บทที่ 18 ชดใช้สามเท่า

เย่เฟิงมองไปทางคนรับใช้วัยหนุ่มอย่างเย็นชา เขาไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้นแค่วางแจกันลงพื้นลงอย่างมั่นคง

“มีเรื่องอะไรกัน”

ชายวัยกลางคนเดินกลับเข้ามาถามด้วยน้ำเสียงดุดัน เขาก้มลงไปหยิบหยกที่แตกกับพื้นออกเป็นสองเสี่ยงด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว หันไปมองเย่เฟิงพลางกล่าว “เจ้าหนุ่ม รู้ตัวหรือเปล่าว่าเจ้าก่อเรื่องใหญ่แค่ไหน ไม่รู้หรือไงว่าของชิ้นนี้เป็นสมบัติของบุตรคนที่สามแห่งตระกูลหลินน่ะ”

“เดี๋ยวสิ เห็นกันอยู่ชัดๆว่าคนของพวกคุณนั่นแหละที่ทำมันแตกน่ะ”

อู๋บีรับไม่ได้กันการป้ายสีของอีกฝ่าย เขาโกรธจนเลือดขึ้นหน้าและชี้นิ้วไปที่คนรับใช้วัยหนุ่มคนนั้นขณะที่ด่าไปด้วย

ถ้าไม่ใช่เย่เฟิงเข้าไปช่วยอีกฝ่าย ไม่ใช่แค่หยกนั่นหรอกที่จะแตกแม้แต่แจกันก็คงจะไม่เหลือซากไปด้วยเช่นกัน แต่เจ้าคนรับใช้หนุ่มนั่นกลับกลัวความผิดจนใส่ร้ายเพื่อนของเขาไปเสียแบบนั้น

“มันจะไม่มากไปหน่อยเหรอที่ใส่ร้ายคนบริสุทธิ์โดยที่ยังไม่ทันได้สอบสวนอย่างถูกต้องน่ะ”

เย่เฟิงขมวดคิ้วกล่าว

“ใส่ร้ายคนบริสุทธิ์งั้นเหรอ ดีงั้นห้ามใครไปไหนเด็ดขาดจนกว่าเราจะเคลียร์เรื่องนี้จบ”

คนรับใช้วัยกลางคนพับแขนเสื้อขึ้น สีหน้าแสดงถึงความโกรธเตรียมพร้อมจะมีเรื่องได้ตลอดเวลา

เห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้วอู๋เอรีบวิ่งเข้ามาไกล่เกลี่ยทันที “เอาเป็นว่าผมจะชดใช้ให้กับสิ้นค้าที่เสียหายนี้แล้วกันนะ ถ้าคุณหลินซิวเหวินต้องการบอกให้เขาเข้ามาเลือกของไปได้เลย ไม่มีการคิดค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น”

ตอนนี้อู๋เอได้แต่หวังให้อีกฝ่ายตอบตกลง ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นซานเฉี่ยวแห่งตระกูลหลินแล้วจะไปมีเหตุผลได้อย่างไร ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาในสถานการณ์เช่นนี้ที่ดีที่สุดคือการรีบยื่นข้อเสนอการชดเชยสินค้าให้ ในขณะที่เจ้าคนรับใช้หนุ่มคนนั้นยังคงใส่ร้ายเย่เฟิงและจ้องเขาอย่างไม่หยุด

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่ร้านของเขา หากเขาไม่แก้ปัญหาแล้วเย่เฟิงคงต้องถูกโทษตายอย่างลับๆจากซานเฉี่ยวแห่งตระกูลหลินอย่างแน่นอน

“หึ มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก รอฟังคำตอบจากคุณหลินซิวเหวินก็แล้วกัน”

ชายวัยกลางคนแค่นเสียงเย็นชาจากนั้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายไปหาหลินซิวเหวินเนื่องจากเขาออกไปจากร้านขายของตั้งแต่เลือกสิ้นค้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ถึงอย่างไรก็ตามเย่เฟิงจะยอมให้เขาโดนเอาเปรียบเช่นนี้ได้อย่างไร

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำตัวไร้เหตุผลเช่นนี้แล้ว เย่เฟิงเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเตรียมสั่งสอนคนรับใช้วัยกลางคนทันทีหลังจากเขาฟังคำพูดไร้สาระของคนพวกนี้มามากพอแล้ว วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดก็คงเป็นการใช้กำลัง

ขณะที่อีกด้านอู๋บีรีบข้ามมาห้ามปรามเย่เฟิงให้สงบสติอารมณ์ลงเมื่อเห็นเขาทำท่าจะเข้าโจมตีอีกฝ่าย เขารั้งตัวของเย่เฟิงไว้ “ผึ้งน้อย อย่าพึ่งใจร้อนไปเลย เชื่อมือพ่อของฉันเถอะนะ”

