บทที่ 164: เทวาที่ร่วงหล่น (2)

 

 

 

หมู่บ้านลุกท่วมด้วยเปลวเพลิง

ดาคิดัสยืนอยู่ที่ใจกลาง

ด้วยภาพลักษณ์ราวกับนักเชือด

โผล๊ะ

“คิฮี่ฮี่ฮี่ฮี่ฮี่”

ดาคิดัสบดขยี้ร่างใต้เท้าของเขาก่อนจะเลียกรงเล็บของเขาหลังจากที่รู้สึกถึงสัญชาตญาณเก่าแก่ที่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง

‘มันดีกว่าที่ฉันคิดเอาไว้นะเนี่ย?’

ตอนแรกที่เขาตกลงมาเขารู้สึกสบสัน

ในเมื่อสถานการณ์ที่ไร้เหตุผลกระทั่งในจินตนาการของเขาได้เกิดขึ้น

กับการที่อัททิลลานร่วงลงมา

มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

แต่กระทั่งก่อนหน้าที่เขาจะสามารถตั้งรับกับความสับสนได้ ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งก็ได้เข้ามาแทนที่

ความกลัว

มันคือสิ่งที่เขาไม่ได้รู้สึกมานานมากแล้ว

มันอาจจะต่างออกไปสำหรับผู้ป้องกันที่รับมือกับเผ่าอื่นๆ แต่เขา ผู้รวบรวม ไม่จำเป็นต้องไปอยู่ในสถานการณ์อันตราย

ทันทีที่ความสามารถของอัททิลลานที่คอยปกป้องเขาอยู่หายไป พวกแมลงก็กรูมาที่เขา

ดาคิดัสที่สูญเสียเกราะอันไร้เทียมทานไปรู้สึกถึงความกลัวที่คืบคลานเข้ามาจากมุมหนึ่งของจิตใจ

ในเมื่อความคิดที่ว่าเขาอาจจะถูกฆ่าตายอยู่ที่นี่ได้ปรากฏขึ้นในสมองของเขา

หากไม่มีอัททิลลาน สกิลและของเล่นของพวกมนุษย์ก็เกินกว่าพอในการฆ่าเขา

ไม่สิ หากนับทุกอย่างที่เขาทำกับพวกนั้น แค่ถูกฆ่าเฉยๆ ก็นับว่าเป็นจุดจบที่ดีแล้ว

เขาคำรามเสียงดังลั่นเพื่อที่จะข่มความรู้สึกที่ทำให้เขารู้สึกกระวนกระวาย สิ่งที่บอกเขาว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะถูกจับไม่ได้ และได้ทำลายพวกมนุษย์ทั้งหมดอย่างบ้าคลั่งเพื่อที่จะเปิดทางให้ตัวเอง

แล้วก็ตระหนักขึ้นได้

ว่ามานาของเจ้าพวกนี้เองก็ถูกผนึกเอาไว้

ในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกสองอย่างก็ได้พลุ่งพล่านในใจของเขา

ความโล่งอก

และความโกรธ

ถ้าเจ้าพวกนี้ใช้มานาไม่ได้ งั้นพวกมันก็ไม่อันตรายอีกต่อไป

ในเมื่อความแตกต่างระหว่างร่างกายของพวกนั้นและของเขานั้นเหมือนความแตกต่างระหว่างฟ้ากับดิน

ทันทีที่ความโล่งอกลบความหวาดกลัวออกไป ความกราดเกรี้ยวก็ได้ปรากฏขึ้นตามลำดับ

ความโกรธเกรี้ยวได้ท่วมท้นไปทั่วทั้งร่างของเขา

กับการที่เจ้าแมลงพวกนี้กล้าท้าทายเขา

ดาคิดัสไม่ต้องการจะยอมรับความหวาดกลัวที่ไหลบ่ามายังเขาตอนที่เขาตกลงมาจากท้องฟ้า

เขาต้องลบมันให้หมด

พวกแมลงที่ได้เห็นท่าทีน่าขายขี้หน้าของเขา

ดาคิดัสบดขยี้และฉีกกระชากมนุษย์เป็นชิ้นๆ

มันนานแค่ไหนแล้ว

หลังจากที่สู้ไปพักใหญ่ ความรู้สึกที่เติมเต็มในจิตใจของดาคิดัสไม่ใช่ความกราดเกรี้ยว

