บทที่ 165 กลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ที่น่าสมเพช

เย่เฟิงหรี่ตาจ้องมองพฤติกรรมของหลี่เฟิงและหน่วย NSA อย่างระวัง ความจริงแล้วเขาไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ

“แหวะ ถุ้ย!”

ทันทีที่หลี่เฟิงเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มจากวังไท่จี๋ที่ถูกถอดหน้ากากออก เขาก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจ เพราะใบหน้านั้นถูกไฟไหม้ตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้ดูน่าเกลียดน่ากลัวอย่างที่สุด

เมื่อหน้ากากถูกถอดออกแล้ว เด็กหนุ่มก็บ้าคลั่งและเริ่มจู่โจมหน่วยNSA สองคนที่อยู่ใกล้ๆ แต่ด้วยที่พลังชี่ภายในของเขาถูกยับยั้งไว้ จึงทำได้เพียงระเบิดความโกรธที่ไร้พลังออกมาเท่านั้น

“ไอ้ตัวอัปลักษณ์ แกทำฉันกลัวแทบแย่”

ความจริงแล้ว หลี่เฟิงไม่คาดคิดว่าเจ้าเด็กนี่จะกลายเป็นบ้าคลั่งขึ้นมาได้ เขาจึงมองอย่างถ่มน้ำลายอย่างเย้ยยัน และยกเท้าขึ้นเตะใส่เด็กหนุ่มอย่างแรง ทำให้เขากลิ้งไปบนพื้น

เมื่อเห็นแบบนั้น กลุ่มผู้ฝึกยุทธ์โดยรอบก็อดไม่ได้ที่จะสาปแช่งหลี่เฟิงอยู่ในใจ ทำไมมันต้องถอดหน้ากากคนอื่นออกด้วย? แล้วยังลงไม้ลงมืออย่างไร้ปราณีอีก แต่ถึงแม้จะคิดเช่นนั้น ก็ไม่มีใครคนใดกล้าออกตัวเพื่อปกป้องเด็กหนุ่ม

ตอนนี้ ไม่มีผู้อาวุโสของวังไท่จี๋คนใดเลยอยู่ที่แถบทะเลจีนตะวันออกนี้ เด็กหนุ่มคนนี้มาที่นี่เพียงเพื่อมาตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับศิษย์ทั่วไปเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แม้วังไท่จี๋เองก็ยังไม่กล้ามีเรื่องกับหน่วย NSA ในสถานการณ์นี้ จึงไม่มีใครเต็มใจจะออกตัวปกป้องเด็กหนุ่มและล่วงเกินหน่วย NSA โดยเฉพาะหน่วยนี้ที่นี่หลี่เฟิงเป็นผู้นำ เพราะมันไม่ใช่คนที่จะสามารถคุยด้วยได้ง่าย

ไม่มีใครในที่นี่ที่แข็งแกร่งถึงระดับตัวประหลาดอย่างหลงโม่หรัน

ในตอนนี้ เด็กหนุ่มคนนั้นอยู่ในสภาพที่น่าอนาถ ไม่เพียงจะถูกเตะอยู่บนพื้น ทั้งเนื้อทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้ายังเปียกโชกไปด้วยฝนที่หน่ำลงมาอย่างรุนแรง รวมทั้งเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษหินเศษทรายจากชายหาด

มือของเด็กหนุ่มคว้าเศษทรายบางส่วนไว้ในมือพร้อมกับกำไว้แน่น เพราะผิวหนังของเขาช้ำและเริ่มมีเลือดไหลออกมา

เขาจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว!

