บทที่ 166: บททดสอบ (1)

 

 

 

ตูมมมม!

ตูมมมมมม!

ดาคิดัสโจมตีไปยังฮันซูที่อยู่ด้านหน้าเขา

มนุษย์ที่สามารถเผชิญหน้ากับเขาได้อย่างน่าประหลาดใจแม้ว่าจะไร้ซึ่งมานา

แม้ว่าฮันซูจะกำลังถูกไล่ต้อน กับการที่สามารถสู้กับเขาได้ขนาดนี้ก็สุดยอดแล้ว

‘ถ้ามันมี… คนแบบเจ้าฮันซูนี่สักสองคน งั้นฉันก็คงตายไปนานแล้ว’

มนุษย์น่าสงสัยที่รู้ในหลายๆ อย่างและมีความลับมากมาย

ความทรงจำในอดีตได้ปรากฏขึ้นเมื่อเขามองไปยังฮันซูที่อยู่ด้านหน้าเขา

มนุษย์สามคนที่กวาดล้างเขตสีเหลืองทั้งเขตด้วยตนเอง

‘ใช่แล้ว เหมือนกับพวกนั้น… เขามีส่วนที่จะมีโอกาสเป็นตัวอันตรายได้’

อดีต

พวกเขา อารูคอน อาคาลาเชีย และรีบีลูงได้ไล่พวกที่พ่ายแพ้ออกไปและสู้กันเองเพื่อความเป็นหนึ่ง

อืม จริงๆ แล้วแต่ก่อนมันมีทั้งหมดสี่เผ่าพันธุ์ ไม่ใช่สาม

ในเมื่อตอนนั้นยังมีเผ่าพันธุ์ที่ถูกเรียกว่ามาครอนอยู่

จะยังไงก็เถอะ ทั้งสี่เผ่าได้ต่อสู้กันเองทุกวัน

มันไม่มีเวลาให้หยุดพัก

ทุกคนล้วนเข้าตาจนและศัตรูของพวกเขาไม่ใช่อะไรที่พวกเขาจะประมาทได้

เส้นถูกขีดและดินแดนได้ถูกสร้างขึ้น แต่ดินแดนเหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงไปทุกวันจากการต่อสู้กันของพวกเขา

สงครามที่ป้อมปราการดาวเทียมปะทะกับป้อมปราการดาวเทียม ชนเผ่าปะทะกับชนเผ่า

ทุกคนเหนื่อยล้าจากการต่อสู้ แต่พวกเขาไม่อาจยอมถอยไปจากสงครามนี้ได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

ในเมื่อวัสดุในการอุ้มชูอารยะธรรมของพวกเขา <มานาคริสตัล> เป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่เสมอ

แล้ววันหนึ่ง

‘มันผ่านมาแล้ว 14 ปีรึเปล่านะ?’

เผ่าพันธุ์ใหม่ได้ปรากฏขึ้นจากชายขอบสุดของดินแดนของพวกเขา

ตอนแรกพวกเขาไม่รู้

ในเมื่อสถานที่ที่เจ้าพวกนั้นปรากฏขึ้นคือที่อยู่ของหนอนคังริที่เต็มไปด้วยกลิ่นที่พวกเขาเกลียดและไม่มีร่องรอยของมานาคริสตัลอยู่ในบริเวณนั้นเลยแม้แต่น้อย

มันเป้นดินแดนที่ไร้ประโยชน์สำหรับพวกเขา

และมันยังกว้างมากอีกด้วย

การที่พวกเขารู้เรื่องนี้เป็นเรื่องบังเอิญอย่างที่สุด

แต่มันไม่มีเหตุผลให้พวกเขาไปไล่ล่าพวกนั้นหลังจากเจอ

ความใคร่รู้ของทั้งสี่เผ่าพันธุ์ได้นำพาพวกเขาไปยังบริเวณนั้นเพื่อตรวจสอบสิ่งใหม่ แต่พวกเขาทำเพียงแค่แสยะยิ้มเหยียดๆ และหยุดสนใจพวกนั้นไป

ในเมื่อเจ้าพวกมาใหม่นั่นอ่อนแออย่างมาก

อืม จริงๆ แล้วพวกนั้นค่อนข้างจะพิเศษและแข็งแกร่ง แต่ความแข็งแกร่งนั้นมันเล็กน้อยเกินไปที่จะเผชิญหน้ากับอารยะธรรมของพวกเขา