มันไม่ใช่ความหวาดกลัวหรือความเหนือกว่าเช่นกัน

‘หืมมม ฉันก็สงสัยอยู่ว่าทำไมพวกอาคาลาเชียได้เล่นออกล่ากัน…’

อาคาลาเชียทำเรื่องประหลาด

ปลดการป้องกันของป้อมปราการดาวเทียมออกด้วยตนเองและลงไปล่าพวกมนุษย์ด้วยร่างกายของพวกมัน

เทคโนโลยีของพวกเขาที่รวมถึงป้อมปราการดาวเทียมได้มอบพลังที่ไม่อาจเทียบกับมนุษย์พวกนั้นได้ให้กับพวกเขา

ในทางกลับกัน ถ้าพวกเขาไม่มีการป้องกันจากป้อมปราการดาวเทียม งั้นพวกมนุษย์ก็จะค่อนข้างอันตราย

และอาคาลาเชียหนึ่งในสิบตัวก็ตายหรือได้รับบาดเจ็บสาหัสในระหว่างที่เล่นออกล่าเหยื่อ

ดาคิดัสและเผ่าของเขา อารูคอน ได้หัวเราะเยาะพวกอาคาลาเชีย

บางทีมันอาจจะเป็นเพราะว่าพวกนั้นเป็นนก แต่มันดูเหมือนว่าพวกนั้นจะมีสมองเหมือนนกจริงๆ จากการกระทำของพวกนั้น

อารูคอนหัวเราะเยาะพวกนั้นจนพวกนั้นจนถึงจุดที่ต้องส่งคำเตือนไป

ว่าให้หยุดทำให้ศักดิ์ศรีของเผ่าพันธุ์ชั้นสูงสกปรกและทำตัวให้มันเหมาะสมซะที

แต่เขารู้แล้วในตอนนี้

มันมีเหตุผลว่าทำไมเจ้าพวกนั้นจึงแข็งแกร่งแม้ว่าจะมีจำนวนน้อย

ความรู้สึกที่ท่วมท้นในความคิดของดาคิดัสหลังจากที่ต่อสู้มาพักใหญ่คือความสุขในชัยชนะ

ความรู้สึกที่เขาไม่อาจรับรู้ได้ในช่วงเวลาที่ถูกปกป้องจากอัททิลลาน

สัญชาตญาณของเขาที่หลับใหลอยู่ภายในสายเลือดและพันธุกรรมของเขาและไม่เคยปรากฏขึ้นมาพลันระเบิดออกในระหว่างการต่อสู้

จนถึงจุดที่ทำให้ดาคิดัสประหลาดใจ

นี่คือความรู้สึกที่เขาไม่อาจรับรู้ได้ตอนที่ใช้พลังของป้อมปราการดาวเทียม

เขาสามารถฆ่าพวกนั้นได้เพียงแค่ดีดนิ้ว และการโจมตีของพวกนั้นก็ไม่อาจสร้างได้แม้แต่รอยขีดข่วน

ทำไมเขาถึงต้องกระวนกระวายด้วย?

เขาไม่ได้รู้สึกกระวนกระวายแม้แต่น้อย

ความกระหายในการต่อสู้ไม่เคยปรากฏขึ้นในตัวของเขา

ในเมื่อไม่มีใครจะรู้สึกแบบนั้นถ้าเผชิญหน้ากับมดปลวก

แต่ตอนนี้มันต่างออกไป

แม้ว่าพวกนั้นจะยังคงอ่อนแอ อาวุธของพวกนั้นก็ยังคงกระตุกประสาทของเขาและประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขาได้แหลมคมขึ้นเพื่อที่จะทำลายพวกมนุษย์ที่พุ่งเข้ามาหาเขาเพื่อที่จะทำร้ายเขา

ฮอร์โมนได้ระเบิดออกไปทั่วร่างของเขาและหัวใจของเขาสั่นสะท้านราวกับมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นภายในนั้น

