บทที่ 165: เทวาที่ร่วงหล่น (3)

 

 

 

“หืมมม…”

แมคคิลได้ยินข้อเสนอของคาริมที่ยืนอยู่ห่างออกไปก่อนจะจมลงในห้วงภวังค์

ตัวเลือกสามข้อพลันปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเธอจากข้อเสนอของคาริม

อย่างแรก

พวกเธอสามารถมุ่งหน้าต่อไปยังถนนสีเขียวได้

อย่างที่สอง

ติดตามคาริมไปและยึดป้อมปราการดาวเทียม อัททิลลาน

อย่างที่สาม

ตามเอคิดูไปช่วยฮันซูและฆ่าดาคิดัส

‘บ้าเอ้ย นี่มันยากชะมัด’

แมคคิลพึมพำ

ทันทีที่เธอตัดสินใจผิดพลาด สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคือเธออาจจะต้องทิ้งชีวิตเอาไว้

และปัญหาคือไม่มีตัวเลือกใดในทั้งสามข้อที่มีการรับประกัน

ไม่มีใครรู้ว่าถนนสีเขียวอันตรายแค่ไหน

เช่นเดียวกับการช่วยเหลือฮันซู

‘แต่… ข้อเสนอของคาริมก็คล้ายๆ กับพวกมันเหมือนกัน’

เธอไม่รู้ว่าการช่วยคาริมยึดป้อมปราการดาวเทียม อัททิลลาน เป็นไปได้หรือไม่

ไม่สิ แล้วพวกเธอจะทำอะไรได้หลังจากที่ยึดมันแล้ว?

คาริมแย้มยิ้มหลังจากที่เห็นสีหน้าของคนที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนจะโบกของที่อยู่ในมือของเขาไปมา

“นั่นมัน…”

ก็แค่หนังสือเล่มหนึ่ง

ในขณะที่ทุกคน รวมทั้งแมคคิล กำลังแสดงสีหน้างุนงงออกไป

คาริมได้มองไปยังเอคิดูและหัวเราะออกมา

“เอคิดู เธอรู้ไหม? ว่าฉันอยู่ในหมู่บ้านนี้มานานเท่าไหร่?”

‘… หืมมม’

เอคิดูแสดงสีหน้างุนงงออกไป

ไม่มีใครรู้ว่าคาริมอยู่ในหมู่บ้านมานานแค่ไหนแล้ว

กระทั่งตอนที่หัวหน้าหมู่บ้านคนก่อนจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ หัวหน้าการ์ดก็ยังคงเป็นคาริม

และจากที่เธอได้ยินมา คาริมยังเป็นหัวหน้าการ์ดกระทั่งก่อนหน้านั้นไปอีก

ถ้าดูดีๆ แล้ว จริงๆ แล้วเขาคือหัวหน้าหมู่บ้านที่แท้จริงจากระยะเวลาที่เขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านมา

กระทั่งเอคิดูยังเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับหมู่บ้านจากหัวหน้าการ์ด คาริม ตอนที่เธอได้มาเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน

และเหตุผลที่ทำให้การ์ดได้มีอำนาจมากขนาดนั้นก็เป็นเพราะคาริม

ในเมื่อคาริมที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านมานานกว่าใครๆ ได้เลี้ยงดูการ์ดทั้งหมดในตอนนี้มาตั้งแต่ตอนที่พวกเขาเป็นพวกไก่อ่อน

การที่แข็งแกร่งกว่าการ์ดทุกคนเป็นเรื่องรอง เหตุผลที่ทำให้การ์ดไม่อาจต่อต้านคาริมได้เป็นเพราะว่าเขาได้สั่งสอนพวกเขามาเป็นเวลานานมาก

‘ถ้ามันไม่มีเหตุการณ์ใหญ่โตแบบนี้’

ในขณะที่เอคิดูกำลังฝืนยิ้มออกมา

คาริมก็เอ่ยต่อ

“ฉันอยู่ที่นี่มาพักใหญ่ๆ แล้ว เธอรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงได้มีชีวิตรอดมาได้นานขนาดนี้?”