นี่คือสาเหตุที่ทำให้พวกเขาเหยียบย่ำพวกนั้นและปั่นหัวพวกนั้นเล่น

พวกเขาเคร่งเครียดกับสงครามมามากพอแล้ว

มนุษย์พวกนั้นคือของเล่นอันล้ำค่า

และสุดท้ายแล้ว มนุษย์พวกนั้นก็ล้วนหลบหนีไปในป่ากว้าง

แม้ว่ามันจะเป็นดินแดนของพวกเขาทั้งหมด มันก็มีส่วนที่สำคัญและส่วนที่ไม่สำคัญ

พวกเขาป้องกันส่วนที่สำคัญด้วยป้อมปราการดาวเทียมเผื่อไว้ว่าจะมีการรุกรานจากเผ่าอื่น แต่แน่นอนว่าพวกเขาต้องทิ้งส่วนที่ไม่สำคัญเอาไว้ตรวจสอบด้วยตนเอง

ในเมื่อมันมีป้อมปราการดาวเทียมในมือของพวกเขาแค่จำนวนจำกัด

หลังจากค้นพบเรื่องนี้ เผ่าทั้งสี่ก็หยุดสนใจมนุษย์และกลับไปเพ่งความสนใจให้กับสงครามอีกครั้ง

ถ้าพวกเขาเห็นมนุษย์ พวกเขาก็จะเล่นกับพวกนั้น แต่ถ้าไม่เห็นพวกเขาก็จะไม่สนใจ

มันไม่ได้มีปัญหาอะไรจนถึงตอนนี้

จนกระทั่งหนึ่งในสี่เผ่าพันธุ์ มาครอน ล่มสลายด้วยน้ำมือของมนุษย์

อืม อีกสามเผ่าคือผู้ที่เป็นคนลงมือครั้งสุดท้ายตอนที่มาครอนถูกมนุษย์โจมตี

ซึ่งหมายความว่าเจ้าพวกที่เหมือนแมลงนี่มีพลังมากเกินพอในการจะสั่นคลอนสนามรบ

มนุษย์ได้รีบหนีไปหลังจากที่เรื่องราวสิ้นสุดลง แต่ตอนนั้นดาคิดัสตื่นตระหนกมากจริงๆ

เขาสามารถไม่สนใจชื่อของแมลงตัวอื่นๆ ได้ แต่เขาจำชื่อของสามคนที่สร้างพายุลูกนั้นขึ้นได้อย่างชัดเจน

แอรีส เคลเดียน คังเต้

มีเพียงแค่ตอนนั้นที่สามเผ่าพันธุ์ที่เหลือเริ่มตรวจสอบป่าใหญ่

แม้ว่ามนุษย์จะพาคนที่เหลือของพวกเขาทั้งหมดขึ้นไปด้านบนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันก็อาจจะเหลือใครบางคนอยู่บ้าง

แต่มันก็ยังคงมีขีดจำกัดในการที่พวกเขาจะสำรวจป่าได้

พวกเขาจะต้องใช้เวลามากแค่ไหนในการค้นหาและจัดการมนุษย์ทั้งหมดที่เหลือ?

มันอาจจะเป็นไปได้ด้วยป้อมปราการดาวเทียม แต่พวกมันหลายสิบป้อมจะต้องเอาไปใช้แค่ในการลาดตระเวน

ถ้าพวกเขาใช้ป้อมปราการดาวเทียมแบบนั้น งั้นศัตรูของพวกเขาก็จะข้ามเขตมาในทันที

ในเมื่อมนุษย์ไม่ได้อันตรายจนถึงจุดที่ทำให้ทั้งสามเผ่าพันธุ์รวมตัวกัน

ในขณะที่ทั้งสามเผ่าพันธุ์กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น

เธอก็ได้ขึ้นมา

คลีเมนไทล์

เป็นผู้หญิงสารเลวที่อวดดีอย่างมาก

<ถ้าพวกนายช่วยฉัน งั้นฉันก็จะทำให้พวกมนุษย์ไม่อาจเข้าไปยุ่งกับพวกนายได้อีกต่อไป มาทำสัญญากันเถอะ ฉันจะ… ฝึกพวกมนุษย์ให้อย่างดี และในทางกลับกัน…>

