บทที่ 17 หินจิตวิญญาณ

ซานเฉี่ยวคนนี้มาจากตระกูลอันดับหนึ่งแห่งเมืองเหยียนจิงจริงหรือ

(note: ซานเฉี่ยวคือบุตรชายคนที่สาม)

เย่เฟิงคิดในใจพลางมองไปยังรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของอู๋เอที่ดูเหมือนกำลังวางแผนบางอย่างอยู่ในใจ เขารู้สึกว่าอู๋บีไม่น่าจะหลอกเขาอย่างแน่นอนเรื่องที่หยกมัจฉาขาวนี้มีอายุมากกว่าหนึ่งพันปี แต่พ่อของอู๋บีกลับบอกว่ามันมีอายุถึงห้าพันปีเสียได้

หรือว่าอู๋เอคิดจะหลอกโก่งราคาจากซานเฉี่ยวคนนี้กันแน่

“อีกครึ่งเดือนก็จะถึงวันคล้ายวันเกิดครบรอบอายุเจ็ดสิบปีของปู่ผมแล้ว ดังนั้นไม่ว่าของจะราคาแพงเท่าไรไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรขอแค่เป็นของที่ท่านปู่ชอบก็เพียงพอ”

ซานเฉี่ยวแห่งตระกูลหลินพูดอย่างเย่อหยิ่งขณะเดินตามอู๋เอ

เขามองมาทางเย่เฟิงด้วยสายตาดูถูกและหันไปมองหยกหยินหยางมัจฉาขาว มันช่างสวยงามและน่าดึงดูดนัก!

แน่นอนว่าสายตาที่เขามองหยกไม่ใช่แบบเดียวกับที่เย่เฟิงมองมัน

อู๋บีคิดปลีกตัวเองจากสถานการณ์นี้ เขารีบดึงเย่เฟิงไปยังด้านข้างและกระซิบ “ผึ้งน้อย นายต้องห้ามไปมีเรื่องกับบุตรคนที่สามคนนี้เด็ดขาดนะ เดี๋ยวฉันพานายไปดูของบริเวณอื่นดีกว่า”

เย่เฟิงได้แต่ผงกหัวเดินตามไป

แน่นอนว่าเขาไม่ได้กลัวการมีเรื่องกับซานเฉี่ยวอะไรนั่น และก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำแบบนั้นเช่นนั้น หรือพูดให้ชัดอีกอย่างว่าเขาไม่ได้เห็นซานเฉี่ยวคนนั้นอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย

“เขามีชื่อว่าหลินซิ่วเหวิน จำที่ฉันเคยบอกเกี่ยวกับตระกูลหลินได้ใช่มั้ย เขาคนนี้คือบุตรชายลำดับที่สามจากคนรุ่นเยาว์ทั้งหมดของตระกูลหลิน”

ห่างออกไปอู๋บีกำลังอธิบายเรื่องของบุตรชายคนที่สามให้ฟัง เย่เฟิงโดยปกติสนใจเพียงแค่เกมออนไลน์เท่านั้นจึงไม่มีทางรู้เรื่องพวกนี้ แต่อู๋บีนั้นต่างออกไปเพราะพ่อของเขาทำให้เขามีความรู้เกี่ยวกับผู้มีอิทธิพลในเมืองเหยียนจิงเป็นจำนวนมาก

“เขาเป็นนักเรียนปีหนึ่งของมหาวิทยาลัยเหยียนชาน และเป็นหลานคนโปรดของปู่เขาเพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องปกติที่นายจะเห็นเขาเป็นพวกเย่อหยิ่งชอบกดหัวคนที่ให้ต่ำกว่าตัวเอง แทบไม่มีใครสักคนในเมืองเหยียนจิงเลยนะที่กล้าไปมีเรื่องกับเขาน่ะ”

ขณะที่อู๋บีเล่าไปเขาก็พลันคิดว่ามันเป็นเรื่องดีหรือเปล่าที่เขาเล่าประวัติของซานเฉี่ยวคนนั้นให้เย่เฟิงฟังแบบนี้