ดาคิดัสพึมพำกับความพึงพอใจที่ท่วมท้นร่างกายของเขาอย่างไม่รู้ตัว

‘ตอนกลับไปฉันคงต้องไปสนุกสักหน่อย’

ดาคิดัสที่กลับมาผ่อนคลายคำรามอย่างยินดี

พวกที่เหลืออยู่เห็นความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายและวิ่งหนีไปยังทุกทิศทาง รวมทั้งป้อมปราการดาวเทียม อัททิลลานเองก็กำลังฟื้นฟูอย่างช้าๆ

แม้ว่ามันจะยังคงร่วงลงมาทีล่ะนิด มันก็จะไม่ร่วงลงมาที่เดียว

มันอาจจะต้องใช้เวลาสักพัก แต่มันย่อมปลอดภัยถ้าทุกอย่างยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป

‘ไอ้พวกแมลงบัดซบนี่ ถ้าพวกมันรุมเข้ามาทีเดียวมันคงจะอันตราย แต่พวกมันก็แค่นี้เอง’

กับการที่พวกนั้นพลาดโอกาสเดียวในการที่จะฆ่าเขา

อืม จะยังไงก็เถอะ มันก็ดีสำหรับเขา

‘ฉันควรจะเล่นอีกสักหน่อยก่อนจะไป’

ทันทีที่ดาคิดัสผ่อนคลายกล้ามเนื้อของเขาลงเพื่อที่จะล่าต่อ

วูบบบบ!

บางอย่างได้พุ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว

หูทั้งสองข้างของดาคิดัสกระดิก

และขนทั่วทั้งร่างของเขาก็ลุกชันขึ้นในเวลาเดียวกัน

นี่มันไม่ธรรมดา

มันต่างออกไปจากการโจมตีทั้งหมดก่อนหน้านี้

การโจมตีที่สามารถทะลวงผ่านผิวหนังของเขาได้ถ้ามันโดน

“กรรรรร!”

ดาคิดัสหมุนตัวกลับอย่างลนลาน คำรามออกไป ก่อนจะฟาดสิ่งที่พุ่งเข้ามาหาเขาทิ้งด้วยมือของเขา

เคร้ง!

สิ่งที่พุ่งเข้ามาได้กระแทกไปยังกรงเล็บของดาคิดัสก่อนจะร่วงลงบนพื้น

และน่าแปลกที่รอยแตกได้ปรากฏขึ้นบนเล็บที่แข็งราวกับเหล็กของเขา

ซึ่งพิสูจน์ได้ถึงพลังของการโจมตีนั้น

‘นี่มันบ้าอะไรกัน?’

ดาคิดัสตรวจสอบรอยแตกบนกรงเล็บของเขา และกระทั่งตรวจสอบสิ่งที่พุ่งเข้ามาหาเขา

‘… ดาบ?’

มันเป็นของเล่นที่ระดับค่อนข้างสูงด้วย

แคร่ก!

ดาบที่สร้างรอยแตกขึ้นบนกรงเล็บของเขาไม่อาจรองรับการปะทะนั้นได้และหักเป็นสองส่วน

แม้ว่ามันจะไม่ได้ถูกป้องกันโดยมานา มันก็ยังคงเป็นโลหะอยู่

ซึ่งหมายความว่าใครบางคนได้ขว้างสิ่งนี้มาแรงจนถึงจุดที่โลหะหักเป็นสองท่อนจากแค่เพราะแรงปะทะ

มันไม่ใช่พลังที่ใครบางคนที่ไม่มีมานาจะสามารถใช้ออกได้

‘ไอ้บ้าที่ไหนที่มีแรงมากขนาดนี้…’

หลังจากที่ตรวจสอบของที่พุ่งเข้ามาแล้ว ดาคิดัสก็หันหน้าไปอีกครั้ง

ก่อนจะหยุดลง

“เป็นแกเองงั้นเหรอ เจ้ามนุษย์โลภมาก”

มนุษย์ที่ได้ครอบครองสายตาของเขาไว้แต่เพียงผู้เดียว

ดาคิดัสขมวดคิ้วขณะที่มองฮันซูเดินเข้ามาใกล้เขาพร้อมกับอาวุธจำนวนมากที่ห้อยอยู่เต็มร่าง

ความรู้สึกถึงอันตรายเพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้า

ดาคิดัสไม่ได้โง่

เขาได้ถือดีอย่างมากจนถึงตอนนี้

นั่นเป็นเพราะเขามีเหตุผลที่ทำให้เขาทำแบบนั้นได้

แต่สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ใช่สถานการณ์ที่เขาจะสามารถทำตัวแบบนั้นได้

ประสาทสัมผัสทั้งหกของเขากำลังร้องเตือนถึงฮันซู

เขาต้องแยกแยะว่าตอนไหนที่เขาควรจะอวดดีและตอนไหนที่ไม่ควร

“บรู๋วววววว”

ขนระหว่างกรงเล็บของเขางอกออกมายาวขึ้น

ขนที่งอกออกมาได้พันกันและเริ่มสร้างชั้นเกราะโลหะเหนือผิวหนังของเขา

พรึ่บบบ

ขนที่แข็งแกร่งอยู่แล้วแต่เดิมพลันกลับกลายเป็นเหมือนกับเกราะโซ่และปกคลุมผิวหนังของเขาเอาไว้

พลังที่หลบซ่อนอยู่ลึกในพันธุกรรมของเขาและไม่ได้ใช้มานานในเมื่อมันไม่มีความจำเป็น

ดาคิดัสที่กลายเป็นสัตว์อสูรกึ่งเกราะได้เอ่ยขึ้นกับฮันซู

“แกไม่มีความรู้สึกกลัวเลยรึไง แค่แกคนเดียวจะทำอะไรได้?”

ตัวเขากำลังกระวนกระวายเมื่อเผชิญหน้ากับฮันซู

ในเมื่อฮันซูให้ความรู้สึกอันตรายไม่น้อยสำหรับเขา

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขารู้สึกเหมือนว่าเขาจะแพ้

ไม่สิ ความจริงแล้วดาคิดัสกำลังค่อนข้างพอใจ

ในเมื่อความกระหายการต่อสู้ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งเพราะความกระวนกระวายที่เขารู้สึก

ความกระหายที่เขาไม่อาจเติมเต็มได้จากแมลงพวกนั้นที่หนีไปในระหว่างการต่อสู้

ฮันซูหัวเราะใส่ดาคิดัส

‘เขามั่นใจงั้นสินะ’

เขาสามารถบอกได้จากสีหน้าของดาคิดัส

สีหน้าแบบนั้นจะไม่ปรากฏขึ้นถ้ามีความคิดถึงความเป็นไปได้ในการพ่ายแพ้

ในเมื่อดาคิดัสควรรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามันแพ้

ดาคิดัสเอ่ยขึ้นต่อขณะที่เขามองไปยังฮันซู

“อืม ฉันก็พอจะเดาแผนของแกได้”

ดาคิดัสไม่ได้โง่

เอคิดูอาจจะพากำลังเสริมมาในระหว่างที่อีกฝ่ายซื้อเวลาเอาไว้

มันเป็นแผนที่เรียบง่ายทว่ายอดเยี่ยม

เพราะเขาจะไม่อาจหนีไปได้และถูกรั้งเอาไว้โดยกำลังคนของเอคิดู

ทันทีที่คนของเอคิดูมา เขาจะตายโดยที่ไม่อาจทำอะไรได้

แต่มันจะเป็นไปได้จริงๆ เหรอ?

‘เจ้าโง่เอ้ย แกก็เห็นว่าฉันฝึกคนเอาไว้ไม่น้อยก่อนที่แกจะทำได้’

สุนัขที่ถูกเฆี่ยนตีตั้งแต่เด็กยากที่จะจากไปได้แม้ว่ามันจะถูกปล่อยก็ตาม

เหมือนกับการที่เผ่าพันธุ์ของพวกเขาเคยเป็นในอดีต

และถ้ามันมีทางออกเหมือนกันล่ะ?

