บทที่ 156 หลัวเฟิง หนานเฟิง!
เย่เวิ่นเทียนต้องการไปที่ทะเลจีนตะวันออกไม่ใช่แค่เพื่อตามไปดูเย่เฟิงเท่านั้น ชายชรายังมีเป้าหมายอื่นด้วย เขาต้องการตรวจสอบว่ามันผู้ใดที่ต้องการตำราวรยุทธ์ของตระกูลเย่
ก่อนหน้านี้ เย่เวิ่นเทียนได้เค้นถามหัวขโมยที่เย่เฟิงจับกุมไว้ได้เมื่อหลายวันก่อน แต่ขโมยคนนี้กลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย มันเพียงแค่ทำตามลิสความต้องการของตลาดมืดในโลกยุทธภพเท่านั้น ชายชราจึงยอมปล่อยมันไปในที่สุด
เพื่อความปลอดภัย เขาจึงพกตำราวรยุทธ์ทั้งสี่เล่มไปด้วย มันประกอบด้วย ทักษะจิตผสานฟ้า, ทักษะกรงเล็บมังกร, ทักษะหมัดมารคลั่ง และทักษะกระบี่สายฟ้าทมิฬ จากนั้นชายชราจึงพาซูเหมิงหานขึ้นรถ Hummer H2 ไปด้วย
ขณะกำลังขึ้นรถ เย่เวิ่นเทียนรู้สึกว่ารถยนต์คันนี้ช่างใหญ่โตเสียจริง แต่เขาไม่รู้เลยว่าเพราะความใหญ่โตนั้น ทำให้มันบริโภคเชื้อเพลิงมหาศาล และต้องเสียเวลามากในการเติมเชื้อเพลิง ระยะทางจากที่นี่ถึงเซี่ยงซานรวมแล้วประมาณ 1500 กิโลเมตร มันต้องใช้เวลาถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มจึงจะเดินทางถึงจุดหมายปลายทาง
สิ่งที่ซูเหมิงหานทำก็คือการช่วยยืดเวลาให้แก่เย่เฟิงนั่นเอง
……….
ในเวลานี้ เย่เฟิงซึ่งอยู่ที่แถบทะเลตะวันออกแล้ว กำลังลอบฟังบทสนทนาของผู้ฝึกยุทธ์ 4 คนที่อยู่ในชั้นล่าง
“พี่หลัวเฟิง? เป็นอะไรไหม?”
ชายหนุ่มคนที่มีระดับวรยุทธ์ต่ำกว่าเป็นผู้กล่าวออกมา
“ฉันต้องไม่เป็นไรอยู่แล้ว”
ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งอายุราวๆ 27-28 ปี พูดด้วยน้ำเสียงดุดันราวกับพยัคฆ์ร้ายที่รอโอกาสลงมือ เย่เฟิงสัมผัสได้ชัดเจนว่าชายคนนั้นมีระดับวรยุทธ์สูงที่สุดในกลุ่ม มันสูงถึงระดับ 25 ปี!
“ไอ้เด็กหนานฟางนั่น มันถึงกับกล้าลอบโจมตีพวกเรา”
หลัวเฟิงกล่าว “หึ ครั้งนี้มันก็แค่ดวงดี ถ้าเจอกันครั้งหน้าล่ะก็ หมัดเผ่าฉุยของฉันจะทำให้มันตายแบบศพไม่ครบส่วน!”
หนานฟาง?
เมื่อเย่เฟิงได้ยินชื่อนั้นก็พลันคิ้วขมวด ‘หนานฟาง’ที่พวกมันเอ่ยขึ้นมา หรือว่าจะเป็นคนเดียวกันกับชายหน้ากากโครงกระดูกที่เขาเจอก่อนหน้านี้?
“ฮี่ ฮี่ ฮี่ แน่นอน ไม่มีใครไม่รู้ว่าหมัดเผ่าฉุยของพี่หลัวเฟิงบรรลุถึงระดับสองแล้ว ทั้งยังสามารถปลดปล่อยพลังชี่ภายออกจากร่างได้อย่างคล่องแคล่วด้วย เจ้านั่นจะไปต่อกรกับพี่ได้ไง จริงไหม?”