ตอนนี้ทั้งสองคนมาอยู่บริเวณมุมของร้าน เย่เฟิงพลันรู้สึกถึงความร้อนจากแหวนมังกรดาบโบราณ เขารีบกวาดตามองไปรอบๆด้วยความตื่นเต้น

“ผึ้งน้อย นายเป็นอะไรเนี่ย”

อู๋บีที่สังเกตได้ถึงความผิดปกติของเย่เฟิง เขารีบถามทันที

เย่เฟิงไม่ได้ตอบแต่ยังคงมองหาสิ่งที่เขาต้องการด้วยการชี้นำของแหวนมังกรดาบโบราณ ตาเขาไปหยุดที่มุมของร้านที่มีกองสินค้าเหมือนขยะมากมายสุมอยู่บริเวณนั้น มองจากตรงนี้แล้วมันดูเป็นเหมือนเพียงของไร้ค่าเท่านั้น

ในกองเหล่านั้นมีหินสีเขียวเข้มที่มีอยู่ครึ่งเดียวดึงดูดสายตาของเย่เฟิง

หลิงชี! (หินจิตวิญญาณ)

น่าเสียดายมันมีอยู่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

เย่เฟิงถอนหายใจในใจด้วยความเสียดาย เขารีบตรงไปตรงนั้นและหยิบหินสีเขียวเข้มที่เหลือเพียงครึ่งเดียวขึ้นมาขณะมองพิจารณามันอย่างระมัดระวัง

“อย่าบอกว่านายชอบไอ้นี่นะ?”

อู๋บีมองท่าทางแปลกประหลาดของเย่เฟิงแล้วจึงเดินไปให้คำแนะนำแก่เขา “สิ่งนี้มาพร้อมกับหยกหยินหยางมัจฉาขาว ถึงแม้มันจะเก่ามากและเหลือแค่ครึ่งเดียว แต่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร ขนาดจัดของเสร็จเรียบร้อยแล้วยังไม่รู้จะเอามันไปวางไว้ตรงไหนดีเลย”

“ถ้ามันเป็นของไร้ประโยชน์ขนาดนั้นนายคงให้ฉันได้ใช่ไหม?”

เย่เฟิงถามหยั่งเชิง

ถ้าเขามีโอกาสที่จะไม่เสียเงินแน่นอนว่าเขาต้องคว้าไว้ ดูท่าทีแล้วอู๋บีไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับหินสีเขียวก้อนนี้เลย

หินจิตวิญญาณจัดว่าเป็นวัตถุดิบสำหรับการเพิ่มระดับวรยุทธ์ที่หายาก เมื่อใช้มันในครั้งแรกแล้วจะสามารถเพิ่มระดับวรยุทธ์ขึ้นได้ แต่หากใช้มันอีกครั้งจะทำได้เพียงช่วยให้ซวนฉีฟื้นฟูอย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่แน่นอนว่ามันเป็นของที่ล้ำค่ามาก ในระหว่างการต่อสู้หากซวนฉีหมดไปเจ้าหินจิตวิญญาณนี้จะมีประโยชน์อย่างสูง

ในโลกที่เขาจากมาหลายสำนักใช้เจ้าหินนี้ในปริมาณเพียงน้อยนิดช่วยฝึกลูกศิษย์คนสำคัญของสำนักเพื่อช่วยเพิ่มระดับวรยุทธ์ แต่สำหรับโลกนี้แล้วเย่เฟิงยังไม่เคยใช้มันมาก่อน

“น่าเสียดายที่หินมันเหลือเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น”

เย่เฟิงถอนหายใจในใจอีกครั้ง หินที่เหลือเพียงครึ่งเดียวจะสูญเสียหลิงฉีไปอย่างรวดเร็ว หินจิตวิญญาณที่เหลือครึ่งเดียวจะมีหลิงฉีเหลือเพียงหนึ่งในสามจากของเดิมเท่านั้น