ทุกคนแสดงสีหน้างุนงงออกมา

พวกเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน

ในเมื่อมันไม่มีอะไรที่แปลกประหลาด

‘มันมีเหตุผลด้วยเหรอ?’

ถ้าหากเป็นคนที่แข็งแกร่ง การอยู่ในหมู่บ้านก็นับเป็นการตัดสินใจที่ไม่เลวเช่นกัน

มันไม่มีความเสี่ยงในการที่จะถูกเลือกเป็นเครื่องสังเวย และพวกเขาก็สามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดของหมู่บ้านได้ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขา

สัตว์อสูรขั้นหนึ่งค่อนข้างจะแข็งแกร่ง แต่การอาศัยอยู่ที่นี่มันเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการเดินทางผ่านถนนสีเขียวที่เต็มไปด้วยไอ้ตัวประหลาดพวกนั้น

คาริมเอ่ยขึ้นกับผู้คนที่เต็มไปด้วยความสับสน

“มันก็เพื่อที่จะหาวิธีการ วิธีการที่จะสามารถจัดการเจ้าพวกนั้นได้ ไม่สิ มันไม่ใช่แบบนั้น มันก็แค่วิธีการที่จะจัดการเจ้าอารูคอนตรงนั้นได้”

จากนั้นคาริมจึงยกสิ่งที่อยู่ในมือของเขาขึ้น

ข้อมูล

“นี่คือข้อมูลเกี่ยวกับอารูคอนและเผ่าพันธุ์ชั้นสูงที่ฉันได้เก็บรวบรวมมา”

“อะไรนะ? ได้ยังไง?”

คาริมยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“มันไม่ใช่ว่าฉันเป็นคนรวบรวม แต่มันคือสิ่งที่ถูกส่งต่อกันลงมาโดยพวกหัวหน้าหมู่บ้านและหัวหน้าการ์ด มันไม่ใช่สิ่งที่คนคนเดียวจะสามารถทำให้เสร็จสมบูรณ์ได้”

เอคิดูขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดของคาริม

“งั้นทำไมฉันถึงไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้? แล้วคนอื่นๆ ล่ะ?”

คาริมส่ายศีรษะ

“คิดดูสิ คิดดูว่าถ้าคนอื่นๆ รู้ว่าเรากำลังรวบรวมข้อมูลแบบนี้เอาไว้ เธอคิดว่าพวกเขาจะแสดงท่าทีต่อดาคิดัสที่มาเก็บเครื่องสังเวยยังไง?”

“อืมม…”

เอคิดูผงกศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

มันมีความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างท่าทีของคนที่เตรียมตัวจะตอบโต้และคนที่จมอยู่ในความสิ้นหวังเมื่อไม่อาจที่จะรับรู้อะไรได้สักอย่าง

ถ้ามีบางอย่างไปถึงหูของดาคิดัสที่สามารถได้ยินและมองเห็นทุกอย่าง งั้นทั้งหมู่บ้านก็จะตกอยู่ในอันตราย

“การที่ฉันเก็บมันไว้ไม่ได้มีความหมายอะไรมากนัก มันก็แค่เพราะมันถูกกำหนดมาให้มอบให้กับคนคนหนึ่งที่สามารถเชื่อถือได้และมีอำนาจมาก ถ้าฉันออกจากหมู่บ้านไป เอกสารนี่ก็จะถูกส่งต่อให้กับเธอ เอคิดู จะยังไงก็เถอะ นี่ไม่ใช่ส่วนสำคัญ ข้อเสนอของฉันง่ายมาก… ไปยึดป้อมปราการดาวเทียมนั่นกันเถอะ”

“พวกเราเนี่ยนะ ควบคุมมัน?”

ทุกคน รวมทั้งเอคิดูหัวเราะ

ป้อมปราการดาวเทียมนั่นมีประโยชน์จริงๆ

ในเมื่อพวกเธอเองก็รู้ว่ามันใช้ทำอะไรได้บ้างเช่นกัน

แต่ถ้ามันเป็นไปได้ล่ะ?

อารูคอนจะปล่อยพวกเธอไปเฉยๆ อย่างนั้นเหรอ?