 

 

 

‘มันผ่านมาแล้ว 12 ปีตั้งแต่ที่พวกเราสร้างพันธมิตรกันสินะ… ผ่านมาสักพักแล้วสิเนี่ย จะยังไงก็เถอะ หลายๆ อย่างได้เริ่มน่าหงุดหงิดแล้ว’

คาริมเดาะลิ้นขณะที่เขามองไปยังเอคิดูที่กำลังโกรธแค้นเขาขณะที่ถือหนังสือเอาไว้

“ทั้งหมดนี่คือแผนที่หมอนั่นวางเอาไว้! พวกนั้นจะไปรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง! นี่ไม่ใช่อะไรที่นายจะสามารถรวบรวมมาได้ง่ายๆ!”

เขากระทั่งเสียหนังสือไปเพราะแขนขวาของเขาถูกตัด

เขาได้หลบซ่อนตัวอย่างดีมาเป็นเวลานาน แต่กับการที่เขาดันถูกจับได้อย่างกะทันหันแบบนี้

‘ฉันใจร้อนเกินไป’

เขาต้องการเหตุผลในการชักจูงผู้คน

เขาเอาหนังสือออกมาเพราะแบบนั้น แต่กับการที่มันหันมาแว้งกัดเขาแบบนี้แทน

แต่การตัดสินใจของเขาถูกต้อง

ในเมื่อเขาไม่อาจนั่งอยู่เฉยๆ และมองดาคิดัสตายไปได้ในฐานะของพันธมิตร

เขาคิดจะหลบออกไปจากสถานการณ์ทั้งหมด แต่มันไม่ได้ดูเหมือนว่าเหตุผลที่ไร้ยางอายแบบนั้นจะใช้ได้

คาริมยอมรับความจริง

“อืม เธอพูดถูก หมู่บ้านนี้ถูกสร้างขึ้นจากข้อตกลงกับพวกเผ่าพันธุ์ชั้นสูงจริงๆ”

“หือ?”

ทุกคนหัวเสียกับคาริมที่ยอมรับออกมาง่ายๆ

กับการที่หมอนั่นยอมรับว่าเขาคือคนทรยศด้วยปากของตัวเองแบบนี้

แต่คาริมทำเพียงแค่หยุดเลือดที่แขนของเขาขณะที่เขามองไปยังรอบๆ

และการ์ดจำนวนหนึ่งได้มารวมตัวกันรอบคาริม

การ์ดที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านมานานที่สุด

‘… เจ้าพวกนั้นเองก็เป็นคนทรยศงั้นเหรอ’

เอคิดูกัดฟันกรอดขณะที่มองไปยังคาริมและตะโกนไปยังผู้คนรอบๆ

“นี่คือความจริง! พวกคุณจะทำยังไง! พวกคุณจะปล่อยพวกคนบาปนั่นไปเหรอ!?”

ทุกคนที่สีหน้าก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยความงุนงงพลันแปรเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าโกรธแค้นขณะที่พวกเขาจ้องไปยังคาริม

กับการที่หมอนั่นเป็นแบบนี้

และในบรรดาผู้ที่ถูกลากไปเป็นเครื่องสังเวย มันก็มีครอบครัวและเพื่อนพ้องของพวกเขาอยู่ด้วย

แม้จะไม่มีเผ่าพันธุ์ชั้นสูงอยู่มันก็ยังเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อาจมองในทางดีๆ ได้เลย

กับการที่หมอนั่นทรยศมนุษย์และจับมือกับพวกเผ่าพันธุ์ชั้นสูง

และกับการที่คนทรยศเป็นหัวหน้าการ์ดของหมู่บ้าน คาริม

พวกเขาตั้งความหวังไว้สูงแค่ไหน ความผิดหวังก็ยิ่งมากมายเท่านั้น และความรู้สึกของการถูกทรยศก็กำลังพุ่งขึ้นสูง

“ไอ้สารเลวนี่!”

“ฆ่ามัน!”

