ช่องว่างก็จะถูกสร้างขึ้น

เอคิดูส่ายศีรษะในขณะที่พึมพำกับตนเอง

ตื่นตระหนกที่ตัวเธอคิดแผนการแบบนั้นออกมา

ความคิดที่เธอเพิ่งคิดไปนั้นจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อเธอคิดว่าพวกที่อยู่ด้านล่างนั่นคือภาระ

และแม้ว่าเผ่าพันธุ์ชั้นสูงจะไม่ไล่ตามพวกเธอ สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคนเหล่านั้นก็เหมือนเดิม

แม้ว่ามันจะมีน่าลักและการ์ดอยู่จำนวนหนึ่ง คนส่วนมากก็ยังเป็นชาวนา

อะไรจะเกิดขึ้นกับคนเหล่านั้นเมื่อพวกเขากระจายตัวออกไปในป่าที่มีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่าสัตว์อสูรขั้นหนึ่งมาก?

‘… นี่คือขีดจำกัดของฉันงั้นเหรอ’

ในขณะที่เอคิดูกำลังสิ้นหวัง

ฮันซูก็เอ่ยขึ้นกับเอคิดู

“เอาล่ะ ตอนนี้ลงไปข้างล่างกันเถอะ มันยังมีอีกหลายเรื่องให้ทำ และยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องบอกพวกคนที่อยู่ข้างล่างนั่นด้วย”

“…?”

มีหลายเรื่องให้บอก?

สีหน้าของเอคิดูแปรเปลี่ยนไปเป็นงุนงงจากคำพูดของฮันซู

การมีความมั่นใจมากเป็นเรื่องดี แต่ความแตกต่างด้านพลังคือความเป็นจริง

ชาวนาพวกนั้นจะสามารถทำอะไรให้พวกเธอได้?

‘นี่เขาคิดแบบเดียวกับฉันรึเปล่า?’

นั่นคือตัวเลือกที่ดีที่สุดที่เธอจะสามารถคิดออกได้

“คุณจะส่งพวกเขาทุกคนไปที่แนวหน้ารึเปล่า?”

ฮันซูส่ายศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั่น

นั่นมันจะกลายเป็นแค่การตายที่ไร้ค่า

“มันเสียเปล่าเกินไปที่จะทำแบบนั้น”

ในเมื่อพวกเขามีเป้าหมาย พวกเขาก็แค่ต้องแข็งแกร่งขึ้น

เมื่อพวกเขาได้รับเวลาและสภาพแวดล้อมที่ดี ทุกคนด้านล่างนั่นก็มีความสามารถที่จะแข็งแกร่งได้เทียบเท่ากับคาริมหรือเอคิดู

ถ้าพวกเขาทุกคนสามารถมีชีวิตรอด เติบโตและไปถึงเขตสีม่วงได้ งั้นนักรบที่ยอดเยี่ยมจำนวนมากก็จะถือกำเนิดขึ้นในการต่อสู้กับอบิส

“งั้นอะไร…”

“เราต้องซ่อนก่อน ในป่า”

ต้นไม้ควรถูกซ่อนเอาไว้ในป่า

เอคิดูแสดงสีหน้างุนงงออกมาเมื่อได้ยินคำพูดของฮันซูขณะที่อีกฝ่ายเอ่ยต่อ

“ผ่อนคลายหน่อย ฉันจะจัดการทั้งหมดเอง”

“…”

ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีอะไรมารับประกัน เอคิดูกลับรู้สึกว่าจิตใจของเธอผ่อนคลายขึ้นขณะที่เธอผงกศีรษะตอบรับฮันซูอย่างไม่รู้ตัว

 

 

 

ตึก ตึก ตึก ตึก!