อู๋เอที่ยืนอยู่ข้างๆตบไหล่เย่เฟิงเบาๆให้เขาใจเย็นลง เย่เฟิงหันกลับไปมองอู๋เอเห็นสายตาที่ห่วงใยของเขาจึงตัดสินใจที่จะยอมเชื่อฟังไปก่อนไม่ทำตัวหุนหันพลันแล่นไป

“เจ้าเด็กนี่มันยังไงกัน กล้าทำของๆพวกเราแตกแล้วยังทำท่าจะมีเรื่องกับพวกเราด้วยงั้นเหรอ”

ชายวัยกลางคนหัวเราะเย้ยอย่างดูหมิ่น เมื่อต่อสายติดเขารีบคุยกับหลินซิวเหวินทันทีถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

“ชดใช้คืนทั้งหมดสามเท่า แล้วจะถือว่าเรื่องนี้ผ่านไป”

ได้ยินเช่นนั้นอู๋เอรู้สึกโล่งใจขึ้นมา ดีแล้วที่หลินซิวเหวินไม่ได้ลงมายุ่งด้วยตัวเอง

“หึ พวกแกยังโชคดีที่วันนี้คุณหลินซิวเหวินอารมณ์ดี ไม่งั้นเรื่องคงไม่จบลงสวยแบบนี้หรอกนะ”

ชายวัยกลางคนวางสายโทรศัพท์มองไปทางเย่เฟิงอย่างเย็นชา

เย่เฟิงที่คอยดูสถานการณ์อยู่ด้านข้างรู้สึกอยากจับเจ้าคนรับใช้คนนี้มาสั่งสอนเสียให้เข็ดแต่ก็ได้แค่อดทนไว้ หากเขามีเรื่องกับคนของตระกูลหลินในร้านนี้แล้ว พวกอู๋บีก็คงต้องเดือดร้อนไปกับเขาเช่นกัน

อย่างไรก็ตามความประทับใจของตระกูลหลินที่เขามีตอนนี้ก็ติดลบไปเสียแล้ว คนรับใช้วัยกลางคนนั่นคิดว่าเย่เฟิงโชคดีนักที่ถูกช่วยเหลือเอาไว้หารู้ไม่ว่าเป็นตัวเขาเองนั่นแหละที่เย่เฟิงไว้ชีวิตเพราะเห็นแก่หน้าของอู๋เอ

“ชดใช้คืนสามเท่าไม่ใช่ปัญหาอะไร”

อู๋เอยังคงมีรอบยิ้มอยู่บนหน้าเหมือนเดิม เขาเข้าไปพูดคุยเพื่อตกลงกันอีกครั้งและยังช่วยแบกวัตถุโบราณอื่นๆขึ้นรถตู้สีขาวที่จอดอยู่ข้างนอกด้วย จากนั้นรถดังกล่าวจึงแล่นออกไป

“ลุงอู๋ไม่ต้องห่วง วันนี้ผมจะทำให้พวกนั้นคลานออกไปจากร้านนี้เอง”

เย่เฟิงมองไปยังคู่กรณีที่กำลังจะเดินออกจากร้านอย่างเย็นชา

“คลานบ้านนายสิ ถ้านายใจร้อนกว่านี้ละก็นายนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายซวยเอง”

อู๋บีบ่นกับเขาต่อ “ในเมืองเหยียนจิงนี้ใครๆก็รู้ถึงชื่อเสียงแย่ๆของหลินซิวเหวิน ถ้านายยั่วโทสะเขานั่นแปลว่านายได้ตายไปแล้วล่ะ เขาไม่ปล่อยนายไว้แน่!”

เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้อธิบายอะไร เขาหันไปทำมือคำนับแก่อู๋เอพร้อมกล่าวว่า “วันนี้ผมทำให้ลุงอู๋ต้องลำบาก เช่นนั้นผู้เยาว์คนนี้คงต้องขอตัวลาก่อนแล้ว”

“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนั้น ทำไมไม่มากินข้าวเย็นด้วยกันก่อนที่จะกลับล่ะ”

อู๋เอชวนเขาอยู่ต่ออย่างเมตตา แววตาเขาเปล่งประกายเมื่อได้ยินเย่เฟิงแทนตัวเองว่า‘ผู้เยาว์’ขณะที่กล่าวลา มันเป็นคำที่คนใหม่มักไม่ใช้แล้วในทุกวันนี้

“ไม่ดีกว่าครับลุงอู๋ ค่าชดใช้ที่ลุงอู๋จ่ายไปสามเท่าเมื่อกี้รวมทั้งหมดเป็นราคาเท่าไหร่หรือ?”

