บทที่ 15 ลูกพี่เถี่ยชื่นชมคุณ

สิ่งที่อันธพาลทั้งสามจากแก๊งอสรพิษสวรรค์แสดงออกมาสร้างความตื่นตะลึงกับผู้คนโดยรอบในทันที

พี่ใหญ่เย่?

หรือว่าการที่โดนเขาเล่นงานไปครั้งที่แล้วเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นพวกเชื่องๆแบบนี้ไปแล้วงั้นหรือ

ยามหน้าประตูโรงเรียนถึงกับตะลึงในสิ่งเห็น ไม่ใช่มีคนบอกไว้ว่าพวกอันธพาลจากแก๊งอสรพิษสวรรค์เป็นพวกหัวรุนแรงและชอบกดขี่คนอื่นหรอกหรือ ปกติไม่เคยมีใครกล้าไปยุ่งกับพวกเขาเลยด้วยซ้ำไป แต่เมื่อโดนเด็กนักเรียนคนนั้นสั่งสอน มันถึงกับทำให้พวกเขาเรียกเด็กคนนั้นว่าพี่ใหญ่เย่เลยงั้นรึ?

เย่เฟิงแสดงออกถึงความประหลาดใจเช่นเดียวกันเมื่อเขาได้ยิน “พวกแกตั้งใจจะเล่นแง่กับฉันใช่มั้ย?”

“พี่ใหญ่เย่ พี่เถี่ยหัวหน้าของเราชอบฝีมือของพี่มาก เขาอยากชวนพี่ใหญ่เย่มาเข้ากลุ่มอสรพิษสวรรค์ของเราด้วย”

หนึ่งในอันธพาลทั้งสามมีชายร่างผอมสูงที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำกลุ่ม แม้มันจะเรียกเขาว่า‘พี่ใหญ่เย่’แต่แววตาของมันปราศจากความเคารพโดยสิ้นเชิง หัวหน้ากลุ่มนักเลงยังคงแสดงท่าทีที่หยิ่งยโส ”อย่างที่รู้กันว่ากลุ่มอสรพิษสวรรค์เรานั้นแข็งแกร่งแค่ไหนในเขตนี้ หวังว่าพี่เย่จะให้ความสนใจในการร่วมมือกับเรา”

ลูกน้องอีกสองคนที่ยืนข้างหลังลูกพี่มันมองมาทางเย่เฟิงด้วยความอิจฉาริษยา การที่พวกมันเรียกเย่เฟิงว่า’พี่ใหญ่เย่’ไม่ได้เกิดจากความต้องการจริงๆ แต่เพราะถูกสั่งโดยหัวหน้าของพวกมันอีกที และหากไม่ทำตาม ชะตากรรมของพวกมันคงต้องประสบกับเรื่องเลวร้ายแน่ๆ

โชคดีที่แม้คราวที่แล้วพวกมันจะพลาดในการนำตัวเย่เฟิงไปให้ตามคำสั่ง ถึงอย่างนั้นพวกมันก็ไม่ได้รับโทษแต่อย่างใดแล้วพี่เถี่ยยังออกค่าใช้จ่ายในการรักษาให้แก่พวกมันด้วย

“นี่ผึ้งน้อย…” อู๋บีที่ตกใจอยู่ดึงแขนเสื้อเย่เฟิง “ดูแล้วมันคุ้มจะลองนะ”

ในความคิดของอู๋บีแล้ว การถูกเชิญเข้ากลุ่มอสรพิษสวรรค์นั้นดูจะมากเกินไปด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่พวกนี้พึ่งเคยถูกเย่เฟิงเล่นงานไปคราวที่แล้วเลย พวกมันยังอุตส่าห์กลับมาชวนเย่เฟิงเข้ากลุ่มอีกด้วย ไม่ว่าใครเจอเรื่องแบบนี้ก็ต้องตื่นเต้นกันทั้งนั้นแหละ

แต่เขาไม่รู้หรอกว่าก่อนหน้านี้เย่เฟิงได้ซัดน้องชายของพี่เถี่ยด้วยก้อนอิฐจนหน้าแหกมาแล้ว ไม่งั้นอู๋บีคงได้ตะลึงกว่านี้แน่ๆ

ในขณะที่กลุ่มคนที่ไม่เกี่ยวข้องบริเวณนั้นคิดว่าเย่เฟิงจะตอบตกลงและไปกับกลุ่มอสรพิษสวรรค์ แต่พวกเขากลับเจอกับเรื่องที่น่าทึ่งกว่านั้นขึ้นไปอีก

เย่เฟิงยกเท้าขึ้นมาแล้วเตะเข้าไปที่ระหว่างขาของชายผอมสูงคนนั้นแล้วกระซิบ “มาเชิญฉันเข้าแก๊งแล้วยังทำท่าทางหยิ่งยโสแบบนั้นอีก พวกแกควรจะแสดงความจริงใจออกมาไม่ใช่หรือยังไง?”