วังไท่จี๋ในโลกยุทธภพนั้น เป็นสำนักที่มือชื่อเสียงและเกียรติยศในเรื่องความกล้าหาญ เมื่อวังไท่จี๋ออกคำสั่งอันใด ไม่ว่าตระกูลหลง ตระกูลถัง หรือตระกูลอื่นๆก็ล้วนให้ความเคารพ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอาวุธไฮเทคของหน่วย NSA พวกเขากลับไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากยอมรับความพ่ายแพ้ และต่อให้ผู้อาวุโสของวังไท่จี๋รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ พวกเขาก็ไม่คิดจะแก้แค้นหน่วย NSA ช่างน่าตกใจที่ไม่เพียงไม่ช่วยเหลือเด็กหนุ่ม วังไท่จี๋ยังไม่กล้าล่วงเกินหน่วย NSA ด้วยซ้ำไป

“หึ ช่างน่าเบื่อจริงๆ”

หลี่เฟิงเค้นเสียง แล้วตั้งใจจะดันแว่นตาขึ้นด้วยความเคยชิน แต่เขาลืมไปว่าแว่นตาอันนั้นได้ถูกหลงโม่หรันตัดออกเป็นชิ้นๆด้วยกระบี่แล้ว นี่ทำให้หลี่เฟิงรู้สึกรำคาญใจอย่างยิ่ง

หลี่เฟิงเดินเข้ามาใกล้ๆเด็กหนุ่ม จากนั้นจึงยกเท้าเหยียบร่างของเด็กหนุ่มไว้อย่างรุนแรง

การที่เขาไม่สามารถรับมือหลงโม่หรันได้ก่อนหน้านี้ ทำให้รู้สึกอยากระบายความโกรธใส่เด็กหนุ่มคนนี้แทน

ตึก! ตึก! (เสียงกระทืบ)

ในเวลานี้ที่ฝนยังคงโหมหน่ำลงมา เด็กหนุ่มถูกกระทืบอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเกียรติยศ ความภาคภูมิใจ หรืออะไรก็ตาม ล้วนถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้เท้าของหลี่เฟิง

“เจ้าหลี่เฟิงคนนี้ แบบนี้มันจะเกินไปแล้ว”

หลงหวางเอ๋อกัดฟัน

ถึงแม้พวกเขากำลังเดินเข้าไปในหมู่บ้าน แต่ก็ไม่มีใครสนใจ เพราะการกระทำของหลี่เฟิงล้วนดึงดูดความสนใจของคนแถวนี้ไปหมดสิ้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อรับรู้ถึงความโกรธของหลงหวางเอ๋อ เย่เฟิงก็ขบคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “เจ้าหลี่เฟิงคนนี้ มันรังเกียจคนของโลกยุทธภพจริง นอกจากนี้ มันยังมีตำแหน่งที่สูงในหน่วย NSA อีกด้วย มันคงต้องสร้างปัญหาให้เราอีกมากในอนาคตแน่นอน ให้มันได้บทเรียนซะบ้างคนดีไม่น้อย……”

เจ้าหลี่เฟิงคนนั้น แค่เห็นคนสวมหน้ากากทั่วไป ก็อดไม่ได้ที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้คนๆนั้นถอดหน้ากากออก หากเย่เฟิงและหลงหวางเอ๋อถูกมันจับได้ พวกเขาก็คงมีสถานการณ์ที่ไม่ต่างจากเด็กคนนั้น

แทนที่จะรอให้ต้องเจอสถานการณ์เสียเปรียบ เขาน่าจะอาศัยโอกาสจัดการมันเสียก่อน ยิ่งกว่านั้นในกรณีนี้เขามีเหตุผลอันสมควรที่จะลงมือ ดังนั้นเย่เฟิงจึงไม่มีแม้แต่ความลังเล

“ปล่อยให้ฉันจัดการเอง”

เย่เฟิงกระซิบบอกหญิงสาว

“แต่นายจะฆ่ามันไม่ได้”

หลงหวางเอ๋อรีบหยุดชายหนุ่ม “ตำแหน่งของหลี่เฟิงถือว่าค่อนข้างสูงในประเทศนี้ อีกอย่าง มันยังเป็นบุคคลสำคัญที่โดดเด่นด้วย ถ้ามันตาย โลกยุทธภพคงหาความสงบสุขไม่ได้แน่…….”