‘ระบบของอัททิลลานถูกแช่แข็ง แต่… แค่นี้ก็น่าจะพอ’

คว้างงงง

เมื่อดาคิดัสคิด

แสงอ่อนจางใต้อัททิลลานที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้าก็พลันสว่างขึ้น

แต่มันก็แค่นั้น

ทว่าดาคิดัสได้มองไปยังหมู่บ้านด้วยสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

 

 

 

ตูม! ตูมมมมม!

เอคิดูทะยานร่างผ่านซากสิ่งก่อสร้างที่หลงเหลืออยู่และรีบมุ่งหน้าไปยังบางแห่ง

ในเมื่อมันชัดเจนว่าพวกที่หนีไปจะมุ่งหน้าไปที่ไหน

‘พื้นที่สิบสาม’

พื้นที่สิบสาม

ทางเข้าสู่จุดเริ่มต้นของถนนสีเขียว

ในสถานการณ์แบบนี้ที่พวกเขาได้สร้างความโกรธเคืองให้กับเผ่าพันธุ์ชั้นสูง ถนนสีเขียวคือสถานที่แห่งเดียวที่พวกเขาจะสามารถหลบเลี่ยงความโกรธแค้นของอารูคอนได้

ถนนสีเขียว

ถนนที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์ชั้นสูง

มันเป็นสาเหตุให้มันปลอดภัย

ในเมื่อกระทั่งผู้ปกป้องของอารูคอนก็ไม่อาจที่จะใช้ป้อมปราการดาวเทียมของพวกเขาร่อนไปมาได้

ตูมมม! ตูมมมมม!

คนจำนวนมากได้ปรากฏขึ้นในสายตาของเอคิดูหลังจากที่เธอวิ่งไปสักพัก

ผู้คนที่กำลังหลบหนีไปด้วยร่างกายของพวกเขาโดยไร้ซึ่งสกิลแม้แต่สกิลเดียว

‘เยี่ยม มันยังไม่สายเกินไป’

ตูมมมม!

เอคิดูกระโดดด้วยการใช้ตึกแห่งหนึ่งเป็นฐานและขวางทางเข้าออกสู่พื้นที่สิบสามเอาไว้

ครืนนนน

ผู้คนที่กำลังวิ่งอยู่ชะงักไปกับสิ่งที่ได้ลอยลงมาจากท้องฟ้าและก้าวถอยหลัง

เผื่อว่าดาคิดัสจะไล่ตามพวกเขามา

แต่พวกเขาก็เริ่มตะโกนอย่างเร่งรีบเมื่อเห็นว่าใครที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางม่านฝุ่น

“เอคิดู! ทำอะไรของเธอ! ถอย!”

“เร็วเข้า! เราไม่รู้ว่าเจ้านั่นจะตามเรามาเมื่อไหร่!”

ทุกคนกำลังเร่งรีบ

แน่นอนว่าพวกเขาต้องรู้สึกแบบนั้น

ดาคิดัสจะทำยังไงถ้าเขาได้สติแล้ว?

แน่นอนว่ามันต้องเป็นการฆ่าล้างพวกมดแมลง

พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ก็ต่อเมื่อพวกเขารีบเข้าไปในพื้นที่ขัดแย้งของอาคาลาเชีย อารูคอน และรีบีลูงก่อนที่มันจะเกิดขึ้น

การอยู่ในนั้นอาจไม่ได้รับประกันความปลอดภัยของพวกเขาอย่างสมบูรณ์ แต่มันก็ดีกว่าการอยู่ที่นี่มาก

เอคิดูส่ายศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“ทุกคนตื่นได้แล้ว! ไม่ว่าจะยังไงมันก็เป็นแค่หมาตัวหนึ่ง! ถ้าพวกเราทุกคนร่วมมือกันโจมตี ด้วยจำนวนของพวกเรา พวกเราก็ชนะได้!”

เอคิดูอธิบายสถานการณ์

ความแข็งแกร่งของดาคิดัสมากมายจริงๆ

แต่พวกเธอเองก็ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา

พวกเธอคือยอดมนุษย์ที่ถูกฝึกฝนผ่านการต่อสู้หลายปีที่ผ่านมา

และแม้ว่าสกิลจะหายไป ความคล่องแคล่วและแรงที่ได้รับการเสริมจากรูนก็ยังคงอยู่

พวกเขาทุกคนคือสิ่งมีชีวิตที่กระทั่งกองทัพในโลกแห่งความเป็นจริงยังยากจะรับมือ

ทุกคนเหลือบมองกันเมื่อได้ยินเช่นนั้น

พวกเขาเองก็รู้

แต่ว่าคนมากมายแค่ไหนกันที่จะตายในระหว่างนั้น?