มันเป็นลูกเตะที่รุนแรงอย่างมาก ชายผอมสูงผู้นั้นไม่มีโอกาสแม้แต่จะกรีดร้อง เขาสลบไปทันทีเพราะทนความเจ็บปวดอันแสนสาหัสนี้ไม่ไหว

ตอนนี้เย่เฟิงมีวรยุทธ์ถึงระดับ 5 เดือนแล้ว เมื่อเทียบกับเมื่อวาน มันเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

เย่เฟิงตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าจะควบคุมกลุ่มอสรพิษสวรรค์ทั้งกลุ่ม ดังนั้นเขาจะยอมไปเป็นลูกน้องของพี่เถี่ยนั่นได้อย่างไร? ใครๆก็รู้ว่าพี่เถี่ยอะไรนั่นเป็นเพียงหัวหน้ากลุ่มเล็กๆเท่านั้น ที่เย่เฟิงหมายตาไว้คือบอสใหญ่แห่งกลุ่มอสรพิษสวรรค์ต่างหาก

การโต้ตอบของเย่เฟิงได้แต่ทำให้ทุกคนต้องอ้าปากค้าง

พวกเขามองไปที่เย่เฟิงอย่างพิศวง นี่มันจำเป็นต้องรุนแรงขนาดนั้นเลยหรือ สามคนนี้มาชวนเย่เฟิงเข้ากลุ่ม แต่เขากลับเตะหนึ่งในสามคนนี้ลงไปกองกับพื้น ช่างน่าเวทนาชายผอมสูงคนยิ่งนัก เขาไม่ใช่แค่ถูกเตะที่หว่างขาเพียงครั้งเดียวแต่เป็นสองครั้ง หากบอกว่านี่เป็นการลงโทษที่รุนแรงที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมาก็คงไม่ถือว่ามากเกินไป

“เฮ้ย นี่แกกล้าดียังไง!”

นักเลงอีกสองคนจ้องเขม็งไปที่เย่เฟิง เจ้าเย่เฟิงคนนี้แยกไม่ออกเสียแล้วว่าอะไรควรอะไรไม่ควร มันไม่กลัวอิทธิพลของกลุ่มอสรพิษสวรรค์เลยหรือยังไง

“ถ้าพวกแกอยากชวนฉันเข้ากลุ่มจริงๆ ก็ไปบอกให้หัวหน้าของพวกแกพี่เถี่ยอะไรนั่น ให้มาเชิญฉันด้วยตัวเอง”

เย่เฟิงกล่าวอย่างสบายๆจากนั้นจึงเตะนักเลงอีกสองคนจนทรุดไปกับพื้นร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เขาเดินจากไปพร้อมกับอู๋บี

ทุกคนที่หน้าประตูโรงเรียนเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างแบบชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นตอนที่สามคนนั้นโดนเย่เฟิงเล่นงานลงไปกองกับพื้นหรือตอนที่เขาเดินจากไปอย่างไม่แยแส มันเกิดอะไรขึ้นทำไมอยู่ๆเย่เฟิงถึงกลายเป็นคนที่เหนือชั้นแบบนี้ไปได้ เด็กที่เคยมัวแต่ทุ่มเวลาให้กับเกมส์ออนไลน์คนนั้นหายไปไหนแล้ว

ไม่นานนักหลังจากเย่เฟิงเดินจากไปซูเหมิงหานรีบวิ่งตามพวกเขาออกมาแต่น่าเสียดายพวกเขาเดินห่างออกไปไกลเสียแล้ว เธอกระทืบเท้าอย่างขัดใจขณะเหลือบไปเห็นนักเลงสามคนที่ยังคงร้องโหยหวนอยู่บนพื้นจึงคิดว่าต้อมีเรื่องอะไรบางอย่างพึ่งเกิดก่อนหน้านี้แน่ๆ เธอรู้สึกตกใจจริงๆเมื่อคิดว่าเย่เฟิงยิ่งนานยิ่งกลายเป็นคนบ้าบิ่นมากขึ้นทุกวัน ไม่ช้าก็เร็วคงต้องเกิดเรื่องกับเขาอีกแน่ๆ