เย่เฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงถามออกมา

“ไม่ได้มากมายอะไร แค่สามล้านเท่านั้น”

อู๋เอโบกมือสบายๆ สามล้านที่ออกมาจากปากเขาดูเหมือนไม่ได้มีค่าอะไรเลย

เย่เฟิงถึงกับเหงื่อตกเมื่อได้ยินคำว่าสามล้าน ลุงอู๋คนนี้ช่างโหดร้ายยิ่งนัก สามารถเปลี่ยนสินค้าราคาเพียงแสนห้าให้กลายเป็นหนึ่งล้านได้ หลินซิวเหวินนั่นก็หน้าโง่มิใช่น้อยหรือไม่ก็เพราะเขามีเงินมากเกินไปจนไม่ได้ใส่ใจ อย่างไรก็ดีต้องถือว่าลุงอู๋กล้ามาที่กล้าหลอกโก่งราคากับหลินซิวเหวิน

“ลุงอู๋ไม่ต้องห่วง หนี้สามล้านนี้ผมจะนำกลับมาจ่ายให้ในอนาคตอย่างแน่นอน”

เย่เฟิงผงกหัวกล่าวออกไป เขามั่นใจว่าด้วยความสามารถของเขาในอนาคตสามล้านคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แน่นอนว่าทั้งพ่อลูกตระกูลอู๋ที่ได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ยึดถือในคำพูดของเย่เฟิงนัก

“เอาเป็นว่าไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีกแล้วกัน”

อู๋เอโบกมือ “อย่างที่คนกล่าวไว้ ช่วยชีวิตคนได้ถือเป็นชัยชนะ ได้กุศลยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น วันนี้สามล้านช่วยเหลือชีวิตเธอไว้จัดว่าคุ้มค่าแล้ว อ่อใช่ ลืมถามไปเลยว่าวันนี้เธอซื้ออะไรไปงั้นหรือ”

“หินสีเขียวๆที่เหลือเพียงแค่ครึ่งก้อนน่ะพ่อ”

อู๋บีอธิบายถึงรูปร่างของหินที่เย่เฟิงซื้อไป

“อะไรนะ! แกขายมันไปราคาเท่าไหร่กัน”

อู๋เอตกใจแล้วรีบถามทันที

“สองร้อยน่ะ…”

อู๋บีตอบคำถามในลักษณะเสียวๆอย่างบอกไม่ถูก

“แกนี่มันน่าตายนักเจ้าลูกบ้า!”

ทันใดนั้นเองอู๋เอกลับแสดงท่าทีโมโหอย่างมาก เขาไม่ได้สนใจที่เย่เฟิงแต่กลับจับตัวอู๋บีไว้แล้วดุด่าต่อ “สองวันก่อนพ่อพึ่งติดต่อเพื่อนเก่าชวนให้เขามาประเมินราคาของชิ้นนี้อยู่ แล้วแกขายมันไปแบบนั้นได้ยังไงกัน”

“อ่าว ก็ไหนพ่อบอกผมเองว่ามันเป็นของไร้ประโยชน์ไม่ใช่เหรอ”

อู๋บีเริ่มรู้สึกว่าเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากเสียแล้ว

“เฮ้อ…”

อู๋เอไม่ได้โต้เถียงกับลูกชายต่อ เขาหันกลับมาเย่เฟิงแล้วกล่าวว่า “เย่เฟิง เอาเป็นว่าคืนหินก้อนนั้นให้ลุงมาดีไหม แล้วเข้าไปเลือกของข้างในใหม่สักอย่างนึง”

เย่เฟิงมองท่าทีของอู๋เอรู้สึกแปลกใจใน บางทีลุงอู๋อาจจะรู้ก็ได้ว่าเจ้าหินนี่คือหินจิตวิญญาณ แต่ถึงอย่างไรเขาก็คืนหินจิตวิญญาณครึ่งก้อนนี้ไม่ได้เด็ดขาด สำหรับเขามันมีค่ามากกว่าสามล้านเสียอีก

“ลุงอู๋ ผู้เยาว์คนนี้รับฟังเหตุผลของลุงได้ เพียงแต่ของสิ่งนี้มีประโยชน์กับผมมาก ผมคงคืนให้ลุงไม่ได้หรอก”

เย่เฟิงส่ายหน้าพูดต่อ “ในฐานะที่ลุงอู๋เป็นนักธุรกิจรุ่นใหญ่แล้ว การกลับคืนคำคงไม่เป็นเรื่องที่ดีนักใช่หรือไม่”

“อะแฮ่ม”

อู๋เอรู้สึกเก้อเขินอย่างบอกไม่ถูก เขารีบกลบเกลื่อนสีหน้าคิดอะไรบางอย่าง “ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว ลุงอู๋ผู้นี้คงไม่อยากฝืนใจเธอ ใช่แล้ว ครึ่งเดือนจากนี้ไปจะมีการจัดแสดงสินค้าโบราณที่หลางฝาง เธอสนใจไหม?”

…………………………

แปลโดย : Teepo_V