บทที่ 155 เย่เวิ่นเทียนออกเดินทาง

หลังจากโรมรันกันหลายต่อหลายท่า ในที่สุดทั้งสองคนก็นอนแผ่ราบอยู่บนเตียงนุ่ม หลงหวางเอ๋อเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ร่างบางนอนนิ่งอยู่บนเตียงแทบไม่ไหวติ่ง เมื่อพายุลูกใหญ่ในห้องนี้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว จึงเหลือเพียงสายฝนโปรยปรายพาให้หัวใจชุ่มฉ่ำ

เย่เฟิงที่นอนอยู่บนเตียง โอบกอดเรือนร่างอันแสนนุ่มนิ่มของหญิงสาวเอาไว้ด้วยความรักใคร่

‘จริงสิ…….’

เย่เฟิงพลันคิดได้ว่าเขาสามารถทำให้หลงหวางเอ๋อกลายผู้ฝึกวรยุทธ์วิถีเซียนได้ แต่ก็พลันรู้สึกลังเลเล็กน้อย และไม่ได้เริ่มกระบวนการ

อีกไม่นานในแถบทะเลจีนตะวันออกจะเต็มไปด้วยการเผชิญหน้าระหว่างกันของผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหลาย การทำให้หลงหวางเอ๋อกลายเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์วิถีเซียนในตอนนี้ ดูแล้วคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ เพราะหากหลงโม่หรันหรือใครมีวรยุทธ์ระดับสูง ย่อมสามารถตรวจพบการเปลี่ยนแปลงของหญิงสาวได้อย่างง่ายดาย

นอกจากนี้ ร่างชีพจรเทวะที่เคยเปิดจุดชีพจรเพื่อดูดพลังวิญญาณออกมานั่น หากจะเริ่มกระบวนการอีกครั้ง มันไม่สามารถทำอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าได้ เขาควรจะรอให้เรื่องที่นี่จบลงเสียก่อน จากนั่นจึงค่อยหาสถานที่ดำเนินการอย่างเหมาะสมและค่อยเป็นค่อยไป

เวลานี้ หลงหวางเอ๋อนอนซบแขนเย่เฟิงอยู่อย่างเกียจคร้าน คล้ายกับแม่เสือสาวที่ได้กินเต็มอิ่ม

มือของเย่เฟิงที่ลูบไหล้แผ่นหลังอันเรียบเนียน สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากร่างของหญิงสาว กลิ่นหอมอ่อนๆยังคงลอยมาแตะจมูกอย่างต่อเนื่อง เมื่อเห็นผิวขาวใสดังหยก ทรวงอก และสะโพก นั่นทำให้น้องชายของเขาเริ่มผงาดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

แต่ชายหนุ่มกลัวว่าหญิงสาวจะไม่อาจต้านทานได้ไหวแล้ว เขาจึงทำได้เพียงอดทนและยับยั้งไฟราคะที่ลุกโชนขึ้นมาในจิตใจ

“ถ้าเป็นแบบนี้ตลอดไปได้ก็คงดีนะ”

หลงหวางเอ๋อพลิกตัวขึ้นมา ยืดแขนทั้งสองข้างไปโอบรอบๆลำคอของเย่เฟิง ดวงตาคู่งามที่ระยิบระยับดั่งหมู่ดาวบนฟากฟ้า จ้องมองเข้าไปในดวงตาของเย่เฟิง ขณะที่เย่เฟิงก็จ้องกลับมาเช่นกัน

“อีกไม่นานหรอก”

เย่เฟิงยังคงโอบกอดร่างบางไว้แน่น ชายหนุ่มคิดว่าหากเขาได้พบซูเฟยหยิ่งเมื่อไหร่ มีหรือที่หลงโม่หรันจะต่อกรกับอาจารย์สาวของเขาได้? ต่อให้ข่าวลือเรื่องผู้อาวุโสของตระกูลหลงมีวรยุทธ์ระดับ 100 ปี เป็นเรื่องจริง พวกเขาก็ยังไม่ใช่คู่มือของเธออยู่ดี

ในโลกเทวะ ซูเฟยหยิ่งไม่ได้เป็นแค่สาวงามล่มเมือง แต่ยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพรสวรรค์สูงส่งอย่างยิ่ง เธอบรรลุทักษะเซียนของวิถีโคจรดาวสุสารได้มากมายด้วยตัวเอง แทบไม่มีใครในโลกนั้นที่มีระดับวรยุทธ์ใกล้เคียงกันจะสามารถต่อกรกับเธอได้

ขณะที่ทั้งสองคนยังคงโอบกอดกันด้วยความรักใคร่อยู่บนเตียง เย่เฟิงได้กระจายทักษะสัมผัสวิญญาณออกไปสำรวจบริเวณใกล้เคียง ทันใดนั้น เขาพบผู้ฝึกยุทธ์ถึง 4 คนในห้องชั้นล่าง

คนของหมัดเทพทวารา!