คนที่เหลือก็ต่างพาการเอ่ยยกยอหลัวเฟิงเป็นการใหญ่ แม้ผนังของโรงแรมแห่งนี้จะถูกสร้างขึ้นมาเป็นแบบกันเสียง เย่เฟิงก็ยังสามารถรับรู้ถึงบทสนทนาของคนพวกนั้นได้อย่างชัดเจน นี่ถือเป็นความพิเศษอย่างหนึ่งของทักษะสัมผัสวิญญาณ
แต่ยิ่งได้ฟังบทสนทนาของคนพวกนั้นมากเท่าไหร่ คิ้วของชายหนุ่มก็ยิ่งขมวดมากขึ้น
“หวางเอ๋อ เธอรู้จักคนที่ชื่อหลัวเฟิงไหม?”
เย่เฟิงเอ่ยถามขณะโอบกอดร่างบางไว้แน่น
“อืออ หลัวเฟิงไหนหรอ?”
หญิงสาวเอ่ยตอบอย่างเกียจคร้าน
“คนของหมัดเทพทวาราน่ะ”
ชายหนุ่มตอบ
“หลัวเฟิงแห่งหมัดเทพทวารา?”
เมื่อหลงหวางเอ๋อได้ยินชื่อนี้ก็พลันแปลกใจอยู่ชั่วครู่ ขณะแนบร่างบางเข้ากับอกเย่เฟิง หญิงสาวเอ่ยตอบ “เขาคือผู้นำในกลุ่มรุ่นเยาว์ของหมัดเทพทวารา ฉันได้ยินว่าชื่อเดิมของเขาก่อนเข้าสู่โลกวรยุทธ์คือ‘หนานเฟิง’……….”
หลัวเฟิง หนานเฟิง……..นี่มัน!
เย่เฟิงพลันตระหนักได้ถึงบางสิ่ง
หลัวเฟิงคนนั้นสมควรเป็นคนของแก๊งประตูสวรรค์ใต้อย่างไม่ต้องสงสัย รวมทั้งเป็นศัตรูของหนานฟางเช่นกัน น่าเสียดายที่หลัวเฟิงไม่เพียงมีระดับวรยุทธ์ถึง 25 ปี แต่ยังบรรลุหมัดเผ่าฉุยถึงขั้นสองแล้วด้วย การที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงเช่นนี้ เล่ห์เหลี่ยมกลอุบายใดๆของหนานฟางย่อมไม่มีทางเอาชนะได้ การที่หนานฟางรอดไปได้ในครั้งนี้เป็นเพียงเพราะโชคช่วยเท่านั้น
เมื่อเข้าใจได้ดังนั้น เย่เฟิงต้องการโทรศัพท์หาหนานฟางเสียตอนนี้เลย แต่เขาก็ยั้งตัวเองไว้ ในกรณีที่สถานการณ์วิกฤตจริง หนานฟางคงต้องโทรหาเขาแน่นอน
บางทีเขาควรรอให้ถึงพรุ่งนี้เสียก่อนแล้วค่อยโทรไป เพราะการที่หลงหวางเอ๋ออยู่ใกล้กับเขาตอนนี้ ชายหนุ่มรู้สึกกังวลใจเล็กน้อยที่จะถามข้อมูลจากหนานฟาง
“พรุ่งนี้เช้า พวกเราไปหน้าผาหลินไห่ที่อยู่ติดกับชายทะเลทางใต้กัน”
เย่เฟิงเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้กับใบหูหญิงส่วน ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“นายจะไปทำไมที่นั่นหรอ?”
หลงหวางเอ๋อใช้แขนทั้งสองข้างรวบลำคอของชายหนุ่มขณะที่จุมพิตลงบนใบหน้าของเขา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ตำราวรยุทธ์‘เพลงดาบปีศาจคำราม’ที่สูญหายไปของสำนักเซียนเร้นลับ ถูกซ่อนเอาไว้ที่ยอดหน้าผานั่น”
เย่เฟิงนึกถึงแผนที่ที่จูไป่เหนี่ยวได้วาดไว้ให้เขาก่อนหน้านี้ ซึ่งที่ซ่อนตำราก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ช่างเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!