เหตุผลที่ทำให้มนุษย์สามารถมีชีวิตรอดมาได้จนถึงตอนนี้เป็นเพราะพวกเธอได้ถูกทำราวกับเป็นของเล่นจากพวกเผ่าพันธุ์ชั้นสูงและถูกเมินไปเสียส่วนมาก

แต่ถ้าพวกนั้นคิดว่ามนุษย์เป็นอันตรายกับพวกนั้นขึ้นมาล่ะ?

มันไม่จำเป็นแม้แต่ต้องคิดด้วยซ้ำ

พวกนั้นก็แค่ต้องนำป้อมปราการดาวเทียมมาและลบพวกเธอออกไป

ถ้าพวกเธอยึดป้อมปราการดาวเทียมนั่น?

‘ไม่มีทาง’

กองกำลังหลักของพวกนั้นจะปรากฏตัวขึ้นและทำลายป้อมปราการดาวเทียมนั่น

คาริมผงกศีรษะราวกับว่าเขาอ่านความคิดของทุกคนได้

“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น คิดดูสิว่าบนนั้นจะมีสมบัติมากแค่ไหน มันคือป้อมปราการดาวเทียมของดาคิดัส มันจะเทียบกับคลังแสงของหมู่บ้านได้ยังไง?”

ขุมสมบัติที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา

สนามรบที่พวกเขาอาจจะตายได้

มันชัดเจนว่าตัวเลือกไหนที่พวกเขาจะเลือก

ตอนที่แมคคิลมองไปยังคาริมด้วยสีหน้าไม่พอใจ

ดวงตาของผู้คนที่อยู่รอบๆ ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความโลภ

“เราขอดูหนังสือนั่นหน่อยได้ไหม?”

กระทั่งเอคิดูยังเริ่มเดินไปยังคาริมอย่างช้าๆ

 

 

 

ตูมมมมม!

ตูมมม!

ฮันซูและดาคิดัสได้เข้าปะทะกันที่ใจกลางหมู่บ้านอย่างรุนแรง

ทุกครั้งที่กรงเล็บของดาคิดัสปะทะเข้ากับอาวุธในมือของฮันซู ซากสิ่งก่อสร้างที่หลงเหลืออยู่นิดหน่อยก็จะถูกบดขยี้และพังทลายลง

ในตอนที่ฮันซูหลบการโจมตีและขยับถอยหลังหลังจากที่ทำลายกำแพงด้านนอกของคลังแสงไป

ตูมมมม!

กรงเล็บหน้าของดาคิดัสได้ทะลวงผ่านกำแพงไม้และมุ่งตรงไปยังร่างของฮันซู

การโจมตีที่ใช้ประโยชน์จากจากร่างใหญ่โตของมันจนถึงขีดสุด

‘มันดูจะลำบากไปหน่อยที่จะหลบ’

ถ้าเขาสู้จากระยะไกล งั้นมันก็จะหลบได้ง่ายๆ

แต่ฮันซูกำลังสู้กับดาคิดัสในระยะประชิด

ในเมื่อเขารู้ว่าเขาไม่อาจชนะได้จากการหลบเพียงแค่อย่างเดียว

แม้ว่าจะเป็นแค่ขนาดร่างกายของพวกเขา ความแตกต่างของมันก็มากกว่าสองเท่า

และความแตกต่างนั้นกระทั่งเลวร้ายลงในเมื่อเผ่าพันธุ์ของอีกฝ่ายมีขาหน้าที่ยาวกว่า

ถ้าเขาไม่อาจเข้าใกล้ได้ งั้นเขาก็คงไม่อาจทำได้กระทั่งโจมตี

และความจริงแล้ว ร่างกายของดาคิดัสก็ได้ค่อนข้างยับเยินมาสักพักแล้ว

ขนที่ส่องประกายมันเลื่อมบนร่างของเขาเหมือนกับเกราะโซ่ได้ถูกทำลาย และผิวหนังสีดำสนิทราวโลหะได้เต็มไปด้วยบาดแผล