เย่เฟิงเงี่ยหูฟังบทสนทนาของคนพวกนั้นขณะกอดร่างของหลงหวางเอ๋อเอาไว้

………………..

ขณะเดียวกัน ณ เมืองเหยียนจิงยามค่ำคืน

คนใหญ่คนโตมากมาย ได้มาดื่มกินร่วมกันรวมทั้งพูดคุยซุบซิบนินทา ประเด็นที่พวกเขาคุยกันมีเพียงเรื่องเดียวก็คือเรื่องเกี่ยวกับหลินเหรินเทียน ผู้พิพากษาแห่งศาลเมืองเหยียนจิง

พ่ายแพ้อย่างย่อยยับ!

ประโยคสั้นๆนี้ไม่ถือว่าเกินไป สำหรับใช้อธิบายสภาพของหลินเหรินเทียน

ในเวลานี้ หลินเหรินเทียนนั่งฟังรายงานผลการวินิจฉัยจากแพทย์อยู่ที่โรงพยาบาลค่ายทหาร หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว โอกาสที่หลินซิวเหวินจะกลับมาเป็นปกติได้ มีต่ำกว่า 0.1%

เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของหลินเหรินเทียนพลันบิดเบี้ยวจนแทบมองดูไม่ได้ จะบอกว่าลูกชายของเขาจะกลายเป็นคนปัญญาอ่อนนับแต่นี้ต่อไปหรือไง? ในฐานะที่เป็นคนตระกูลหลินแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องอัปยศมากที่สุดในชีวิตของหลินเหรินเทียน

ตามคำบอกเล่าของเสี่ยวฉีที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ หลินซิวเหวินตกอยู่ภายใต้การควบคุมของชายชราคนหนึ่งในคืนนั้น และเขาพยายามจะเข้ามาในห้องเพื่อข่มขืนเธอ ซึ่งในเวลาต่อมา ก็มีคนพบศพชายชราในทะเลสาบจำลองใกล้กับหอพัก แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่หญิงสาวพูดเป็นเรื่องจริง

หลังจากการวินิจฉัยของแพทย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า รวมทั้งใช้การรักษาทุกวิถีทาง ในที่สุดก็พบสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังสภาพที่น่าอนาถของหลินซิวเหวิน มันเป็นเพราะชายหนุ่มได้รับยาปลุกเซ็กส์ในปริมาณมาก แต่กลับไม่ได้ระบายความใคร่ออกไป สุดท้ายจึงต้องตกอยู่ในสภาพอย่างที่เห็น

“ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะพูดจริงหรือไม่”

เวลานี้ ใจของหลินเหรินเทียนเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด เขาเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่ดูมืดมน “ถ้ารักษาซิวเหวินให้หายขาดไม่ได้ ฉันจะบังคับตระกูลเสี่ยวให้ยกเสี่ยวฉีมาเป็นสะใภ้ตระกูลหลิน!”

หลังจากล้มเหลวจากการแก้แค้นเย่เฟิงและซูเหมิงหานในศาล หลินเหรินเทียนต้องการหาที่ระบายอารมณ์โดยเร็ว และเสี่ยวฉีก็เป็นตัวเลือกที่ดี ถ้าในวันนั้น หญิงสาวไม่ปฏิเสธลูกชายเขา วันนี้ซิวเหวินก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้! เพราะฉะนั้น เสี่ยวฉีต้องเป็นคนรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น!

ในความเห็นของหลินเหรินเทียน ถ้าลูกชายของเขาชื่นชอบใคร หรือต้องการผู้หญิงคนไหน นั่นถือว่าเป็นเกียรติสูงสุดของคนๆนั้น แต่ยัยเด็กที่ชื่อเสี่ยวฉีกลับไม่ซาบซึ้งในความเมตตาของซิวเหวิน และทำให้ลูกชายของเขากลายเป็นคนปัญญาอ่อน เพราะงั้น เธอคนนั้นต้องใช้ตัวเองเป็นค่าชดเชย!