ผู้คนเข้าไปล้อมรอบคาริมอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าโกรธแค้น

ชีวิตของพวกคาริมดูราวกับเปลวเทียนเบื้องหน้าสายลมรุนแรงเมื่อเผชิญหน้ากับเหล่าชาวบ้านที่กำลังกราดเกรี้ยว

มันคือสถานการณ์ที่พวกเขาไม่อาจใช้มานาหรือสกิลได้

คาริมและกลุ่มของเขาต้องเผชิญหน้ากับทุกคนด้วยแค่พลังจากร่างกายของเขาอย่างเดียว

ชาวบ้านที่กำลังโกรธเกรี้ยวนับพัน

กับคนแค่ราวๆ 10 คน

แต่สีหน้าของคาริมไม่ได้ย่ำแย่

ไม่สิ มันสงบนิ่งมากเกินไปสำหรับคนที่กำลังจะถูกกระทืบจนตายด้วยซ้ำ

คาริมมองไปรอบๆ

“ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้ตอบใช่ไหม? พวกเธอรู้ไหมว่าฉันอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว?”

ทุกคนชะงักฝีเท้า

คาริมที่คิดว่าเขาได้กระตุ้นความใคร่รู้ของผู้คนขึ้นมาแล้วได้เอ่ยต่อ

“12 มันคือ 12 ปี”

“อะไร…”

ตัวเลขเดียวกับอายุของหมู่บ้าน

หมู่บ้านจำเป็นต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ ตามแผนการของคลีเมนไทล์ และมันต้องมีคนคอยจัดการ

นี่คือสาเหตุที่ทำให้คลีเมนไทล์ได้ทิ้งคนจำนวนหนึ่งเอาไว้ อย่างคาริม เพื่อคอยดูแลหมู่บ้าน

คนอื่นๆ คิดว่าหัวหน้าการ์ดเปลี่ยนมาแล้ว 2-3 ครั้ง แต่นี่เป็นเพียงแค่ข่าวลือ

ในเมื่อมันไม่มีใครเลยที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านมา 12 ปี

คาริมได้ทำตัวเป็นหัวหน้าการ์ดมาตลอดเวลานั้น

ในเมื่อมันสบายกว่ามากในการทำงานในเงามืดในฐานะของหัวหน้าการ์ด แทนที่จะไปเป็นหัวหน้าหมู่บ้านที่มักจะอยู่ในแสงสว่างเสมอ

ขณะที่ผู้คนจ้องไปยังเขา

คาริมก็เอ่ยต่อ

“พวกเธอไม่สงสัยเหรอ? ว่าทำไมมันมีคนน้อยกว่า 10 คนเสียอีก? ฉันควรจะหาคนมาได้มากกว่านี้ถ้าฉันรวบรวมพวกเขามาตลอด 12 ปี”

ทุกคนผงกศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

การจัดการหมู่บ้านไม่ได้ยากขนาดนั้นแม้ว่าจะมีคนไม่มาก แต่มันจะดีกว่าในการมีพันธมิตรให้มากขึ้นเผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน

‘ดี’

คาริมลอบหัวเราะอยู่ในใจ

ความสงสัยคือสิ่งที่อันตราย

ในเมื่อมันกระทั่งทำให้ผู้คนที่กำลังโกรธแค้นเขายอมหยุดฟังเขา

‘เอคิดู เราควรจะมาดูไหมว่าจะมีคนกี่คนที่เธอปกป้องติดตามเธอไป?’

คาริมไม่ได้ยืนหยัดอยู่โดยไม่มีเหตุผล

ในตอนที่คาริมกำลังจะเอ่ยถึงข้อเสนออีกอย่าง

ตูมมมมม!

บางอย่างได้ลอยมาจากห่างออกไป

ลำแสงสีแดงเส้นหนึ่ง

เอคิดูที่สวมเกราะหยางโลหิตอยู่พุ่งออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่เล็งไปยังหัวใจของคาริม

“เชี่ย! หยุดมัน!”