ซูเหมิงหานจัดเป็นเด็กสาวที่ฉลาดคนหนึ่ง เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อของเธอถึงเปลี่ยนทัศนคติเรื่องเย่เฟิงได้ เธอสรุปว่าครอบครัวของเย่เฟิงต้องเป็นครอบครัวที่มีอิทธิพลไม่เบาเลยทีเดียว นี่คงเป็นเหตุผลที่เขาถูกปล่อยตัวออกมาทันทีแม้จะโดนจับข้อหาใช้บริการโสเภณี

อย่างไรก็ตามกลุ่มอสรพิษสวรรค์นั้นเป็นแก๊งมาเฟียใต้ดินและจัดว่าเป็นหนึ่งในสามแก๊งที่ใหญ่ที่สุดแห่งเมืองเหยียนจิง หากใครสักคนมีเรื่องกับกลุ่มนี้แล้ว ต่อให้ครอบครัวของเขาจะมีอำนาจปานใดก็ไม่อาจปกป้องเขาจากการถูกไล่ยิงจนตายตกไม่ได้หรอกนะ

………………………………………………….

“ผึ้งน้อย….พี่อู๋คนนี้คิดว่ามันจะไม่ดีกว่าเหรอถ้านายกลับไปลองขอโทษพวกนั้นดูน่ะ”

อู๋บีที่เดินตามเย่เฟิงมาเริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย ยิ่งเย่เฟิงดูสบายใจมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้นไปอีก

“ไม่มีปัญหาอะไรหรอกเชื่อสิ”

เย่เฟิงส่ายหัว “ฉันจะไปคิดบัญชีเรื่องนี้กับกลุ่มอสรพิษสวรรค์ในไม่ช้านี้เอง แต่ว่าตอนนี้การไปบ้านของนายเป็นเรื่องที่สำคัญกว่านะ”

อู๋บี่แทบจะลงไปดิ้นตายอยู่ตรงนั้นหลังจากได้ยินคำตอบแบบไร้ซึ่งความกังวลจากเย่เฟิง

นี่เย่เฟิงตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายขนาดนี้เขายังมีแก่ใจคิดถึงเรื่องร้านขายวัตถุโบราณของพ่อเขาอีกเหรอ ถึงแม้ว่าร้านขายวัตถุโบราณของเขาจะมีของคุณภาพสูงแค่ไหน แต่หลังจากมีเรื่องกับกลุ่มอสรพิษสวรรค์ขนาดนั้น เย่เฟิงยังดูมีความสุขกับการไปเที่ยวบ้านของเขาได้ยังไงกัน

ถึงแม้ว่าเย่เฟิงบอกว่าจะจัดการคิดบัญชีกับกลุ่มอสรพิษสวรรค์ในสักวัน แต่นั่นไม่ได้ทำให้อู๋บีสบายใจเลยแม้แต่น้อย จะว่าไปแล้วมีโอกาสเป็นไปได้ด้วยซ้ำที่แก๊งนี่อาจจะเข้าร่วมกับตระกูลอันดับหนึ่งแห่งเมือง เหยียนจิง อย่างตระกูลหลินในการช่วยจัดการเรื่องต่างๆ แล้วภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เย่เฟิงจะมีอะไรไปต่อกรกับแก๊งอสรพิษสวรรค์ได้ล่ะ

ไม่ว่าใครก็รู้ว่าตระกูลหลินเป็นตระกูลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในเมืองเหยียนจิง เย่เฟิงอาจมีครอบครัวที่พอมีอำนาจอยู่บ้างแต่หากเทียบกับตระกูลหลิน แล้วนับว่าไร้ซึ่งหนทางเลยจริงๆ

“อย่าไปคิดง่ายๆแบบนั้นสิเพื่อน นายไม่คิดเหรอว่าแก๊งอสรพิษสวรรค์อาจจะร่วมมือกับตระกูลหลินก็ได้นะ”

อู๋บีส่ายหัวพลางกล่าว

“ตระกูลหลินงั้นเหรอ?”