“งั้นให้ฉันสับแขนมันสักข้าง”

เย่เฟิงเค้นเสียง

จากนั้นเขาจึงหันไปมองคนของยุทธภพที่อยู่แถวนี้ แม้พวกเขาจะมองการกระทำของหลี่เฟิงจากข้างสนาม แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปหยุด นี่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดูถูกคนพวกนั้นอย่างยิ่ง

ถึงแม้คนเหล่านั้นจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แต่กลับไม่มีร่องรอยของความกล้าหาญและความยุติธรรมให้เห็นสักนิด ถ้าหากเป็นในโลกเทวะแล้วล่ะก็ ต่อให้เห็นสถานการณ์ที่สิ้นหวังแค่ไหน พวกเขาก็จะช่วยกันลงมือสังหารหลี่เฟิงคนนั้นอย่างไม่ลังเล ในกรณีที่สถานการณ์เลวร้ายที่สุด การหลบหนีไปสุดขอบโลกยังดีเสียกว่าการยอมจำนนโดยไม่ทำอะไรเลย

ในเวลานี้ ขณะที่เย่เฟิงเริ่มควบแน่นเจินชี่เข้าไปในแหวนกระบี่มังกรโบราณ เด็กหนุ่มที่ถูกหลี่เฟิงเหยียบย่ำอยู่ก็พลันขว้างทรายในมือเข้าใส่หลี่เฟิง

แต่หลี่เฟิงนั้นมีร่างกายที่ถูกฝึกมาดี เขาจึงหลบได้อย่างรวดเร็ว และในฐานะที่เป็นหนึ่งในหัวหน้าหน่วย NSA สมรรถภาพทางร่างกายถือว่าอยู่ในระดับดีเยี่ยม นอกจากนี้พลังชี่ภายในของเด็กหนุ่มยังถูกยับยั้งไว้ ความเร็วของทรายขว้างมาจึงค่อนข้างช้า และมันไม่อาจสัมผัสตัวหลี่เฟิงได้แม้แต่เม็ดเดียว

“โอ้ กล้าขว้างทรายใส่ฉันแบบนี้ แกกล้าหาญไม่เบานี่!”

รอยยิ้มน่ากลัวพลันปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าหลี่เฟิง ขณะที่น้ำเสียงเยียบเย็นลงเรื่อยๆ เขารีบคว้าปืนรังสีสีน้ำเงินจากมือของสมาชิกหน่วย NSA ที่ยืนอยู่ใกล้ๆมา จากนั้นจึงเล็งไปที่หัวของเด็กหนุ่ม “ฉันให้เวลาแก 8 นาที ก้มลงคุกเข่าแล้วคลานมาขอโทษฉัน ไม่งั้นหัวแกได้ระเบิดแน่!”

8 นาทีอีกแล้ว!

เมื่อได้ยินดังนั้น กลุ่มผู้ฝึกยุทธ์พลันมีการแสดงออกทางสีหน้า หลี่เฟิงนั่นเป็นเหมือนข่าวลือจริงๆ มันชอบให้เวลา 8 นาทีในการตัดสินใจ

เด็กหนุ่มตะเกียดตะกายเล็กน้อย ใบหน้าที่ถูกไฟไหม้ของเขาปรากฏร่องรอยของความหวาดกลัว แต่ในช่วงเวลาที่ฝนยังคงโหมกระหน่ำ ร่างกายผอมแห้งของเด็กหนุ่มไม่ได้เอื้ออำนวย ทำให้รู้สึกถึงความสิ้นหวัง

“ถุ้ย!”

แต่ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็ถ่มน้ำลายเข้าใส่หลี่เฟิง เป็นสัญญาณว่าเขาไม่คิดยอมจำนน!

ร่องรอยประกายตาเย็นเยียบพลันปรากฏขึ้นมาในสายตาหลี่เฟิง เขาคิดว่าเจ้าเด็กนี่วอนหาที่ตายซะแล้ว งั้นวันนี้เจ้าโง่นี่-

“เจ้านี่แสดงความดูหมิ่นต่อหน้าเจ้าหน้าที่อาวุโสของหน่วย NSA เพราะงั้นตามกฏแล้ว เราสามารถลงโทษตายแก่มันได้!”

หลี่เฟิงที่ยกปืนรังสีสีน้ำเงินขึ้นเล็งไปที่หัวของเด็กหนุ่มไว้แล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่เขาจะเหนี่ยวไก!

ผู้ฝึกยุทธ์รอบข้างไม่อาจทนดูฉากนี้ต่อไปได้ พวกเขารู้ดีว่าปืนกระบอกนั้น ถ้าถูกยิงใส่หัวย่อมไม่มีโอกาสรอดชีวิต ถ้าหลี่เฟิงเหนี่ยวไก หัวของเด็กหนุ่มคนนั้นคงระเบิดและตายในทันที แม้แต่พระเจ้าก็ช่วยเขาไม่ได้

แต่ถึงสถานการณ์จะไปถึงขั้นนี้ ก็ยังไม่มีใครกล้าออกไปหยุดหลี่เฟิง

ในโลกใบนี้ ล้วนมีผู้คนมากมายต้องตายในทุกๆวัน ทำไมพวกเขาถึงต้องเข้าไปล่วงเกินหน่วย NSA เพื่อช่วยเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่รู้ดีชั่วอย่างไรถึงกล้าไปแสดงความดูหมิ่นแก่คนของหน่วย NSA ด้วย?

เมื่อเห็นฝ่ายตรงเตรียมจะเหนี่ยวไก ดวงตาของเด็กหนุ่มก็เบิกกว้าง ชีวิตน่าอนาถของเขาจะจบลงในวันนี้งั้นหรือ? แต่สิ่งที่ยังคาใจอยู่ก็คือ เขาไม่เข้าใจเลยว่าตัวเขาไปสร้างความรำคาญใจแก่พวกชั่ว NSA ตอนไหน มันถึงต้องทำกับเขาถึงขนาดนี้

แค่เพราะสวมหน้ากากงั้นหรือ? หรือเพราะเขามีใบหน้าที่อัปลักษณ์?

แต่ไม่ว่าเหตุผลใด เขาก็ไม่ต้องการยอมจำนนแก่มัน!

เวลานี้ ประกายตาชั่วร้ายฉายวาบขึ้นในดวงตาหลี่เฟิงเมื่อเขาคิดจะเหนี่ยวไกปืน

ฉัวะ!

ทันใดนั้น เลือดสดๆก็ทะลักออกมาอย่างรุนแรง!

ประกายกระบี่สีทองพลันตัดแขนข้างหนึ่งของหลี่เฟิงจนขาด แขนของเขาร่วงลงอยู่บนพื้น สายเลือดกระจายออกบนพื้นทราย

“อ้ากกก-”

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทำให้ผู้ชมโดยรอบตื่นตะลึง! ทุกคนต่างพากันเงียบจนได้ยินเสียงเข็มหล่น เหลือเพียงแต่หลี่เฟิงที่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับเลือดสดๆที่ไหลออกมาจากแขนข้างที่ขาด

เปรี้ยง!

ฟ้าแลบ และเสียงฟ้าร้องยังคงดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่มันก็ไม่อาจกลบเสียงร้องอันโหยหวนของหลี่เฟิงได้สนิท ช่างน่าตกใจที่มันยังคงมีชีวิตรอดแม้แขนข้างหนึ่งจะถูกตัดไปแล้ว

ทุกๆคนในบริเวณนี้ต่างตกตะลึงและพากันหันไปมองด้านหลังของเย่เฟิง

พวกเขาเห็นชายสวมหน้ากากในชุดสีดำราวกับผีสางที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นมาจากที่ใดไม่ทราบ ถือกระบี่สีทองไว้ในมือที่ยังคงมีคราบเลือดติดอยู่ แสงของกระบี่ส่องสว่างเป็นประกายแม้อยู่ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำ

‘หึ คนของโลกยุทธภพมีแต่พวกขี้ขลาดน่าสมเพชทั้งนั้น!’

เย่เฟิงคิดในใจ
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเย่เฟิงที่สวมหน้ากากไว้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วยกระตุ้นจิตวิญญาณของเขา และสายตาของเด็กหนุ่มเผยร่องรอยของความตื่นเต้น

เขาไม่คาดคิดเลยว่าในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย จู่ๆจะมีใครคนใดปรากฏตัวขึ้นมาช่วยเขาไว้!

……………………….

แปลโดย Solar Spark