ขณะที่คาริมตะโกนออกไปอย่างตื่นตระหนก

การ์ด 9 คนเบื้องหน้าคาริมก็หยิบอาวุธของพวกเขาออกมาและยืนอยู่ด้านหน้า

แม้แต่เอคิดูก็ถูกผนึกมานาเอาไว้

สิ่งเดียวที่พวกเขาจะพึ่งพาได้คือรูนของพวกเขา

การเอาชนะเอคิดูเป็นเรื่องง่ายเมื่อพวกเขามีกันเก้าคน

แต่มันมีบางอย่างที่พวกเขาลืมไป

ว่าเอคิดูเองก็ไม่ได้มาคนเดียว

ทันทีที่การ์ดกำลังจะสร้างแนวป้องกัน

“ฮึ่ม! พวกแกกล้าดียังไง! หัวหน้าหมู่บ้านที่ยิ่งใหญ่ของพวกเรากำลังไป!”

“มาสู้กับพวกเราแทนสิ!”

เคร้งงงง!

เคร้งง!

คนนับสิบพุ่งออกมาจากด้านหลังของเอคิดูราวกับสายฟ้าฟาดและมุ่งตรงไปยังการ์ดที่ด้านหน้าคาริม

คาริมและการ์ดรู้สึกกระวนกระวายหลังจากที่เห็นตัวตนของคนเหล่านั้น

ในเมื่อพวกเขาไม่ใช่พวกหัวอ่อน

“คาร์ฮาล… เซบาสเตียนนี่! ไอ้โง่เสียสติเอ้ย!”

‘ทำไมเจ้าพวกนี้ถึงไปอยู่กับเอคิดู’

หัวหน้าหน่วยพื้นที่หนึ่งและสมาชิกในหน่วย

หลังจากที่ออกมาจากด้านหลังของเอคิดู พวกเขาก็เริ่มเข้าต่อสู้กับการ์ดที่อยู่ด้านหน้าเอคิดู

ตูมมมม! ตูมม!

“บ้าเอ้ย!”

คาริมตื่นตระหนกเมื่อเห็นการต่อสู้ระหว่างการ์ดและนักล่าและกำลังจะคว้าอาวุธที่ล้ำค่าของเขา <กิโยตินคาสลัม> และเข้าไปร่วมวง

ตอนนี้มันไม่มีมานา

ความแตกต่างระหว่างการ์ดและนักล่าได้หดลงไม่น้อย

แม้ว่าผู้ติดตามของเขาจะแข็งแกร่ง คนจากหน่วยพื้นที่หนึ่ง 30 คนก็สามารถขัดขวางและซื้อเวลาจากการ์ด 9 คนได้ง่ายๆ

แต่ในตอนนั้นเอง

บางอย่างได้บินผ่านนักล่าและการ์ดมาด้วยความเร็วสูง

‘เฮือกก!’

คาริมที่กำลังจะกระโจนไปร่วมวงถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัวและรีบเหวี่ยงอาวุธของเขาด้วยแขนซ้าย

“นังเสารเลวนี่!”

ตูมมมมม!

กิโยตินในมือซ้ายของเขาทะลวงผ่านอากาศไปเผื่อจะผ่าลำแสงสีแดงที่พุ่งตรงมายังเขา

แม้ว่าแขนขวาของเขาจะถูกตัด เขาก็ยังคงเป็นหัวหน้าการ์ด

และหนึ่งในผู้ติดตามของคลีเมนไทล์

การโจมตีที่คงจะแยกร่างของนักล่าทั่วไปเป็นสองซีกได้มุ่งตรงไปยังคู่ต่อสู้ของเขา

แต่คู่ต่อสู้ของเขาเองก็ไม่ใช่นักล่าทั่วไป

‘เวรเอ้ย!’

คู่ต่อสู้ของเขาคือเอคิดู

ยักษ์ใหญ่ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของปิรามิดในหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยยักษ์ใหญ่

และน่าประหลาดที่เอคิดูไม่ได้หลบกิโยติน

ฉัวะ!

ร่างของเอคิดูที่สวมเกราะหยางโลหิตอยู่บิดตัวไปและรับการโจมตีจากกิโยติน

เกราะหยางโลหิตค่อนข้างแข็งแกร่งเช่นกัน ทว่ากิโยตินเองก็เป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยม

เกราะหยางโลหิตที่ป้องกันหลังของเอคิดูถูกทำลายและบาดแผลได้ปรากฏขึ้นบนแผ่นหลังของเธอ

ทว่าคาริมหัวเราะไม่ออก

ในเมื่อเอคิดูได้มาถึงด้านหน้าของเขาจะการปะทะกันเมื่อครู่แล้ว

และไม่ช้า

ฉัวะ!