“ให้นายเหรอ? พ่อฉันก็ฆ่าฉันตายเลยสิ”

อู๋บีปฏิเสธโดยไม่ลังเล เขากลอกตาครั้งนึงมองไปทางเย่เฟิง “นายมีเงินเท่าไรก็เอาให้ฉันเลยละกันไม่ต้องต่อราคานะ หรือว่าจะให้ฉันถามพ่อดีเรื่องราคาของหินก้อนนี้”

ขูดเลือดขูดเนื้อกันจริง ช่างเป็นสองพ่อลูกที่เหมือนกันยิ่งนัก!

เย่เฟิงแทบอยากจะอัดอู๋บีให้ตาย จริงอยู่ที่เขามีเช็คเงินสองแสนซึ่งเขาอยากจะใช้มันไปซะ ด้วยเงินจำนวนนี้เขาสามารถซื้อหยกหยินหยางมัจฉาขาวได้ทั้งก้อนเลยทีเดียว แต่กับหินครึ่งก้อนนี่ไม่มีคนปกติที่ไหนอยากจะมาเสียเงินให้มันแม้แต่สักหยวนหรอกนะ!

“มีแค่สองร้อย นายจะโอเคมั้ย”

เย่เฟิงหยิบเงินสองร้อยหยวนสุดท้ายออกมาจากกระเป๋ากางเกง นี่เป็นเงินค่าใช้จ่ายที่ปู่ของเขาให้ในแต่ละเดือน โดยเฉพาะของเดือนนี้เขาใช้ไปเยอะแล้ว โชคร้ายนักตอนที่เขามาถึงโลกนี้เงินในห้องมันก็เหลือเพียงแค่สองร้อยเท่านั้น

“นายบ้าไปแล้ว!”

อู๋บีมองเงินนั่นละว่าเขา “ปู่ของนายใช้นายมาซื้อของโบราณแล้วให้เงินมาแค่สองร้อยเนี่ยนะ”

“ฉันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่ ไม่งั้นฉันจะไปซื้อหินนี่ไปทำไมล่ะ เห็นมั้ยว่ามันไม่ได้ดูสวยอะไรเลย”

เย่เฟิงยักไหล่ อู๋บีสืบทอดนิสัยมาจากพ่อเขาได้อย่างดีจริงๆ แต่ใช่ว่าเย่เฟิงจะร้ายน้อยกว่าตรงไหน!

“โอเค ตกลงตามนี้ก็ได้ ราคาสองร้อยนะ”

อู๋บีผงกหัวอย่างไม่เต็มใจนักแล้วหยิบเงินสองร้อยมาจากเย่เฟิง ถึงแม้ว่าเขาจะโตมาพร้อมกับเย่เฟิงและมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก แต่พ่อเขาสอนไว้เสมอตั้งแต่เด็กๆแล้วว่า เมื่อมีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้องเมื่อไหร่ ต่อให้ค้าขายกับพี่ร่วมสายเลือดเขาต้องห้ามเสียเปรียบอย่างเด็ดขาด!

เย่เฟิงเก็บหินจิตวิญญาณครึ่งก้อนใส่กระเป๋าของเขา ตอนนี้เขาแทบรอไม่ไหวที่จะกลับไปดูดซับหลิงฉีจากหินก้อนนี้แล้ว

ถึงแม้ว่าหลิงฉีจะเหลือเพียงแค่หนึ่งในสามจากของเดิมเท่านั้น แต่หากดูดซับพลังของมันทั้งหมดระดับวรยุทธ์ของเขาจะเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งปี! ถึงตอนนั้นเขาจะสามารถใช้วรยุทธ์ได้อย่างว่องไวเมื่อสู้กับคนที่ใช้อาวุธปืน แม้กระทั่งหลบกระสุนก็ยังทำได้

ในการไปคิดบัญชีกับหัวหน้าของกลุ่มอสรพิษสวรรค์เขาจำเป็นต้องมีระดับลมปราณมากกว่านี้ ยิ่งมากเท่าไหร่เขาก็มีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้นเท่านั้น