เย่เฟิงรู้สึกแปลกเกี่ยวกับเรื่องนี้

มันทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ทะเลสายเหวยหมิง ปู่เขาบอกว่าจะแนะนำ”หลานสาวของเจ้าเฒ่าจากตระกูลหลินให้” หรือว่านี่จะเป็นตระกูลเดียวกันกับที่ปู่ของเขาบอกกันนะ

ตอนนั้นเองเย่เฟิงคิดได้ว่าในเมืองจีนนี้มีตระกูลหลินอยู่มากมายนัก มันไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่อะไร

“ใช่แล้ว ตระกูลหลินเป็นตระกูลแรกแห่งเมืองเหยียนจิง แถมยังมีอำนาจมากเลยนะ ไม่ว่าจะทั้งด้านการทหาร ธุรกิจหรือรัฐบาล ตระกูลนี้ก็ครอบคลุมอิทธิพลไปทั้งหมด”

อู๋บีอธิบายแล้วดูเหมือนว่าเขาจะตกไปอยู่ในห้วงภวังค์ขณะหนึ่ง “รู้รึเปล่า ครั้งนึงฉันเคยเจอผู้หญิงที่สวยมากๆจากตระกูลหลินนะ อา…ให้ตายเถอะ เธอทั้งสวยทั้งมีเสน่ห์ เรือนร่างนั้น ใบหน้านั้น…”

“เอาล่ะ เรามาถึงร้านนายจนได้นะ”

เย่เฟิงตบไหล่อู๋บีเบาๆขัดห้วงความคิดของเขา

เย่เฟิงไม่ได้สนใจเรื่องสาวงามแห่งตระกูลหลินมากนัก เพราะเขารู้ถึงความจริงเรื่องหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ไม่ว่าจะโลกเทวะหรือโลกใบนี้ก็ตาม การมีพลังและความแข็งแกร่งย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หากไร้ซึ่งพลังแล้ว เขาจะมีปัญญายืนอย่างสง่าต่อหน้าสาวงามเหล่านั้นได้อย่างไรกันละ

ตอนนั้นเองป้ายชื่อร้าน”วัตถุโบราณอู๋ชี”ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา ร้านขายวัตถุโบราณนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลนักจากโรงเรียนมัธยมปลายเหยียน

“กลับมาแล้วครับพ่อ”

เย่เฟิงดันขัดจังหวะที่เขากำลังเคลิ้มถึงสาวสวยในฝันเสียแบบนั้นเสียได้ ทำเอาความสุนทรีเขาเสียหมด อู๋จึงวิ่งตะโกนเข้าไปในร้านที่เขาและพ่อของเขาอยู่ด้วยกัน

“นายรอตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันไปหาอะไรมาให้นายดูเอง เออใช่แล้ว นายอยากจะดูของจากที่ไหนล่ะ ยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่นหรือว่าจะเกาหลีใต้ดี”

อู๋บีวิ่งเข้าไปข้างในพลางหันกลับมาถาม

“ฉันกำลังหาของบางอย่างน่ะ เดี๋ยวฉันจะคุยกับพ่อนายเอง”

เย่เฟิงส่ายหัว เขารู้ดีว่าพ่อของอู๋บีเป็นนักธุรกิจที่ขูดรีดได้เก่งคนหนึ่งเลยทีเดียว ความจริงเขาก็เตรียมใจพร้อมมาโดนอยู่แล้วล่ะ

“เจ้าหนุ่ม กำลังมองหาซื้ออะไรงั้นหรือ?”

เมื่ออู๋บีได้ยินพ่อของเขาคุยกับเย่เฟิงจึงหยุดแล้วหันกลับมามองอย่างประหลาดใจ

เขาจำได้ว่าเย่เฟิงไม่เคยมีความสนใจในวัตถุโบราณสักนิด ในหัวเจ้านั่นมีแต่เรื่องเกมส์เท่านั้นแหละ แต่สองวันที่ผ่านมานี้บางอย่างแปลกๆเกิดขึ้นกับเย่เฟิง อู๋บีไม่ได้ยินเขาพูดถึงเรื่องเกมส์เลยสักนิด

ยิ่งไปกว่านั้น ราคาของวัตถุโบราณพวกนี้ก็แพงมากเสียด้วยโดยเฉพาะที่ร้านของครอบครัวเขาที่ขายแต่ของแท้เป็นส่วนใหญ่!

แล้วเพื่อนของเขาจะไปมีปัญญาซื้อได้ยังไงกันล่ะเนี่ย?

………………………………….

แปลโดย : Teepo_V