ทฤษฎีวิบัติแบบนี้ สามารถพบเห็นได้ในตัวร้ายตามธรรมชาติ แน่นอนว่ามันอยู่ในพจนานุกรมของหลินเหรินเทียนเช่นกัน

ขณะที่อีกด้านหนึ่งในเวลานี้ เสี่ยวฉีและหลินชื่อฉิงต่างตกอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง พวกเธอพยายามใช้อินเตอร์เน็ต โทรเช็คเบอร์โทรศัพท์ และตรวจสอบข้อมูลต่างๆของใครบางคน ซึ่งคนๆนั้นก็คือเย่เฟิงนั้นเอง

หลังใช้เวลาตลอดช่วงบ่าย หลินชื่อฉิงจึงได้ค้นพบบางสิ่ง

“หรือว่าเย่เฟิงก็คือโม่จิ่วเกอ และโม่จิ่วเกอก็คือเย่เฟิง?”

คิ้วเรียวงามขมวดกันแน่นขณะที่หญิงสาวยังคงขบคิดถึงความเป็นไปได้ในเรื่องนี้ แล้วถ้าเป็นแบบนั้น นั่นไม่ได้หมายความว่าเพื่อนรักของเธอกำลังตกหลุมรักเย่เฟิง ซึ่งเป็นคู่หมั้นของเธอเองอยู่หรือไง?

ไม่ นี่มันเป็นไปไม่ได้

ถึงแม้ว่าหลินชื่อฉิงจะไม่เคยคิดว่าเย่เฟิงเป็นคู่หมั้นของเธอเลย แต่เมื่อเห็นเสี่ยวฉีพร่ำเพ้อถึงเขา ทำไมเธอถึงได้รู้สึกขัดแย้งอยู่ในใจอย่างบอกไม่ถูกก็ไม่รู้

ภาพเหตุการณ์หนึ่งพลันแล่นเข้ามาในหัวหญิงสาว หลินชื่อฉิงนึกถึงวันนั้น วันที่เธอตกอยู่ในดงระเบิดของโรงงานร้าง เขาคนนั้นได้ใช้ตัวเองปกป้องเธอจากอันตรายต่างๆ

หากชายสวมหน้ากากคือเย่เฟิงจริงๆ ใบหน้าอันแสนหน้าเกลียดในตอนนั้น คงเป็นเพียงใบหน้าปลอมที่เขาสร้างขึ้น ถ้าเป็นแบบนั้นจริง การที่เธอต้องแต่งงานกับเขาตามความต้องการของคุณปู่ มันก็ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่เธอจะยอมรับ….ไม่ได้……….

ในขณะที่หลินชื่อฉิงตกลงสู่ห้วงความคิด ทันใดนั้น ใบหน้าอันงดงามก็พลันขึ้นสีแดงระเรื่อ

“หวังว่าพวกเขาคงไม่ใช่คนเดียวกัน”

หญิงสาวถอนหายใจ และส่ายหัวเพื่อไล่ความคิดนี้ออกไป เมื่อหันไปมองเสี่ยวฉีที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งความมุ่งมั่น ดูเหมือนว่าเพื่อนรักของเธอคนนี้คงตั้งใจจะใช้ทรัพยากรของหน่วย NSA เพื่อหาตัวตนของโม่จิ่วเกอทั้งคืนเป็นแน่

เสี่ยวฉีเป็นทั้งพยานและคู่กรณีของไซ่เชาหง ฉะนั้น เธอจึงได้รับอนุญาติให้สามารถตรวจสอบข้อมูลต่างๆได้อย่างอิสระ

“ฉันต้องหาคุณให้เจอให้ได้!”

เสี่ยวฉีตั้งมั่นในใจ

…………….

ณ หมู่บ้านชิงเฟิง

เย่เวิ่นเทียนที่หลับใหลอย่างไม่รู้ตัวตั้งแต่ช่วงบ่าย ในที่สุดก็พลันสะดุ้งตื่น ชายชรารีบหันซ้ายหันขวา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น เขาพบว่าตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว สิ่งนี้ทำให้ชายชรารีบตื่นตัว

นี่เขาเผลอหลับไปจริงๆงั้นหรือ?