มันไม่ใช่อาการบาดเจ็บแค่สองสามแห่ง

ดาบ หอก ขวาน เคียว โซ่

อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจากอาวุธหลากหลายชนิดได้ทำให้ผิวหนังของดาคิดัสยับเยิน

และทั่วทั้งร่างของเขาก็ชุ่มโชกไปด้วยเลือดเช่นกัน

ทว่าเห็นได้ชัดว่าดาคิดัสคือฝ่ายชนะในการปะทะที่ใจกลางหมู่บ้านที่แสดงให้เห็นถึงโอเอซิสอย่างชัดเจน

ในเมื่อการสู้ในระยะประชิดก็หมายความว่าเขาเองก็ต้องเข้าไปสู่พื้นที่อันตรายเช่นกัน

ตูมมมมม!

ฮันซูไม่อาจหลบการโจมตีของดาคิดัสที่มุ่งตรงมายังเขาได้และรับมันเข้าไป

เอี้ยดดดด!

หอกสายฟ้าโค้งเสียจนแทบจะแตก

ความจริงแล้วมันโค้งเสียจนถึงจุดที่แทบจะหักแล้ว

พลังของดาคิดัสมากถึงขนาดนี้

โดยสรุปแล้ว กระทั่งหอกสายฟ้าก็เป็นแค่อาวุธที่ถูกสร้างขึ้นเป็นอย่างดีหากไม่มีมานา

‘เป็นแบบนั้นไม่ได้’

ทันทีที่ฮันซูเบี่ยงหอกสายฟ้าออก

ฉัวะ!

เล็บสามเล็บที่ส่องประกายโหดเหี้ยมได้พุ่งตรงไปยังทรวงอกของฮันซู ไปยังทหารพันเกราะและเกล็ดมังกร

ทหารพันเกราะก็สมกับการที่มันถูกจัดอยู่ในหมายเลขเดี่ยวและต้านทานพลังโจมตีส่วนมากเอาไว้ ทว่ามันไม่อาจป้องกันพลังทั้งหมดที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีนั้นได้

แรงกระแทกนั้นรุนแรงเสียจนกรงเล็บที่แข็งอย่างมากนั่นหักครึ่งและฝังอยู่บนเกราะ

ตูมมมมม!

ฮันซูไม่อาจต้านทานพลังที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีนั้นได้และกระเด็นออกไปพร้อมกับทหารพันเกราะ

เหมือนกับลูกวอลเลย์บอลที่ถูกตีอย่างรุนแรง

ตูมมมม!

ดาคิดัสเดินตรงไปยังฮันซูที่กระเด็นทะลวงผ่านตึกไปหกตึกและกระแทกลงที่พื้นอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าสบายๆ

ตัวเขาได้รับบาดเจ็บค่อนข้างมาก ทว่าฮันซูเองก็ไม่ต่างกัน

ด้วยร่างกายของเขาเอง

ดาคิดัสที่ผ่อนคลายกว่าก่อนหน้ามากได้จัดระเบียบความคิดของเขาในขณะที่ต่อสู้และได้นึกบางอย่างออก

ว่าทำไมมานาทั้งหมดจึงถูกผนึก

ทำไมอัททิลลาน ป้อมปราการดาวเทียม จึงหยุดทำงาน และทำไมมานาในร่างของเขาที่ไหลเวียนอยู่ก่อนหน้าจึงได้ถูกแช่แข็งอย่างสมบูรณ์

แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว

“คิฮี่ฮี่ฮี่ฮี่ ไอ้สารเลวอวดดีเอ้ย กล้ามาเผชิญหน้ากับฉันด้วยของแค่นั้นน่ะนะ?”