ถึงอย่างนั้น เย่เฟิงไม่กล้าดูถูกสถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้ฝึกยุทธ์แห่งนี้ เพราะในเวลานี้ เขายังใช้ทักษะวรยุทธ์ได้เพียงทักษะเดียวคือทักษะกรงเล็บมังกร แต่มันก็ถือว่าเป็นทักษะชั้นเยี่ยมที่สามารถปลดปล่อยเจินชี่ออกจากร่างกาย แล้วหยิบจับผู้คนหรือสิ่งของที่อยู่ห่างออกไปได้ เขาไม่เคยเห็นทักษะเซียนอันใดที่มีประสิทธิภาพมากเท่าทักษะกรงเล็บมังกรมาก่อนเลย ชายหนุ่มรู้แล้วว่าทักษะวรยุทธ์ในโลกใบนี้ มีหลายทักษะที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้ทักษะเซียนในโลกเทวะเช่นกัน
“เพลงดาบปีศาจคำราม!”
หลงหวางเอ๋อได้ยินดังนั้นก็พลันตื่นตกใจ ก่อนจะรีบเอ่ยถาม “นายรู้จักทักษะนั้นได้ไง?”
“เธอรู้จักจูไป่เหนี่ยวไหม?”
เย่เฟิงเอ่ยถาม
“อ่า ข่าวเรื่องการค้นพบหญ้าวิญญาณประดับฟ้าที่เขาฉางไป่ก่อนหน้านี้ คนๆนั้นเป็นผู้ค้นพบใช่ไหม?”
ข่าวนี้ทำให้เธอรู้จักชื่อของจูไป่เหนี่ยว
เย่เฟิงเอ่ยถามต่อไป “แล้วเพลงดาบปีศาจคำรามมันพิเศษยังไง?”
“อืมม”
หลงหวางเอ๋อตอบด้วยใบหน้าจริงจัง “เดิมที สำนักเซียนเร้นลับเป็นหนึ่งในสามกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกยุทธภพ ซึ่งความแข็งแกร่งของพวกเขามาจากวิชาเพลงดาบปีศาจคำรามนี้เอง แต่เมื่อ 30 ปีก่อน ฉันได้ยินมาว่าเพลงดาบนี้ได้หายสาบสูญไป หลังจากนั้นสำนักเซียนเร้นลับก็เริ่มเสื่อมถอยลงตั้งแต่นั้นมา……..”
“มันแข็งแกร่งถึงขั้นนั้นเชียว?”
นี่ทำให้เย่เฟิงรู้สึกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
ทีแรก เขาคิดว่าเพลงดาบปีศาจคำรามเป็นเพียงทักษะวรยุทธ์ทั่วไปของสำนักเซียนเร้นลับ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นแบบนั้นเสียแล้ว สำนักเซียนเร้นลับถึงขั้นเสื่อมถอยลงเมื่อสูญเสียทักษะนั้นไป นี่แสดงให้เห็นว่าเพลงดาบปีศาจคำรามเป็นทักษะที่น่าเกรงขามอย่างยิ่ง!
“ดูเหมือนพวกเราจะมีโชคครั้งใหญ่ซะแล้ว”
เย่เฟิงยิ้มอย่างซุกซนขณะใช้มือลูบคลำหน้าอกอันชูชันและนุ่มนิ่มของหลงหวางเอ๋อ นี่ทำให้หญิงสาวบุ้ยปากอย่างน่ารัก
“ต่อให้ฝึกทักษะนี่ได้ นายก็ใช้มันไม่ได้อยู่ดี”
ขณะที่เย่เฟิงยังคงเล่นซุกซน หญิงสาวกล่าวต่อไปว่า “เพราะถ้าคนของสำนักเซียนเร้นรับเห็นนายใช้ทักษะนี่ละก็ พวกเขาได้ไล่ล่านายจนสุดขอบโลกแน่”
“ถ้าพวกเราฝึกทักษะนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้อย่างอิสระอยู่ดี คงจะดีเสียกว่าหากขายมันให้ใครคนอื่น ฉันไม่เชื่อว่าจะไม่มีคนสนใจซื้อ”
เย่เฟิงไม่ได้รู้สึกกังวลกับการถูกตามล่าอยู่แล้ว ศัตรูที่หมายเขาอยู่ก็มีน้อยเสียเมื่อไหร่? แต่ในกลุ่มศัตรู มีเพียงหลงโม่หรันเท่านั้นที่แข็งแกร่งพอจะจัดการเขา ส่วนคนของสำนักเซียนเร้นลับ คนพวกนั้นย่อมไม่อาจต่อกรเขาได้