คนนับสิบได้วิ่งผ่านป่าใหญ่

กลุ่มของนักล่า ชาวนา และการ์ดที่ยืนอยู่ฝ่ายมนุษย์

และแน่นอนว่าแมคคิลคือส่วนหนึ่งของกลุ่มนี้

‘ฟิ้ว… ฉันหวังว่ามันจะเป็นไปได้ด้วยดี’

มันมีเพียงสิ่งเดียวที่พวกเขาถูกสั่งให้ทำ

<แยกตัวออกไปและเข้าร่วมกับหมู่บ้านอื่น>

ในตอนนั้น แมคคิลรู้สึกว่าบางอย่างได้แตะมาที่เธอ

“ตื่นได้แล้ว เราเกือบจะไปถึงแล้ว”

“อ่า…”

พวกเขาได้ถูกแบ้งออกอย่างเท่าๆ กัน เพื่อที่พวกเขาจะสามารถไปได้ครบทุกหมู่บ้าน

แม้ว่าพวกเขาจะมีแผนที่ มันก็ยังคงยากที่จะเดินทางผ่านป่าใหญ่และไปถึงอีกหมู่บ้านหนึ่งได้

นั่นคือสาเหตุที่ทำให้นักล่าและการ์ดได้ถูกแบ่งมาในบรรดาชาวนาอย่างเท่าเทียม

แมคคิลตื่นขึ้นจากคำพูดของนักล่าในกลุ่มของเธอขณะที่เธอมองห่างออกไปและมองเห็นหมู่บ้านถูกสร้างขึ้นอย่างหยาบๆ

ไม่เหมือนหมู่บ้านของพวกเธอ หมู่บ้านนี้ดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นจากการขุดเข้าไปในหน้าผาและเป็นเมืองถ้ำ

‘มันเป็นเมืองที่ต่างออกไปจริงๆ สินะ’

แมคคิลกลืนน้ำลายลงคอ

จากนั้นจึงจัดระเบียบความคิดของเธอ

ในเมื่อเธอจะต้องตั้งสติเพื่อที่จะเข้าไปและเข้าร่วมหมู่บ้าน

และเพราะแบบนั้น ตอนนี้พวกเขาจึงต้องเริ่มทำตัวเป็น <ผู้อพยพ>

<ผู้อพยพ>

ผู้คนที่ไม่ชอบระบบปกครองของหมู่บ้านและเดินทางไปในป่าใหญ่

แน่นอนว่าพวกเขามีจำนวนไม่มากนัก

แต่พวกเขาก็มีอยู่จริง

ไม่ใช่แค่ชาวนาที่อ่อนแอ แต่มีกระทั่งนักล่าและการ์ดที่ไม่ชอบกฎของหมู่บ้านที่คอยกดขี่พวกเขา

ในเมื่อมันไม่มีความจำเป็นให้พวกเขาชอบหมู่บ้านเพียงเพราะมันง่ายในการใช้ชีวิตอยู่

แต่บางครั้ง ผู้อพยพเหล่านี้ก็กลับไปยังหมู่บ้าน

ในขณะที่รู้สึกเสียใจที่คิดจะออกไปจากหมู่บ้าน

ในเมื่อป่าใหญ่ไม่ใช่สถานที่ง่ายๆ ที่พวกเขาจะสามารถอาศัยอยู่ได้หลังจากออกจากหมู่บ้านไปเพราะการปกครองของมัน

ผู้คนที่ออกจากหมู่บ้านมักจะเดินทางไปทั่วๆ ป่าใหญ่ รับรู้ถึงความโหดร้ายของสภาพแวดล้อมด้วยร่างกายของพวกเขาและกลับไป

หมู่บ้านมักจะรับพวกเขากลับไป และมันก็มีบางครั้งเช่นกันที่พวกเขาบางคนได้ไปถึงยังหมู่บ้านอื่นในขณะที่เดินทางในป่า

และสัดส่วนของกลุ่มพวกเขาก็พยายามที่จะเลียนแบบมันให้ได้มากที่สุด

‘ถึงแม้ว่าขนาดของมันจะใหญ่ไปหน่อย’

คนมากกว่าหมื่นคนได้ถูกแบ่งและกระจัดกระจายไปยังหมู่บ้านต่างๆ

แต่มันไม่มีปัญหาในเรื่องนี้

ในเมื่อแต่ล่ะหมู่บ้านถูกตัดขาดออกจากกันเพื่อที่จะสร้างช่องว่างมหาศาลในแต่ล่ะหมู่บ้านไม่ให้รวมตัวกันได้