มันเป็นไปไม่ได้ถ้ามีเพียงแค่พลังของมนุษย์

ไม่สิ มันเป็นไปไม่ได้แม้ว่าจะเป็นสามเผ่าพันธุ์ชั้นสูง รวมทั้งอารูคอน

มีเพียงแค่พวกขี้แพ้ที่จมลงไปใต้ฝ่าเท้าของพวกเขา

มีเพียงแค่อาร์ติแฟคของเจ้าพวกนั้นที่ทำอะไรแบบนี้ได้

หยกผนึก

มันยอดเยี่ยมจริงๆ

แต่มันก็ยังคงมีขีดจำกัดอยู่

ในเมื่ออัททิลลานจะฟื้นฟูในไม่ช้า

แน่นอนว่าทุกอย่างจะจบลงถ้าเขาตายก่อนที่มันจะเกิดขึ้น แต่ดาคิดัสกำลังมีความสุข

‘เมื่อมันฟื้นฟูแล้ว ฉันควรจะกลับไปที่ฐานหลักแล้วเติมมานาคริสตัล’

ในเมื่อเขาไม่รู้ว่าจะมีปัญหาอะไรที่ไม่อาจล่วงรู้เกิดขึ้นหรือไม่ มันจะดีกว่าในการกลับไปยังฐานหลักและเติมเสบียง

ฮันซูไม่ได้เอ่ยตอบคำพูดเหล่านั้น ดึงกรงเล็บของดาคิดัสออก และนำมันให้ทหารพันเกราะกิน

กร๊อบ กร๊อบ

เกราะหน้าตาประหลาดได้อ้าปากของมันออกและกลืนกรงเล็บของดาคิดัสลงไป

ส่วนที่ฉีกขาดแตกหักของเกราะได้หดลงเล็กน้อยและสีของมันก็เข้มขึ้นนิดหน่อย

ราวกับว่ามันได้พัฒนาขึ้นหลังจากที่กินกรงเล็บเข้าไป

‘… นี่คือสาเหตุที่ทำให้การโจมตีของฉันไม่ได้ผลก่อนหน้านี้งั้นเหรอ ฉันเดาว่ามันคงทำงานได้แม้ว่าจะไม่มีมานา เป็นเพราะว่ามันมีชีวิตรึเปล่า?’

การโจมตีก่อนหน้าควรจะฉีกเกราะของเจ้านั่นให้เป็นชิ้นๆ ไปได้แล้ว

แต่หมอนั่นยังคงต้านเอาไว้ได้และยังสู้กับเขาต่อ

ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะเจ้าเกราะพิเศษนั่น

‘อืม จะยังไงก็เจ้านั่นก็เหลือเวลาไม่มากแล้ว’

คาดิดัสหัวเราะ

“จะยังไงก็เถอะ ทำไมเพื่อนของแกถึงไม่มาช่วยแกพร้อมกำลังเสริมซะทีล่ะ? ฮี่ฮี่ มันก็ผ่านมาสักพักแล้วนะที่พวกนั้นควรจะมาถึงที่นี่”

ฮันซูหัวเราะขณะที่เขามองไปยังสีหน้าของดาคิดัสที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

“ทำไมแกถึงได้มั่นใจขนาดนั้น?”

กระทั่งดาคิดัสก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ผ่อนคลายจริงๆ

ถ้าเอคิดูมาพร้อมกับกำลังเสริม งั้นหมอนั่นก็จะตาย ไม่ว่ายังไงก็ตาม

ดาคิดัสหัวเราะขณะที่เขาเอ่ยขึ้น

เขาสงสัยนิดหน่อย แต่มันชัดเจนหลังจากที่เขามาไกลขนาดนี้

“ฉันควรจะบอกแกไหมในเมื่อแกจะตายในไม่ช้านี้แล้ว? กำลังเสริมของแกจะไม่มีวันมา นั่นเป็นเพราะ…”

ดาคิดัสที่หยุดพูดไปกลางคันกำลังกลั่นแกล้งฮันซูอย่างชัดเจน

ฮันซูเอ่ยแทรกดาคิดัสขึ้นมาและเอ่ยประโยคของอีกฝ่ายต่อให้สมบูรณ์

“มันเป็นเพราะปลาเน่าสินะ?”