“งั้นฉันขอตัวก่อนนะ”

เมื่อเสร็จธุระเรียบร้อยแล้วเย่เฟิงต้องการกลับบ้านของเขาทันที

“เดี๋ยวฉันไปส่งนายเอง”

อู๋บีผงกหัว

พวกเขาเดินมาถึงบริเวณล็อบบี้ของร้านก็เจอกับหลินซิวเหวินที่ซื้อของเสร็จเรียบร้อยและกำลังเตรียมตัวกลับ เขาทิ้งคนรับใช้วัยกลางคนไว้สำหรับจ่ายเงินและยังมีคนรับใช้วัยหนุ่มอีกคนที่กำลังแบกกล่องที่ถูกห่ออย่างสวยงามและถุงอีกมากมายถูกหิ้วไว้บนบ่า มันดูลำบากนักเมื่อต้องถือของเหล่านี้ไปพร้อมๆกัน

“หลินซิวเหวินซื้อของพวกนี้ทั้งหมดเลยงั้นเหรอ”

เย่เฟิงมองไปข้าวของพวกนั้นพลางคิด บุตรคนที่สามนี้ช่างซื้อของมากมายนัก เขาก็เหมือนพวกลูกศิษย์หลักของสำนักใหญ่ๆในโลกที่เขามา มากไปกว่านั้นยังเป็นประเภทพวกซื้อของทิ้งไว้แล้วทิ้งให้คนข้างหลังจัดการให้

“เอาล่ะ หนึ่งในของพวกนี้มีแจกันด้วยนะ ระวังแตกล่ะ”

หลังจากชำระเงินเรียบร้อย คนรับใช้วัยกลางคนหันกลับมาและยกแจกันลายครามสีขาวน้ำเงินขึ้นข้างหนึ่ง ขณะที่คนรับใช้วัยหนุ่มที่แบกของอยู่มากมายอยู่แล้วยังต้องมาช่วยพยุงแจกันอีกด้านหนึ่งด้วย

โชคร้ายที่คนรับใช้วัยหนุ่มนั้นไม่มีทักษะด้านนี้เท่าไหร่ เขาไม่สามารถประคองแจกันขนาดเท่าครึ่งตัวคนไว้ได้ ทันใดนั้นแจกันก็หล่นลงกับพื้น

ตอนนั้นเย่เฟิงและอู๋บีก็เดินผ่านไปโดยบังเอิญเช่นกัน

“ระวัง!”

อู๋เอที่รับเงินเรียบร้อยอยู่ตรงนั้นด้วย เขารีบตะโกนเตือนเสียงดัง

อู๋บีไม่รู้ตัวใดๆทั้งสิ้นแต่เย่เฟิงยืดแขนออกไปตามสัญชาติญาณช่วยจับแจกันลายครามนั้นไว้

เพล้ง!

เสียงของบางอย่างร่วงหล่นสู่พื้นดินแตกเป็นชิ้นๆ เพียงแต่มันไม่ใช่แจกันหากแต่เป็นกล่องที่อยู่บนไหล่ของคนรับใช้หนุ่มคนนั้นที่ตกลงมา มันเป็นกล่องใส่หยกหยินหยางมัจฉาขาวซึ่งตอนนี้แตกออกครึ่งหนึ่ง

“เกิดอะไรขึ้น”

ได้ยินเสียงเช่นนั้น คนรับใช้วัยกลางคนรีบหันกลับมาดูอย่างรวดเร็ว

“นี่มัน… ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ เขาเป็นคนทำมันแตก เขาผลักผม!”

คนรับใช้หนุ่มรีบพูดแก้ตัวอย่างรวดเร็ว เหงื่อเขาแตกด้วยความตื่นกลัวเขารีบชี้นิ้วป้ายความผิดไปทางเย่เฟิงโดยทันที

………………………………

แปลโดย : Teepo_V