แต่นี่จะกลายเป็นยาพิษสำหรับพวกนั้นเช่นกัน

ไม่มีใครรู้ว่าหมู่บ้านที่ดาคิดัสไปตรวจตราได้ถูกทำลาย

อืม พวกเขาคงไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการ

ว่าดาคิดัสได้ตาย และคนทรยศได้ถูกฆ่าจนหมด และการที่ชาวบ้านทั้งหมดได้กระจายตัวออกมา ทำตัวเป็นผู้อพยพ และเข้าร่วมหมู่บ้านอื่นๆ

และมันมีเพียงอย่างเดียวที่พวกเขาต้องทำหลังจากที่เข้าไปได้แล้ว

‘แยกย้ายและเข้าร่วม และ… มองหาช่องว่าง’

เตรียมตัวที่จะจัดการพวกคนทรยศและรวบรวมคนที่จะช่วยเหลือพวกเขา

ในขณะที่เฝ้ารอให้ป้อมปราการดาวเทียมร่วงหล่น

รอจนกว่าวันในการปฏิวัติจะมาถึง ตอนที่เกราะอันไร้เทียมทานของเผ่าพันธุ์ชั้นสูงจะหายไป และเปิดช่องว่างให้อาวุธของพวกเขาเสียบเข้าไป

มันไม่ได้ยาก

พวกเขาหลบซ่อนตัว แต่ศัตรูของพวกเขาอยู่ในที่เปิด

พวกเขารู้จักศัตรู แต่ศัตรูไม่รู้จักพวกเขาแม้แต่น้อย

และในที่พักของดาคิดัสมีชื่อของคนทรยศทั้งหมดอยู่

เผื่อไว้ว่าพวกมันจะต้องจัดการกับการรวมตัวกันครั้งใหญ่ของมนุษย์

ทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างช้าๆ ในหมู่บ้าน

ดาบล่องหนที่จะค่อยๆ เฉือนลำคอของพวกมันไปอย่างช้าๆ

‘แต่ถ้าฮันซูพลาด… มันก็ทำอะไรไม่ได้’

แมคคิลตัดสินใจที่จะคิดตามความเป็นจริง

ถ้าฮันซูชนะ งั้นมันก็ไม่มีกระทั่งความจำเป็นให้กังวล

พวกเขาจะกลายเป็นประกายไฟในการตอบโต้และจุดไฟเผาน้ำมัน

และหมู่บ้านทั้งหมดที่พวกเขาหลบซ่อนตัวอยู่จะระเบิดออก

ในเมื่อพวกเขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว

พวกเขาได้เห็นมัน

ภาพของผู้ทรยศทั้งหมดของหมู่บ้านถูกค้นพบและดาคิดัสที่สูญเสียชีวิตของมันไปหลังจากที่ร่วงหล่นลงมาสู่พื้นดิน

ด้วยสายตาของพวกเขาเอง

นั่นคือสาเหตุที่ทำให้พวกเขายืนอยู่ฝ่ายฮันซู

ในเมื่อฮันซูได้แสดงให้พวกเขาเห็นความหวัง ความเป็นไปได้

แต่ถ้าฮันซูล้มเหลว?

ถ้าป้อมปราการดาวเทียมไม่ร่วงหล่นลงมา?

‘หลอมรวมกับหมู่บ้านและมีชีวิตอยู่ต่อไป’

พยายามอย่างถึงที่สุดไม่ให้ถูกจับไปเป็นเครื่องสังเวยเหมือนที่พวกเขาเคยในหมู่บ้านที่ปกครองโดยดาคิดัส และเสี่ยงชีวิตของพวกเขาเพื่อที่จะเดินทางผ่านถนนสีเขียว

พวกเขาจะกลับไปเป็นทาส เป็นสัตว์เลี้ยง

พวกเขาก็แค่กลับไปเป็นอย่างที่เคยเป็น

ก็แค่นั้น

ถ้าฮันซูล้มเหลวและป้อมปราการดาวเทียมไม่ร่วงลงมา งั้นมันก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาจะทำได้

ถ้าตัวเลือกระหว่างมีชีวิตอยู่และความตายปรากฏขึ้น และฝ่ายหนึ่งไร้ซึ่งความหวังในการมีชีวิตอยู่ งั้นคำตอบก็ถูกเลือกเอาไว้แล้ว

ในเมื่อมันจะเป็นเพียงความตายอันไร้ค่าถ้าพวกเขาพยายามต่อต้าน

ฮันซูอาจจะส่งพวกเขาออกมาแบบนี้หลังจากที่คิดถึงตอนนี้แล้วเช่นกัน

‘อืม คนอื่นๆ ยอมรับข้อเสนอนี้เพราะว่ามันมากแค่นี้’

ภาพของฮันซูในความคิดของชาวบ้านได้ถูกสร้างขึ้นแล้ว

เขาแข็งแกร่งอย่างน่าหวาดกลัว

เขาได้ทำภารกิจที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ได้สำเร็จและช่วยเหลือคนเอาไว้ทั้งหมู่บ้าน

เขายอดเยี่ยม

จนถึงจุดที่มอบความหวังให้กับพวกเขาว่าการกบฏครั้งนี้อาจจะสำเร็จจริงๆ

แต่ฮันซูไม่ได้อยู่ที่นี่ในตอนนี้

มันไม่มีใครที่จะควบคุมคนที่พวกเขาไม่แม้แต่จะมองเห็นได้

ถ้าฮันซูขอให้พวกเขาเอาชีวิตไปเสี่ยงและสู้ พวกเธอครึ่งหนึ่งคงจะจากแยกตัวไปแล้ว

และพวกเธอคงไม่ทำตามคำสั่งที่รุนแรงกว่านั้นเช่นกัน

นี่คือสิ่งที่มากที่สุดเท่าที่พวกเธอรับได้

‘…เวรเอ้ย’

เธอรู้สึกอับอายหลังจากที่คิดถึงฮันซูที่มุ่งหน้าไปยังพื้นที่ที่อันตรายที่สุด

ดังนั้นเธอจึงภาวนา

‘ได้โปรด ด้วยความรักของพระเจ้า จงทำสำเร็จ’

เพื่อที่พวกเธอจะได้สามารถยกอาวุธของพวกเธอขึ้นได้

เพื่อที่ความหวังแห่งชัยชนะที่พวกเขาจะสู้เพื่อมันแม้ว่าความเสี่ยงจะปรากฏขึ้นที่พวกเขา

 

 

 

ฮันซูผงกศีรษะหลังจากที่ส่งผู้คนออกไป

ตอนนี้ขั้นแรกได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว

พวกเขาไม่อาจเอาชนะได้เพียงแค่เพราะป้อมปราการดาวเทียมร่วงลงมา

จากที่เขาเห็นจากดาคิดัส ร่างกายของพวกนั้นมันทรงพลังด้วยตนเอง

คนเหล่านั้นคือหอกเล่มที่สอง

อาวุธที่เขาต้องการในการต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ชั้นสูงตอนที่พวกมันร่วงลงมาที่พื้น

“พวกเขาจะปลอดภัยในตอนนี้ ในเมื่อหมู่บ้านจะปกป้องพวกเขา”

พวกเขาต้องเติบโตและเฝ้ารอโอกาส

“ดังนั้นเราจะไปเอาหยกผนึกในระหว่างนั้น?”

“ใช่”

เอคิดูแสดงสีหน้าขมขื่นออกมาขณะที่มองไปรอบๆ

‘… ด้วยพวกเราแค่สามคนเนี่ยนะ?’

“เวรเอ้ย งั้นเราก็ต้องฆ่าคนแบบคาริมราวๆ พันคนเนี่ยนะ? ดูจะง่ายนะเนี่ย หืม? ป้อมปราการดาวเทียมคงดูเราสนุกเลย”

กับการที่พวกเขาแค่สามคนวิ่งฝ่าใจกลางดินแดนของศัตรู

สถานที่ที่ลำแสงสามารถพุ่งลงมาได้ถ้าพวกเขาทำอะไรผิดพลาด

คาร์ฮาลที่ยืนอยู่ข้างเอคิดูและฮันซูบ่นออกมาเสียงดัง

 

 

 


TL: ภาพของคาร์ฮาลในหัวเทียร์คือหนุ่มซึนล่ะค่ะ…