“ถ้านายขายมันให้สำนักเซียนเร้นลับ นายคงได้เงินอย่างน้อยเป็นพันล้าน”
หลงหวางเอ๋อหัวเราะคิกคัก “บอกตามตรงนะ เงินขนาดนั้นพอให้พวกเราใช้จ่ายได้ทั้งชีวิตเลยล่ะ”
“จริงด้วย”
เย่เฟิงเผยรอยยิ้ม ไม่ว่าในโลกเทวะหรือโลกยุคใหม่แห่งนี้ เงินตราถือเป็นปัจจัยสำคัญเสมอ การให้ผู้หญิงของพวกเขาใช้จ่ายได้อย่างเต็มที่ คงเป็นความฝันสูงสุดของเหล่าผู้ชายในโลกนี้เช่นกัน
ตลอดทั้งคืน เย่เฟิงและหลงหวางเอ๋อ เกลือกกลิ้งไปบนเตียงด้วยกันครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุด ทั้งคู่ก็ผลอยหลับไปขณะโอบกอดกันและกันไว้ด้วยบรรยากาศอันแสนสงบ
วันต่อมา เย่เฟิงตื่นนอนแต่เช้าและรู้สึกถึงหญิงสาวที่ยังคงอยู่ในอ้อมแขนของเขา ท่าทางงัวเงียเหมือนคนขี้เซา ทำให้เธอดูน่ารักน่าชังเป็นที่สุด
เย่เฟิงรู้สึกอ่อนใจเมื่อได้เห็นท่าทางนั้น เขาอยากจะปล่อยให้หญิงสาวได้หลับต่ออีกสักหน่อย แต่ทันใดนั้น ก็มีใครบางคนมาเคาะประตูห้อง
“หวางเอ๋อ ตื่นหรือยังจ๊ะ?”
น้ำเสียงนุ่มนวลจากนอกห้อง ดังขึ้นมาให้หนุ่มสาวที่ยังอยู่ใต้ผ้าห่มได้ยินอย่างชัดเจน
“คุณน้า”
หลงหวางเอ๋อตาตื่นทันที และรีบลุกขึ้นมาจากที่นอน
เย่เฟิงหันไปมองหญิงสาวด้วยจิตใต้สำนึก และสายตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่หน้าอกอันนุ่มนิ่มและชูชันของหลงหวางเอ๋อ ภูเขาสองลูกนั้นทั้งขาวเนียน และใหญ่โตเหมือนดังลูกบอล มันมีประสิทธิภาพมากพอจะสังหารผู้ชายทุกคนบนโลกนี้ให้ตายไปทั้งที่ใบหน้ามีความสุข!
“นายมองอะไรเนี่ย เมื่อคืนยังเล่นไม่หนำใจอีกหรือไง?”
หญิงสาวเอ่ยค้อน น่าตกใจที่เธอไม่ได้รู้สึกเอียงอายแม้แต่น้อย การที่ทั้งคู่ได้อยู่ใกล้ชิดกันตลอดทั้งคืนทำให้หญิงสาวไม่รู้สึกอายอีกต่อไป
หลงหวางเอ๋อแกว่งขาเตะเข้าใส่เย่เฟิงจนเขาแทบตกเตียง
โชคดีที่เย่เฟิงหลบได้ทัน ชายหนุ่มคิดอยู่ใน ‘เล่นไม่หนำใจ? แน่นอนว่ามันไม่หนำใจอยู่แล้ว! ให้เล่นทั้งชีวิตก็ยังไม่หนำใจ!’
แต่ด้วยที่มีคนเคาะประตูอยู่ เขาจึงไม่มีเวลาล้อเล่นอะไรอีก ทั้งสองคนรีบลุกขึ้นมาสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว
หลงหวางเอ๋อจัดการเผ้าผมอยู่หน้ากระจก จากนั้นก็หันมากล่าว “นายไปเปิดประตูก่อน………อย่าลืมใส่หน้ากากด้วยล่ะ เธอเป็นคนดีมากๆ เพราะงั้นสบายใจได้ เธอไม่ทำอะไรให้นายอึดอัดใจหรอก”
เย่เฟิงกวาดสายตาไปเห็นหน้ากากสองใบที่ถูกจัดเตรียมไว้ อันหนึ่งเป็นสีขาวขณะที่อีกอันเป็นสีดำ ทันใดนั้น รอยยิ้มก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าเขา ชายหนุ่มคิดในใจว่าสาวน้อยคนนี้ช่างมีความคิดรอบคอบเสียจริง
……………………
แปลโดย Solar Spark, Tan Tan