“อึกกกก!”

คาริมได้รับบาดเจ็บที่หัวไหล่ขณะที่เขารีบถอยออกไป

มันใกล้เกินไป

ถ้าเขาช้าไปอีกวินาทีเดียว งั้นแขนทั้งข้างของเขาคงถูกตัดไปแล้ว

หลังและไหล่

แม้ว่าบาดแผลของเอคิดูจะลึกกว่า มันก็ชัดเจนว่าใครได้เปรียบจากการปะทะกันครั้งนี้

แขนขวาที่ถูกตัด

และแขนซ้ายที่เกือบจะถูกตัด

ขณะที่เอคิดูโถมการโจมตีมายังเขา คาริมได้ถูกไล่ต้อนจนจนมุมและไม่อาจตอบโต้ได้ดั่งใจ

‘อึกกก! ฉันต้องการเวลาในการโน้มน้าวคนอื่น!’

“เอคิดู! นังโง่เอ้ย! แกรู้ไหมว่าตอนนี้แกกำลังทำอะไรอยู่! แกยังเป็นหัวหน้าหมู่บ้านอยู่รึเปล่า! แกต้องเลือกตัวเลือกที่ดีที่สุดสิ! อย่างน้อยแกก็ควรจะฟังฉันหน่อย!”

ขณะที่คาริมตะโกนออกมาอย่างสิ้นหวังขณะที่มองเอคิดูที่ไม่แม้แต่จะเปิดโอกาสให้เขาพูดกับคนรอบๆ สักวินาที

เอคิดูแย้มยิ้มเย็นเยียบ

เธอโกรธมากเสียจนท่าทีปกติของเธอได้หายไปนานแล้ว

“สิ่งที่แกพยายามจะพูดไม่ใช่ส่วนสำคัญ ไอ้ขยะเอ้ย”

“อะไรนะ?”

ขณะที่คาริมงุนงง

เอคิดูฟาดหลังของคาริมและตวาดออกไป

“สิ่งที่สำคัญคือแกยืนอยู่ฝ่ายไหนกันแน่ ไอ้ลิ้นเน่าๆ ของแกนั่นมันทำงานให้ใคร? เรา มนุษย์? หรือ… ดาคิดัส?”

“…บ้าเอ้ย”

ในตอนนั้นเองที่คาริมตระหนักขึ้นได้ว่าเขาทำอะไรผิดพลาดไปอย่างใหญ่หลวง

เอคิดูไม่ได้ทำแบบนี้เพราะความโลภของเธอหรือความต้องการมีชีวิตรอด

‘เฮ้อ ฉันคิดว่าเธอจะเป็นเหมือนคนอื่นๆ ตอนที่ตกอยู่ในอันตราย’

คาริมยอมแพ้และหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ตอนนี้พวกแกตายกันหมดแล้ว! พวกแกจะเสียใจที่ไม่ฟัง…”

ตอนนั้นเอง

โผล๊ะ

ศีรษะของคาริมได้ถูกโจมตี

ด้วยหมัดของเอคิดู

“เราก็ไม่ได้กังวลเรื่องนั้นมากมายอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เราจะจัดการปัญหาของพวกเราเอง ไอ้พวกทรยศสารเลว”

“เฮ้อ…”

กระทั่งก่อนที่พวกเขาจะสามารถเข้าร่วมได้ ทุกอย่างก็เกิดขึ้นในพริบตา

ผู้คนที่กำลังเฝ้ามองอยู่ถอนหายใจ

ในเมื่อจุดจบของหนึ่งในคนที่มีอำนาจมากที่สุดในหมู่บ้านได้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันแบบนี้

เอคิดูมองคนเหล่านั้นและพึมพำ

‘แต่… นี่เป็นตัวเลือกที่ถูกต้องจริงๆ เหรอ? ฮันซู นายรู้ไหม? ว่าหมอนี่พยายามจะพูดอะไร?’

เสียงที่มั่นใจเกินกว่าจะเป็นเพียงแค่คำสบถทั่วไป

เอคิดูมองไปยังตำแหน่งที่มีเสียงการต่อสู้ระหว่างดาคิดัสและฮันซูดังขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล