บทที่ 157 เธอชื่อว่าเสี่ยวเยวี่ย

เย่เฟิงสวมหน้ากากสีดำ จากนั้นจึงก้าวไปยังประตู

ผู้ที่ยืนอยู่ด้านนอกคือน้าของหลงหวางเอ๋อ นามว่าชูชู ความจริงแล้วด้วยทักษะสัมผัสวิญญาณ เย่เฟิงรู้แล้วว่าเธอมีหน้าตาอย่างไร ใบหน้าของเธอค่อนข้างงดงามทีเดียว

คุณน้าคนนี้มีรูปร่างที่น่าดึงดูด และเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของหญิงสาวที่แต่งงานแล้ว ผมของเธอผูกขึ้นเป็นมวย ดวงตาคู่งามแพรวพราวเป็นระรอกคลื่นยามสะท้อนกับแสงแดด ท่าทางที่ดูอ่อนน้อมและเรียบร้อยทำให้ผู้คนรู้สึกอบอุ่นยามได้อยู่ใกล้ๆ

ตามที่หลงหวางเอ๋อได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เธอถูกบังคับให้แต่งเข้าตระกูลหลงขณะอายุแค่ 15 ปี ตอนนี้ผ่านมา 20 ปีแล้ว แต่ร่างกายและผิวพรรณยังคงเหมือนเดิม ราวกับว่ากาลเวลาไม่มีผลต่อสิ่งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย

ผู้หญิงคนนี้จัดว่าเป็นสาวงามได้เลยทีเดียว!

เย่เฟิงอดไม่ได้ที่จะโห่ร้องในใจ มิน่าเล่า ทำไมตระกูลหลงถึงได้จับชูชูและพี่สาวของเธอเข้าตระกูล เมื่อมองดูหลงหวางเอ๋อในตอนนี้ เขาสามารถจินตนาการถึงลักษณะของชูชูและพี่สาวเมื่อกาลก่อนได้เลย อย่างไรก็ตาม ชูชูยังดูมีเสน่ห์พิเศษบางอย่างที่หลงหวางเอ๋อไม่มี

เสน่ห์นี้ต่างจากหญิงสาววัยแรกรุ่นโดยสิ้นเชิง มันมีกลิ่นอายแบบผู้ใหญ่ ทั้งหญิงสาวคนนี้ยังปราศจากท่าทีเขินอายแบบหญิงสาววัยแรกรุ่นทั่วไป

ทันทีที่เย่เฟิงได้เห็นชูชูครั้งแรก ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในใจเขา มิน่าเล่า เหตุใดในสมัยนี้ ผู้คนมากมายจึงยังรู้สึกตกหลุมรักผู้หญิงที่เคยแต่งงานแล้ว

“โม่จิ่วเกอใช่ไหม?”

ชูชูเอ่ยปากถามพร้อมกับเผยรอยยิ้ม ขณะที่ดวงตาคู่งามจับจ้องมายังเย่เฟิง ทำให้เขารู้สึกประหม่าเล็กน้อย

“ใช่ครับ ผมเอง”

เย่เฟิงยิ้ม “คุณน้า นี่คงเป็นครั้งแรกที่พวกเราได้พบกัน ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”

“จ๊ะ ไม่ต้องมากมารยาทไปหรอก”

ชูชูยิ้มขณะโบกไม้โบกมือ “ฉันได้ยินหวางเอ๋อพูดถึงเธอหลายครั้งเลยล่ะ ว่าวรยุทธ์ของเธอนั้นเยี่ยมยอดเป็นที่สุด แต่ในสายตาของน้า พรสวรรค์นั้นไม่สำคัญเลย สิ่งสำคัญคือเธอต้องไม่ทรยศต่อหวางเอ๋อ เธอเข้าใจใช่ไหม?”

“ครับ ผมทราบดี”

เย่เฟิงหันไปมองหลงหวางเอ๋อที่ยังคงแต่งหน้าแต่งตาบางๆ

หญิงสาวคนนี้คือผู้หญิงของเขา เพราะฉะนั้น เขาจะไม่มีทางทอดทิ้งเธอเด็ดขาด!

“หวางเอ๋อเชื่อในตัวเธอ เพราะงั้น น้าก็เชื่อในตัวเธอเหมือนกัน”

ชูชูยิ้มอย่างอ่อนโยน “เอาล่ะ งั้นน้าไม่รบกวนพวกเธอแล้ว น้าได้ยินว่าปะการังราชันจะโตเต็มที่ในคืนนี้ ดังนั้นถ้าพวกเธอออกไปข้างนอกก็อย่าไปแถวนั้นล่ะ แล้วก็ระมัดระวังตัวเองด้วย”

“ได้ครับ”

ถึงแม้เย่เฟิงจะพยักหน้า แต่ใจของชายหนุ่มกลับคิดอีกอย่างหนึ่ง เป้าหมายหลักของการมาที่นี่สำหรับเขาคือปะการังราชัน แล้วเขาจะไม่ไปที่นั่นได้อย่างไร? แต่เพื่อให้ชูชูสบายใจ เขาย่อมไม่บอกเรื่องนี้กับเธอ

ชูชูนั่นไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ เธอจึงเป็นเพียงแค่คนธรรมดา

อาศัยสิ่งที่รู้มาจากทักษะสัมผัสวิญญาณ เย่เฟิงรับรู้ได้ถึงบางสิ่ง ดูเหมือนว่าตระกูลหลงจะขี้เหนียวไม่น้อย จึงไม่ได้สอนวรยุทธ์ให้แก่ชูชู แทบไม่ต้องจินตนาการเลยว่าชีวิตของชูชูในตระกูลหลงจะน่าขมขื่นแค่ไหน

การที่ผู้หญิงคนนี้ไม่อาจไปจากตระกูลหลงได้ บางที มันอาจไม่ได้เป็นเพราะตระกูลหลงไม่ยินยอม แต่เป็นเพราะในในชีวิตของเธอ ยังมีคนสำคัญที่สุดที่ไม่อาจทอดทิ้งไปได้ก็คือหลงหวางเอ๋อ

“ตระกูลหลง”

เย่เฟิงมองไปยังด้านหลังของชูชูขณะที่หญิงสาวเดินกลับห้อง เวลานี้ เขารู้สึกรังเกียจตระกูลนี้ไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ ในมุมมองของเขา มันคือสถานที่ที่เลวร้ายอย่างมาก ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมหวางเอ๋อจึงไม่อยากอาศัยอยู่ที่ตระกูลของเธอ

“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”

หลังจากแต่งเนื้อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย พร้อมทั้งสวมหน้ากากสีขาวที่เข้ากับหน้ากากสีดำของเย่เฟิง หน้ากากคู่นี้ถูกเตรียมไว้เป็นพิเศษก่อนหญิงสาวจะมาถึงที่นี่แล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่าความคิดของเธอช่างละเอียดรอบคอมอย่างมาก

หลงหวางเอ๋อกระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริงขณะรีบมาที่ประตูห้อง เมื่อมาถึง หญิงสาวควงแขนเย่เฟิงไว้อย่างใกล้ชิด ในเมื่อตอนนี้เธอได้พบกับเย่เฟิงอีกครั้งหลังจากที่ต้องแยกจากกันนานมาก ฉะนั้น เธอต้องขอใช้เวลาอันแสนล้ำค่านี้อย่างมีความสุขที่สุด

เย่เฟิงยิ้มและยื่นแขนไปโอบไหล่ของหญิงสาว จากนั้นพวกเขาจึงออกจากห้องเพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางที่วางไว้ ปะการังราชันนั้นเติบโตอยู่ที่ชายทะเลทางใต้ และบังเอิญอย่างยิ่ง ที่ซ่อนตำราเพลงดาบปีศาจคำรามก็อยู่ที่ชายทะเลทางใต้เช่นกัน แต่ระยะทางระหว่างสองจุดนั้นค่อยข้างไกลจากกัน หวังว่าการเดินทางครั้งนี้จะเป็นการเดินทางที่น่าสนุกสำหรับพวกเขาทั้งสอง

ขณะออกมาจากห้อง เย่เฟิงใช้ทักษะสัมผัสวิญญาณตรวจสอบไปยังห้องชั้นล่าง เขาพบว่าคนของหมัดเทพทวาราไม่อยู่ในห้องนั้นแล้ว ซึ่งเขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าคนพวกนั้นมุ่งหน้าไปที่ไหน

หลงหวางเอ๋อพาเย่เฟิงลงลิฟท์ไปยังชั้นล่าง ทันทีที่คู่ชายหญิงสวมหน้ากากเดินออกมาจากลิฟท์ พวกเขาก็เป็นที่ดึงดูดสายตาผู้คนทันที ถึงอย่างนั้น เย่เฟิงและหลงหวางเอ๋อไม่ได้ให้ความสนใจใดๆกับคนพวกนั้น จริงๆแล้วพวกเขาไม่ได้เหลือบมองเลยด้วยซ้ำ

เย่เฟิงล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมา ขณะตั้งใจว่าจะโทรไปหาหนานฟางเพื่อสอบถามสถานการณ์ที่นั่น แต่ในเวลานี้ เขาพบว่ามีคนสองคนยืนอยู่ตรงล๊อบบี้ของโรงแรม ซึ่งเขารู้จักคนหนึ่งในสองคนนั้น!

นั่นไม่ใช่สาวสวยชุดแดง คนที่ขับรถAudi รุ่น TTS Roadster ที่เขาเคยเจอก่อนหน้านี้หรือไง?

เย่เฟิงรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นผู้หญิงคนนั้นที่นี่ หรือว่าเธอจะติดตามป้ายทะเบียนของรถ BMW จนมาถึงที่นี่? อย่างไรก็ตามในตอนนี้ ศูนย์รวมความสนใจของผู้คนต่างมุ่งไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างสาวสวยชุดแดง คนๆนั้นมีทรงผมที่ดูทันสมัย สวมเสื้อเชิตสีขาวด้านในทับด้วยเสื้อโค้ทสีดำ ห้อยหยกโบราณรูปสุนัขไว้ที่คอ ทำให้ผู้คนที่เห็นต่างคิดว่าชายหนุ่มคนนี้ต้องมีอะไรพิเศษบางอย่าง

“เสี่ยวเยวี่ย ผมถามคุณหลายรอบแล้วนะ เราเปิดห้องพักกันเถอะ”

ชายหนุ่มคนนั่นกล่าว ขณะที่เขาพยายามยื่นมือไปโอบสาวสวยชุดแดง

“หวังเฉ่าตง ฉันมาที่นี่เพื่อตามหาคน ไม่มีเวลาว่างมาเล่นกับนายหรอก”

สายตาของหญิงสาวแสดงถึงความรังเกียจออกมาอย่างเปิดเผย แม้จะมีท่าทีที่นิ่งเฉย สาวสวยถอยออกมาเพื่อหลบเอื้อมมือที่จะมาเกาะกุมเอวคอดกิ่วของเธอ

“ไม่ต้องมาเสียเวลาตามหาแบบนี้หรอก ในเมื่อคุณมีหวังเฉ่าตงคนนี้ทั้งคน การจะหาใครซักคนเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว”

สายตาของชายหนุ่มจดจ่ออยู่กับหน้าอกหน้าใจอันใหญ่โตของสาวสวยชุดแดงอย่างตะกละตะกลาม แต่เมื่อคว้าได้แต่อากาศ เขาก็ต้องถอนมือกลับ “เสี่ยวเยวี่ย คนที่เธอตามหามันชื่อเย่เฟิงใช่ไหม? ไม่ใช่ว่าคนขับรถ BMW มันจ่ายค่าเสียหายให้คุณแล้วหรอ?”

“นายไม่จำเป็นต้องรู้หรอก”

สาวสวยชุดแดงกล่าวตัดบทด้วยความรำคาญ เธอเดินไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์โรงแรม และรีบสอบถามบางสิ่งกับพนักงาน

เย่เฟิงได้ยินสิ่งที่หญิงสาวสอบถามชัดเจน และก็เป็นไปตามที่คาดไว้ พนักงานบอกเธอว่าไม่มีคนที่ชื่อเย่เฟิงพักอยู่ในโรงแรมแห่งนี้

‘ผู้หญิงคนนั้นชื่อเสี่ยวเยวี่ยสินะ แล้วเธอรู้ชื่อเราได้ยังไง? หรือว่าเธอจะรู้จักเสี่ยวฉีที่อยู่ที่เมืองเหยียนจิง?’

เย่เฟิงพลันรู้สึกสงสัย

ดูเหมือนว่าสองคนนั่นจะตรวจสอบชื่อเจ้าของรถ BMW แล้ว แน่นอนว่ามันต้องเป็นชื่อของชายหน้าบากคนเดียวไม่มีคนอื่นอีก เมื่อฟังจากบทสนทนา พวกเขาไม่ใช่แค่ได้เจอกับชายหน้าบากแล้ว แต่ยังได้ค่าเสียหายทั้งหมดแล้วด้วย ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงยังตามหาตัวเย่เฟิงอยู่อีก?

แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่หน้าบากจะให้ข้อมูลใดเกี่ยวกับเย่ฟิง ความเป็นไปได้อย่างเดียวจึงเหลือเพียงแค่ เสี่ยวเยวี่ยรู้จักกับเสี่ยวฉีที่อยู่เมืองเหยียนจิง!

พวกเธอเป็นคนตระกูลเดียวกันงั้นหรอ?

ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ เย่เฟิงก็ไม่จำเป็นต้องสนใจอยู่แล้ว เขาโอบเอวหลงหวางเอ๋อขณะกำลังเดินออกจากโรงแรม

“เฮ้ยเดี๋ยว สองนั้นหยุดเดี๋ยวนี้!”

ทันใดนั้น ชายหนุ่มที่ห้อยหยกรูปสุนัขก็มองเห็นคู่ชายหญิงที่สวมหน้ากาก เขาจึงชี้นิ้วไปยังทั้งสอง “ถอดหน้ากากออกมา ทั้งสองคนเลย!”

ชายหนุ่มคนนั้นมองเย่เฟิงด้วยสายตาเคลือบแคลงใจ จากนั้นก็หันมามองหลงหวางเอ๋อตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาของเขาเผยความปรารถนาอยากครอบครองอย่างปิดไม่มิด ชัดเจนว่าเสน่ห์ของหญิงสาวกระตุ้นความสนใจของชายคนนั้นเสียแล้ว

คำพูดของชายหนุ่มดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายในล๊อบบี้โรงแรมเช่นกัน เย่เฟิงและหลงหวางเอ๋อจึงได้หยุดฝีเท้าลง

แต่เมื่อเย่เฟิงสัมผัสได้ถึงแววตาหื่นกามต่อหลงหวางเอ๋อ เขาจึงเค้นเสียงเย็นในใจ

ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่เป็นใคร แต่ในเมื่อมันกล้ามองหลงหวางเอ๋อด้วยสายแทะโลม แล้วจะให้เขาปล่อยไปง่ายๆงั้นหรือ?

‘กล้ามองผู้หญิงของฉันแบบนี้งั้นหรอ?’

เย่เฟิงเค้นเสียงเย็น จากนั้นจึงก้าวเท้าเข้าไปเตะใส่ชายหนุ่มคนนั้นดัง “ปัง” ชายหนุ่มที่ชื่อหวังเฉ่าตงถูกเตะกระเด็นจนลงไปนอนอยู่บนพื้น หลังจากนั้น เย่เฟิงจึงเหยียบลงบนอกตรงกับตำแหน่งหยกโบราณรูปสุนัขพอดี

“มีคนต่อยกันแล้ว! เจ้าข้าเอย!”

“รีบแจ้งตำรวจเร็ว!”

ไม่มีใครในที่นี้คิดว่าชายสวมหน้ากากคนนั้นจะลงไม้ลงมือจริงๆ สถานการณ์ที่นี่พลันปั่นป่วนขึ้นมาทันที

“นี่คุณ หยุดเดี๋ยวนี้!”

สาวสวยชุดแดงที่ยุ่งอยู่กับการสอบถามที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ รีบวิ่งเข้ามาห้ามเย่เฟิงอย่างรวดเร็ว

ขณะที่หญิงสาวกำลังวิ่งมา หน้าอกหน้าใจของเธอสั่นไหวขึ้นลงเป็นจังหวะ ทำให้เหล่าผู้ชายในที่นี้ต่างอดไม่ได้ที่จะต้องกลืนน้ำลายกันเป็นแถบๆ………..

………………………

แปลโดย Solar Spark

Solar Spark: ผมว่าคนที่หื่นที่สุดน่าจะเป็นคนแต่งเรื่องนี้นี่แหละครับ55

Tan Tan:แหมเรานี้ขยันจริงๆ อ๊ากกก//กระเด่น(โดนท่านหัวหน้าพรรคทีบ)