“คุณปู่ หิวข้าวรึยังคะ?”

ซูเหมิงหานได้ทำกับข้าวเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เมื่อเห็นชายชราตื่นขึ้นมา เธอจึงนำอาหารมาวางและเอ่ยถามอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส

“หนู – เจ้าเด็กนั่นมันหายไปไหนแล้ว?”

เย่เวิ่นเทียนเอ่ยปากถามทันที

“เขา……..”

ซูเหมิงหานลังเลเล็กน้อย แน่นอนว่าเด็กสาวไม่อยากบอกความจริงแก่ชายชรา แต่ก็ไม่อยากโกหกเช่นกัน แม้ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็ยังไม่รู้ว่าควรพูดยังไงในสถานการณ์ตอนนี้ดี

“มันไปที่แถบทะเลจีนตะวันออกใช่ไหม? เจ้าเด็กเวรนี่!”

เย่เวิ่นเทียนพลันลุกขึ้นยืน

“คุณปู่อย่าพึ่งโมโหเลยนะคะ เออ เขามีเหตุผลจำเป็นจริงๆที่ต้องไปที่นั่น เขาตั้งใจจะไปหาอาจารย์ค่ะ…..”

ซูเหมิงหานรีบอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟัง

“หนูรู้ไหมว่าที่นั่นในตอนนี้มันอันตรายแค่ไหน?”

เย่เวิ่นเทียนกล่าวด้วยใบหน้าที่ดูหนักแน่นราวกับแผ่นเหล็ก “หนูช่วยให้มันหนีไป แล้วไม่คิดว่าสามีของหนูจะไม่ได้กลับมาอีกหรือไง?”

ทันทีที่ได้ยินดังนั้น ใบหน้าของเด็กสาวก็พลันซีดลง เธอกล่าวอย่างลังเล “ไม่…ไม่จริงมั้งคะ เขาเก่งกาจจะตายไป…….”

“เก่งกาจ เหอะ!”

ชายชราพูดต่อไปด้วยความโมโห “หนูรีบโทรหาคนของแก๊งอสรพิษสวรรค์ให้เขาขับรถไปส่งพวกเราเดี๋ยวนี้เลย เอ้ย เดี๋ยว ช่างมันก่อน กินข้าวเสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

“ค่ะ!”

ซูเหมิงหานพยักหน้าตอบรับอย่างจริงจัง!

เด็กสาวลอบหัวเราะอยู่ในใจ เย่เฟิงได้บอกเธอเอาไว้แล้วว่าเมื่อยามที่เย่เวิ่นเทียนตื่นขึ้นมา ก็ให้เอาคนของชายหน้าบากที่เชื่อใจได้ขับรถไปส่งชายชราตามที่เขาต้องการ สำหรับรถ Hummer นั่น การวิ่งตลอดทางจากเหยียนจิงไปยังทิศใต้ต้องหยุดเติมน้ำมันอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นการถ่วงเวลาที่ดีทีเดียว

“โอ้ใช่ หนูไปกับปู่ด้วย อยู่บ้านคนเดียวมันอันตรายเกินไป”

ขณะกำลังกินข้าว เย่เวิ่นเทียนเอ่ยแกมบังคับ

เมื่อซูเหมิงหานได้ยินดังนั้น หัวใจของเด็กสาวก็พลันเต็มไปด้วยกระแสของความอบอุ่น ดูเหมือนว่าคุณปู่จะถือว่าเธอเป็นคนของตระกูลเย่แล้วใช่ไหม?

………………………………….

แปลโดย Solar Spark , Tan Tan

Tan Tan:

แขนยังไม่หายครับฉไนจึงเม้นกันเช่นนั้นช่งชัก…อ่ารายยยมายรู้ๆไม่ได้ทำจริงจริ๊งงง!!มาแปลประโยคเดียว(หลังจากที่เย่เฟิงกับหวางเอ๋อรับประทานตับกันเสร็จแล้ว เอ๋ยย!!!หลังจากออกกำลังกาย ผิดๆขอ อภัย)อีกเรื่องท่านหักหน้าพรรคของเราเปลี่ยนประโยคควัก…..–^–ออกนะจ๊ะจุ๊ๆ55555

Solar Spark: จะบอกว่าเย่เฟิงควักปืนออกมามันก็ดูอุกอาจเกินไป55