“…”

ดาคิดัสชะงักไปขณะที่เขามองไปยังฮันซู

“ฉันเดาว่าแกคงรู้อะไรบางอย่าง”

ฮันซูหัวเราะ

“อืม ฉันไม่รู้รายละเอียดหรอก แต่ฉันรู้เกี่ยวกับคนที่สร้างหมู่บ้านนี่ขึ้นมาไม่น้อย แกก็รู้”

คลีเมนไทล์

หัวหน้าหมู่บ้านคนแรก

‘ชื่อที่น่าคิดถึงอยู่บ้าง’

มันมีคนแค่ไม่กี่คนที่รู้เกี่ยวกับชื่อนั้น

ในเมื่อฉายาของเธอมันโด่งดังกว่าชื่อของเธอในโลกของเขา

‘กษัตริย์วิปลาส*’

ผู้ที่นำพามนุษย์สู่ความล่มสลาย

โอเอซิสคือหนึ่งในหมู่บ้านพักรบที่กษัตริย์วิปลาสสร้างขึ้น

‘เอคิดู เธอตัดสินใจ ว่าใครคือคนที่กษัตริย์วิปลาสทิ้งเอาไว้’

เขาไม่อาจบอกได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายคือใคร

แต่ถ้ามันมีร่องรอยของกษัตริย์วิปลาสอยู่ งั้นมันก็จะปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน

ในตอนนี้เอง

‘และ… ในตอนที่หมู่บ้านกำลังล่มสลายคือโอกาสที่ดีที่สุดในการลบร่องรอยนั่น’

และมันจะกลายเป็นประโยชน์

‘คลีเมนไทล์ ฉันจะขุดรากถอนโคนพวกเศษเดนของแกออกมาให้หมด’

 

 

 

 

“อ๊ากกกก!”

“เอคิดู! ทำไมกัน!”

ผู้คนตื่นตระหนกขณะที่พวกเขามองไปยังคาริมและเอคิดู

ในเมื่อเอคิดูที่กำลังเข้าใกล้คาริมเพื่อพูดคุยพลันเหวี่ยงหมัดขวาของเธอออกไป

อืม ความจริงแล้วเอคิดูพยายามจะทะลวงหัวใจของคาริม ทว่ามันพลาดเพราะคาริมได้ถอยหลังออกไปโดยที่ยอมสละแขนขวา

“นายปกปิดความสามารถเอาไว้งั้นเหรอ”

เอคิดูพึมพำขณะที่มองไปยังคาริม

เธอมักจะคิดว่าเธอจะชนะถ้าเธอสู้กับคาริมแม้ว่าจะไม่มีมานาหรือสกิล

แต่การเคลื่อนไหวที่คาริมแสดงให้เธอเห็นก่อนหน้านี้มันต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

พรวด พรวดด

คาริมไม่ได้หวาดกลัวแม้ว่าจะถูกตัดแขนไปข้างหนึ่งและทำเพียงมองสลับไปมาระหว่างแขนของเขาและเอคิดู

ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา

“เธอรู้ได้ยังไง?”

จากนั้นเอคิดูจึงจับมีดที่ติดอยู่ที่ถุงมือของเธอที่ออกมาจากเกราะหยางโลหิตแล้วคิดถึงคำพูดของฮันซูก่อนหน้านี้

“เธอรู้ได้ยังไง?”

<เท่าที่ฉันเห็น มันไม่ใช่เธอ ถ้ามันมีคนที่สร้างความวุ่นวายขึ้นในหมู่บ้าน และคนคนนั้นอาศัยอยู่ในหมู่บ้านมานานกว่าเธอ และถ้าข้อเสนอของมันเป็นประโยชน์กับเผ่าพันธุ์ชั้นสูงมากกว่ามนุษย์ไม่ว่าจะเป็นทางไหนที่เธอเห็น งั้น… ฆ่าพวกมันอย่างไม่ต้องลังเล>

‘หมู่บ้านที่ฉันปกป้องมานานขนาดนี้…’

กับการที่มันถูกสร้างขึ้นโดยข้อตกลงระหว่างเผ่าพันธุ์ชั้นสูงและคนทรยศของเผ่าพันธุ์มนุษย์

‘ไอ้พวกสารเลว’

เอคิดูกัดฟันกรอด

 

 

 

 


TL: เนื่องจากคำนี้ในภาษาเกาหลีมันคล้ายๆ กันทำให้ต้นฉบับแปลผิดมาสักพัก กษัตริย์วิปลาส=กษัตริย์แห่งแสง นะคะ