ภาพการสังหารหมู่ที่ดาคิดัสได้แสดงให้พวกเขาเห็นก็ยังคงดูอันตรายเกินกว่าที่พวกเขาจะพุ่งเข้าไปด้วยความเป็นไปได้เพียงน้อยนิด

ในตอนนั้นเอง

คว้างงงงง

ประกายแสงได้สว่างวาบที่ด้านใต้อัททิลลานที่ลอยอยู่กลางอากาศ

เป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงน้อยนิด

แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะข่มขู่ผู้คน

“บ้าเอ้ย… ไอ้นั่นมันกำลังจะทำงานแล้วเหรอ?”

เอคิดูกัดฟันกรอดหลังจากที่ได้ยินเสียงพึมพำของผู้คน

ผู้คนที่ไม่กระทั่งรู้ว่าฮันซูคือเชือกฟางเส้นสุดท้ายของพวกเขา

และอัททิลลานที่ส่องประกายอยู่บนท้องฟ้าที่ดูเหมือนว่าสามารถโจมตีพวกเธอได้ตลอดเวลา

เธอได้ยินมาว่ามันจะไม่ทำงานไปอีกสักพักจากคำพูดของฮันซู

แต่ขาของเอคิดูก็สั่นสะท้านเช่นกันเมื่อคิดถึงปริมาณของผู้คนที่ได้ถูกแสงนั้นลบหายไป

แม้ว่าจะเป็นท่ามกลางความวุ่นวายนี้ ผู้คนก็ยังคงแบ่งแยกเป็นสองฝ่าย

ผู้ที่ไม่อาจอดกลั้นความโกรธแค้นที่มีต่อดาคิดัสได้อีกต่อไปและกำลังจะพุ่งกลับเข้าไป

และผู้ที่ยืนนิ่งอยู่กับที่เพราะพวกเขาไม่อาจลบความกลัวที่พวกเขามีต่ออีกฝ่ายไปได้

ในตอนนั้นเอง

“เอคิดู! ฉันมีความคิดที่ดีกว่านั้น!”

เอคิดูหมุนตัวกลับและมองไปยังผู้ที่เอ่ยประโยคนั้นออกมา

ก่อนจะขมวดคิ้ว

“…คาริม?”

หัวหน้าการ์ด คาริม

ผู้ปกป้องที่ภักดีของหมู่บ้าน

คนอื่นอาจจะต่างออกไป แต่คำพูดของคาริมนั้นยากจะเพิกเฉยได้

เอคิดูเอ่ยขึ้นกับคาริม

“ความคิดของนายคืออะไร คาริม?”

คาริมชี้ไปยังท้องฟ้า

หรือจะพูดให้แม่นยำไปกว่านั้น ชี้ไปยังป้อมปราการดาวเทียม อัททิลลาน ที่ยังคงลอยอยู่สูงบนท้องฟ้า

อัททิลลานที่ร่วงลงมาค่อนข้างมากจนในตอนนี้อยู่ในระดับที่สามารถกระโดดจากหน้าผาใกล้ๆ ขึ้นไปได้แม้จะไม่ใช่สกิล

คาริม ผู้ที่ชี้ไปยังอัททิลลานเอ่ยขึ้น

“เราจะยึดเจ้านั่นในระหว่างที่ฮันซูซื้อเวลาให้เรา”

“… เจ้านั่น?”

คาริมเอ่ยขึ้นอย่างมั่นใจกับท่าทีของเอคิดู

“แบบนี้มันช่วยได้มากกว่า สำหรับเจ้าเด็กฮันซูแสนกล้าหาญนั่น”

คาริมนำบางอย่างออกมาจากกระเป๋าของเขา

‘…หนังสือ?’

เอคิดูจ้องไปยังคาริม